จางเหยียนเหวยที่ถูกเรียกเช่นนั้นก็หันขวับมาจ้องมองฮ่องเต้จางเหลียนไห่ในทันที แววตาของเขาเย็นชาห่างเหินเป็นอย่างยิ่ง ฮ่องเต้จางเหลียนไห่ที่มองเห็นท่าทีเช่นนี้ของหลานชายก็รู้สึกทอดถอนใจยิ่งนัก
ตั้งแต่ที่จางเหยียนเหวยรู้เรื่องนั้นก็ไม่มีท่าทีสนิทสนมกับเขาเช่นกาลก่อนอีก เขาเองก็หมดหนทางเช่นกัน เรื่องในอดีตเป็นส่งที่แก้ไขไม่ได้อีกแล้ว เขาจ้องมองหลานชายของตน ก่อนจะเลื่อนสายตาลงไปที่มือซ้ายของจางเหยียนเหวยก่อนจะเอ่ย
"มือเจ้าไปโดนสิ่งใดมา หรือว่าเจ้าทำร้ายตนเองอีกแล้ว!!!!"
ฮ่องเต้จางเหลียนไห่ตรงเข้ามาหาจางเหยียนเหวย แต่ทว่าจางเหยียนเหวยกลับถอยหลังหนีราวกับคนแปลกหน้า ฮ่องเต้เต้จางเหลียนไห่ชะงักฝีเท้า พลางมองจางเหยียนเหวยด้วยแววตาที่โศกเศร้า
วันที่เขารู้ข่าวว่าจางเหยียนเหวยตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพออกรบตั้งแต่อายุสิบห้าปีโดยไม่กล่าวลาหรือบอกเขาสักคำ เขาตกใจมาก เด็กหนุ่มผู้ไม่เคยทำสงคราม กลับเลือกเข้าสู่สมรภูมิรบใจของเขาย่อมไม่อาจสงบสุขได้เลยสักวัน ด้วยเกรงว่าจะไม่ได้เห็นหน้าจางเหยียนเหวยอีกตลอดกาล ปีแล้วปีเล่าเขาส่งคนออกไปติดตามความเป็นไปของจางเหยียนเหวยอย่างลับๆ เมื่อรู้ข่าวว่าหลานชายผู้นี้อยู่รอดปลอดภัยเขาเองก็ดีใจยิ่งนัก
ชะตาชีวิตของจางเหยียนเหวยน่าสงสารไม่น้อย เขารู้มาตลอดว่าหลานชายตนเองป่วยทางใจ แต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เขายื่นมือเข้าไปยุ่งเกินกว่าจำเป็นย่อมไม่ใช่เรื่องที่สมควร จึงทำได้เพียงมองห่างๆ เท่านั้น มองดูหลานชายตนเองจมสู่ความทุกข์ใจไม่อาจรักษา ทั้งที่ความจริงแล้วต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดมันมาจากเขา
เพราะเขาคนเดียว!!!
