เช้าวันต่อมาไป๋เหมยเหม่ยก็รีบมาที่ร้านอาหารของตนเองตั้งแต่เช้า ร้านของนางเป็นเพียงร้านเล็กๆ ไม่ต้องจัดแจงสิ่งใดมากนักก็เปิดขายได้แล้ว
ไป๋เหมยเหม่ยให้ไป๋จินเซียงหาคนที่เขียนอักษรได้งดงามมาเขียนรายการเมนูอาหารให้กับนาง โชคดีที่ไป่จินเซียงมีสหายเป็นบัณฑิตผู้หนึ่งเขาคัดอักษรได้งดงามยิ่งนัก ไป๋เหมยเหม่ยมองดูรายการอาหารของนางก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย
หม้อไฟคนงาม
หม้อไฟ หมู เนื้อ กุ้ง สามารถนั่งทานได้คนละครึ่งชั่วยาม จ่ายเพียง30อีแปะต่อคน ภายในครึ่งชั่วยามนี้สามารถเติมอาหารและผักเพิ่มได้ไม่เกินสองครั้ง สั่งมาแล้วกินไม่หมดปรับสองเท่าของราคาอาหาร พิเศษ!สำหรับลูกค้าที่เข้ามาก่อนห้าโต๊ะแรก รับฟรีผลไม้เชื่อมตามฤดูกาลและมันฝรั่งเส้นผัดพริกโต๊ะละหนึ่งที่
นางไม่ได้คิดจะขายในราคาที่แพงเกินไปนัก อยากให้ทุกคนจับต้องได้
“เฉียวเหลียน ระฆังใบเล็กที่ข้าสั่งเอาไว้ได้หรือยัง”
ไป๋เหมยเหม่ยหันไปถามเฉียวเหลียนคราหนึ่ง ไม่นานมานี้นางให้เฉียวเหลียนไปหาซื้อระฆังกระดิ่งใบเล็กมาสักสองใบ สาวใช้น้อยพยักหน้าก่อนจะเอ่ย
“ได้แล้วเจ้าค่ะ บ่าวสั่งให้คนแขวนมันเอาไว้ตรงที่คิดเงินของคุณหนู ว่าแต่คุณหนูจะนำมันมาทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ”
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเฉียวเหลียนเอ่ยถามเช่นนั้นก็ยิ้มตาหยี ก่อนจะตอบ
“ครึ่งชั่วยามเมื่อใดข้าก็จะสั่นกระดิ่งเป็นการแจ้งเตือนว่าหมดเวลานั่งกินอย่างไรเล่า”
ไป๋เหมยเหม่ยนั้นกำลังสนุกสนานกับการเปิดร้านใหม่ นางสั่งให้เฉียวเหลียนพาลูกค้าเข้าไปทีละสิบโต๊ะเพื่อจะได้กำหนดเวลาในการนั่งกินถูก ส่วนเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ก็ทำให้ทุกคนได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อย ต่างบอกว่าหยางเจ๋อหยวนและภรรยาของเขาทำเกินไป อีกทั้งยังติดใจรสชาติหม้อไฟที่ร้านของนางจึงพากันมาอุดหนุน แต่ทว่าข่าวลือที่ยังโหมกระหน่ำไม่หยุด นั่นก็คือเรื่องราวระหว่างจางเหยียนเหว่ยและไป๋เหม่ยเหม่ย
เพราะเหตุนี้เอง จางเหยียนเหวยจึงถูกฮ่องเต้เรียกตัวเข้าวังหลวง
ห้องทรงอักษร
“กลับเมืองหลวงมาหลายสิบวันแล้ว ใจคอเจ้าไม่คิดจะมาเยี่ยมเยือนข้าบ้างเลยหรือ”
จางเหยียนเหวยปรายตามองฮ่องเต้จางเหลียนไห่คราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
“ข้าไม่ชอบเข้าวังหลวงท่านก็รู้”
ฮ่องเต้จางเหลียนไห่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาคราหนึ่งอย่างปลงไม่ตก ก่อนจะเอ่ย
"ได้ยินว่าเจ้ามีข่าวเล่าลือกับไป๋เหมยเหม่ย บุตรสาวของท่านแม่ทัพใหญ่ไป๋ อดีตฮูหยินน้อยของบุตรชายท่านราชครูหยางหรือ"
จางเหยียนเหวยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง เขาทิ้งกายลงนั่งตรงข้ามกับฮ่องเต้ก่อนจะเอ่ยถาม
"เสด็จลุงนี่ช่างหูดียิ่งนักนะพ่ะย่ะค่ะ อยู่ในวังแท้ๆ แต่กลับรู้เรื่องของข้าได้"
ฮ่องเต้จ้องมองจางเหยียนเหว่ย ก่อนจะเอ่ย
"เจ้าเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ควรจะวางตัวให้ดี แม้นางจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรสาวของสหายสนิทข้า แต่อย่างไรก็ไม่สมควร นางเคยเป็นภรรยาของหยางเจ๋อหยวน หากเจ้าข้องเกี่ยวกับนางมากเกินไปไม่ใช่เพียงจะไม่ส่งผลดีต่อเจ้า แต่ทว่าจะส่งผลเสียต่อนางด้วย สตรีในแคว้นของเรามีมากมายนัก คณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์ย่อมมีให้เจ้าเลือกหลายตระกูล เจ้าอย่าข้องเกี่ยวกับนางให้เสียเกียรติอีกเลย นางเป็นสตรีหม้ายไม่คู่ควรกับเจ้าเลยแม้แต่น้อย!!!"
จางเหยียนเหวยเงยหน้าขึ้นไปมองเสด็จลุงของตนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เหยียดหยัน
“เป็นเชื้อพระวงศ์ควรจะวางตัวให้ดี ท่านกำลังสั่งสอนข้าหรือสั่งสอนตนเองกันแน่?"
ฮ่องเต้จางเหลียนไห่ที่ได้ยินจางเหยียนเหว่ยย้อนถามเช่นนั้นก็เม้มริมฝีปากแน่นไม่ได้เอ่ยตอบอันใด จางเหยียนเหว่ยแค่นเสียงหัวเราะในลำคอคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"ข้าจะชอบนางหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่เสด็จลุงจะต้องเข้ามายุ่ง นางเป็นหม้ายแล้วเช่นไร ท่านก็รู้ว่าข้าแท้จริงแล้วเบื้องหลังก็ไม่ได้ดีไปกว่านางเลย"
"แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าคบหากับนาง ตราบใดที่ยังอยู่ในตำแหน่งจวิ้นอ๋องเจ้าไม่มีทางแต่งกับนางได้ แม้เจ้าจะไม่ใช่จวิ้นอ๋อง เจ้าก็แต่งไม่ได้!!!!"
"ทำไมหรือ ที่ไม่ให้ข้ายุ่งกับนางหรือเพราะท่านอยากเก็บนางเอาไว้ข้างกาย ไม่ดีกระมัง นางก็รุ่นลูกท่านแล้ว"
“จางเหยียนเหว่ยเจ้าอย่าเอ่ยวาจาเหลวไหล!!!!!”
“อย่ายุ่งเรื่องของข้า อย่าทำให้ระหว่างเราต้องแตกหักไปมากกว่านี้ ที่ข้ากลับมาที่เมืองหลวงเพราะต้องจัดการเรื่องครบรอบวันตายท่านพ่อท่านแม่ของข้า น้องชายและน้องสะใภ้ของท่านอย่างไรเล่า แท้จริงแล้วข้าไม่เคยอยากกลับมาเลยด้วยซ้ำ และไม่เคยอยากได้ตำแหน่งใดในราชวงศ์เลยแม้แต่น้อย ตำแหน่งบัดซบที่แลกมาด้วยเรื่องราวน่ารังเกียจ ข้าไม่เคยต้องการมัน!!!!”
"เหยียนเหวย!!!เหยียนเหวย เจ้าคนบัดซบผู้นี้คิดว่าข้าเอ็นดูเจ้ามากแล้วจะทำสิ่งใดก็ได้เช่นนั้นหรือ กลับมานะ!!!!"
จางเหยียนเหว่ยไม่สนใจอีก เขาเดินออกมาจากตำหนักมังกรสวรรค์ด้วยแววตาที่เรียบเฉย ระหว่างนั้นเขาได้พบกับ จางจิ้งเฉวียน พระโอรสเพียงองค์เดียวของฮ่องเต้ มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเขา จางจิ้งเฉวียนมีอายุสิบแปดปีเต็มแล้ว อายุก็รุ่นราวคราวเดียวกับไป๋เหมยเหม่ย อีกทั้งยังมีน้องสาวฝาแฝดนามว่าจางหนิงหนิงอีกด้วย สองคนนี้กำเนิดมาจากฮองเฮาองค์ปัจจุบัน
"ท่านพี่"
จางเหยียนเหวยยิ้มให้จางจิ้งเฉวียนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"ถวายพระพรองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ"
"ไม่ต้องมาเอ่ยวาจาห่างเหินกับข้าเช่นนี้เลย พูดจาปกติเถิด เราพี่น้องไม่ได้พบกันมานานมากแล้ว ข้าคิดถึงท่านยิ่งนัก"
จางจิ้งเฉวียนเอ่ยกับจางเหยียนเหว่ยอย่างสนิทสนม
"ท่านพี่ เสด็จพ่อเรียกท่านเข้าเฝ้าเรื่องที่ท่านมีข่าวคราวกับอดีตฮูหยินของหยางเจ๋อหยวนบุตรชายท่านราชครูใช่หรือไม่"
จางเหยียนเหวยที่ได้ยินเช่นนั่นก็หันมาจ้องมองจางจิ้งเฉวียนก่่อนจะเอ่ย
"เจ้ารู้ได้เช่นไร"
"เอ่อ ข้าแอบออกไปเที่ยวนอกวังหลวงมา"
จางเหยียนเหวยใช้กำปั้นชกเข้าไปทีท้องน้อยของจางจิ้งเฉวียนคราหนึ่งอย่างหยอกเย้า ก่อนจะเอ่ย
"เดี๋ยวนี้รู้จักหนีเที่ยวแล้วหรือ?"