นานวันเข้าจางเหยียนเหวยก็ยิ่งเหินห่างจากเขา แม้กระทั่งวันที่เขาพระราชทานตำแหน่งจวิ้นอ๋องให้ จางเหยียนเหวยก็ยังไม่ใส่ใจ ไม่มีแม้จดหมายตอบกลับ ทำราวกับมันไม่ได้สำคัญเลยแม้แต่น้อย
แม้แต่ชินอ๋องจางเหวินฟู่น้องชายคนรองของเขายังไม่ยอมกลับมาเมืองหลวงเพราะอยากหลีกหนีความวุ่นวาย เขารู้สึกว่าตนเองช่างโดดเดี่ยวเหลือเกิน
จางเหยียนเหวยที่เห็นสีหน้าเป็นทุกข์ของฮ่องเต้จางเหลียนไห่ก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"ไม่ใช่เรื่องที่เสด็จลุงจะต้องรู้ ข้าจะทำสิ่งใดก็ไม่เกี่ยวกับท่าน รีบพูดมาเถิด เรียกข้ามาที่นี่มีเรื่องใดให้ข้าไปทำ หรือว่าจะให้ไปตามสืบเรื่องนักฆ่าพวกนั้น"
ฮ่องเต้เต้จางเหลียนไห่เม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกขมฝาดในลำคอ เพียงได้เห็นท่าทีเช่นนี้จางเหยียนเหวยก็รู้สึกไม่ชอบใจแม้แต่น้อย จะใช้งานก็ใช้มาเถิดเสแสร้งทำเป็นทำบากใจไปทำไมกัน
เมื่อเห็นว่าบุรุษวัยกลางคนตรงหน้ายังคงเงียบ จางเหยียนเหวยจึงเอ่ยทันที
"เช่นนั้นข้าจะรีบไปสืบหาเบาะแสให้ก็แล้วกัน แต่ที่ข้าทำไม่ใช่เพราะท่าน แต่เพราะจิ้งเอ๋อร์และหนิงเอ๋อร์ เด็กสองคนนั้นไม่ได้ล่วงรู้ถึงเรื่องโสมมที่ท่านเคยกระทำเอาไว้ ข้าคงต้องไปแล้ว หากไม่มีสิ่งใดเราสองคนอย่าพบหน้ากันอีกจะดีที่สุด"
จางเหยียนเหวยไม่รอช้าอีก เขาหันหลังเดินจากไปทันที ทิ้งให้ฮ่องเต้จางเหลียนไห่กำมือแน่น ดวงตาแดงก่ำ ยืนอยู่อย่างเดียวดายในท้องพระโรงเพียงลำพัง
เมื่อออกมาจากท้องพระโรงแล้วจางเหยียนเหวยถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง เขารู้สึกว่าจิตใจบีบรัดจนอยากกระอักโลหิตออกมา เขาพยายามข่มกลั้นเอาไว้ พลันนึกถึงใบหน้าของไป๋เหมยเหม่ยขึ้นมาเสียดื้อๆ
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดยามที่คิดถึงนางมันทำให้ใจของเขาสงบขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
จวนตระกูลไป๋
ยามนี้ไป๋เหมยเหม่ยกำลังมองดูของพระราชทานที่ขันทีในวังหลวงนำมามอบให้เมื่อครู่นี้คราหนึ่ง ขันทีผู้นั้นบอกว่าเป็นของรางวัลที่ฝ่าบาทต้องการตอบแทนที่นางช่วยองค์รัชทายาทและองค์หญิงเอาไว้ เดิมทีนางไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน เพราะไม่ได้ช่วยสิ่งใดมากนัก แต่ในเมื่อพระราชทานมาแล้วนางก็ยินดีรับเอาไว้
"เฉียวเหลียนให้คนนำไปเก็บในห้องข้า"
"เจ้าค่ะคุณหนู"
ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มตาหยี พลางมองดูเหล่าบ่าวไพร่ในจวนด้วยแววตาที่อ่อนโยน ระยะนี้สาวใช้ต่างไม่หวาดกลัวนางแล้ว อีกทั้งยังทำขนมอร่อยๆ มาให้นางกินอีกด้วย
เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดแล้ว ไป๋เหมยเหม่ยจึงคิดจะกลับไปพักเสียหน่อย วันนี้ร้านหม้อไฟของนางไม่ได้เปิดขายเพราะนางอยากพัก แต่ทว่านางกลับเห็นใครบางคนเดินเข้ามาในจวนของนาง
จางเหยียนเหวย
ไป๋เหมยเหม่ยใจเต้นอย่างแรง ยามที่จางเหยียนเหวยเดินมานั้นราวกับเขาลอยมา แสงประกายแห่งความหล่อเหลาสาดกระทบดวงตาของนางจนพร่ามัวไปหมด
ก็เล่นหล่อซะทุกวันเช่นนี้ ผู้ใดมันจะไปห้ามใจได้!!!
จางเหยียนเหวยที่เห็นว่าไป๋เหมยเหม่ยกำลังยืนมองตนก็ยกยิ้มมุมปากคราหนึ่ง ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหานาง ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นเช่นนั้นก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม
"คาราวะท่านอ๋องเพคะ"
"ไม่ต้องมากพิธี พี่ชายเจ้าอยู่หรือไม่"
"เขาอยู่ที่ลานฝึกยุทธ์ที่ท้ายจวนเพคะ"
"อืม ข้าให้เจ้า"
ไป๋เหมยเหม่ยมองดูของสิ่งนั้นที่จางเหยียนเหวยส่งมาให้นาง ก่อนจะพบว่ามันคือถังหูลู่นั่นเอง นางรับมันมาถือเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยถาม
"ท่านอ๋องซื้อมาฝากหม่อมฉันหรือเพคะ"
"ใช่แล้ว สตรีหน้าตางดงามย่อมคู่กับของหวาน"
"เอ่อ.."
"อ้อ ขนมกุ้ยฮวาที่ข้ามอบให้เจ้ารสชาติดีหรือไม่"
ไม่รอให้ไป๋เหมยเหม่ยเอ่ยสิ่งใดต่อ เขาก็เปลี่ยนเรื่องถามนางเสียแล้ว ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นเช่นนั้นจึงพยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับ
"รสชาติอร่อยดีเพคะ"
"อืม ไว้ข้าจะทำมาให้อีกหากเจ้าชอบ"
เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินตรงไปที่ลานฝึกยุทธ์ในทันที ไป๋เหมยเหม่ยมองตามเขาไปจนลับสายตา ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อยพลางจ้องมองขนมถังหูลู่ที่เขานำมามอบให้ตนคราหนึ่ง ในใจอยากจะกรีดร้องออกมาให้สุดเสียงแต่ทว่าต้องเก็บอาการไว้
นางจะไม่กิน นางจะเก็บเอาไว้!!!
ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี ครั้งก่อนที่เขามอบขนมกุ้ยฮวาให้นาง นางก็แทบทำใจกินไม่ลงเพราะเสียดาย
ไป๋เหมยเหม่ยเดินกลับมาที่เรือนของตนเองพลางมองท้องฟ้า ยามนี้เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว อากาศก็กำลังดีไม่น้อย นางกินมื้อกลางวันไปไม่น้อย จึงคิดจะไปวิ่งออกกำลังกายเสียหน่อย บ่าวไพร่และคนในจวนล้วนเคยชินกับการวิ่งของนางเสียแล้ว อีกทั้งท่านพ่อก็ยังชอบมาวิ่งกับนางด้วยทุกคราที่มีเวลา
ด้านจางเหยียนเหวยที่กำลังนั่งจิบสุราพลางสนทนากับไป๋จินเซียงอยู่ที่ลานฝึกยุทธ์ก็เหลือบไปเห็นไป๋เหมยเหม่ยที่กำลังใช้สองมือยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับวิ่งอย่างช้าๆ และสลับเป็นรวดเร็วมากขึ้น นางวิ่งวนอยู่เช่นนั้น บางคราก็ยกแขนขาบิดกายไปมา เขาขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะหันไปถามไป๋จินเซียง
"อาจิน น้องสาวเจ้ากำลังทำสิ่งใดกัน"
ไป๋จินเซียงที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหันมองไปตามสายตาของจางเหยียนเหวยคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย
"นางบอกว่าการวิ่งทุกวันจะช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง"
"นางวิ่งทุกวันเลยหรือ"
"ใช่"
จางเหยียนเหวยจ้องมองไป๋เหมยเหม่ยด้วยท่าทีที่สนใจไม่น้อย รู้สึกว่านางมารน้อยผู้นี้จะมีเรื่องให้เขาประหลาดใจได้ทุกวันจริงๆ