"ข้าเติบโตแล้วย่อมต้องออกไปท่องเที่ยวบ้าง อยู่แต่ในวังหลวงเบื่อจะตาย ท่านไม่บอกเสด็จพ่อก็ไม่รู้ ในเมื่อท่านพี่กลับมาแล้ว คราวหลังเรานัดกันออกไปดีหรือไม่ ท่านพี่ ข้าได้ยินว่ามีร้านหม้อไฟเปิดใหม่ มีผู้คนแวะเวียนไปกินจนร้านแน่นขนัด เขาเล่าลือกันว่าเป็นร้านของสตรีหม้ายผู้งดงามที่ถูกสามีหย่า อดีตฮูหยินน้อยของบุตรชายท่านราชครูอย่างไรเล่า ข้าอยากไปลองลิ้มชิมรสแล้วดูหน้านางว่าจะงดงามสมคำเล่าลือหรือไม่ หลังจากกินอิ่มแล้ว เราไปดื่มสุราที่จวนอ๋องของท่านดีหรือไม่"
"ด้านนอกอันตราย เจ้าไม่ควรออกไป"
"โธ่ท่านพี่ ยามนี้ไร้สงครามแล้วมิใช่หรือ"
“เจ้าจะประมาทไม่ได้”
“ก็ได้ๆ ข้าเข้าใจแล้ว”
จางจิ้งเฉวียนอยู่สนทนากับจางเหยียนเหวยต่ออีกครู่หนึ่ง ก่อนจะขอตัวจากไป จางเหยียนเหวยเองเมื่อออกจากวังหลวงก็มุ่งหน้าไปที่โรงน้ำชาของตนในทันที เมื่อเข้ามาถึงก็มองไปที่ร้านหม้อไฟของไป๋เหมยเหม่ย พบว่ายามนี้คนเข้าร้านนางไม่ขาดสาย เรื่องราวเมื่อวานนี้ไม่ได้ส่งต่อนางมากนัก เขาจ้องมองไป๋เหมยเหม่ยที่ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อตน พร้อมกับยิ้มแย้มให้ลูกค้าคราหนึ่ง ก่อนจะละสายตาไปจากนางแล้วเดินตรงเข้าไปยังห้องใต้ดินที่อยู่ชั้นล่างสุดของโรงนำชาทันที
ห้องใต้ดินแห่งนี้ถูกสร้างเอาไว้นานมากแล้ว ยามที่เขายังวัยเยาว์รู้สึกทุกข์ใจหรือไม่สบายใจเขามักจะมาเก็บตัวอยู่ที่นี่ สถานที่แห่งนี้คือสถานที่เดียวที่ทำให้เขาปลีกตัวหลบซ่อนตัวตนจากโลกภายนอกได้อย่างสงบใจ
ทุกคราที่ถูกท่านพ่อตีและท่านแม่ดุด่า เขาก็มักจะมาหลบอยู่ในห้องใต้ดินแห่งนี้เพียงลำพัง
การที่เขาไม่ไปพบฮ่องเต้ผู้เป็นเสด็จลุง ก็เพราะไม่อยากสะกิดรอยแผลเป็นในใจของตนให้อักเสบขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อได้พบกันคล้ายว่าเรื่องราวในอดีตหนหลังจะหวนกลับมาอีกครา ทำให้โรคทางใจของเขามันกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง
จางเหยียนเหวยล้วงมือหยิบมีดสั้นในแขนเสื้อขึ้นมา ดวงตาของเขาเลื่อนลอยราวกับคนไร้สติ ก่อนจะจ้องมองมีดในมือของตนราวกับมันคือของเล่นชิ้นโปรด