ตอนที่3 บุญคุณท่วมหัว
คุณผู้หญิงและคุณผู้ชายผู้มีพระคุณล้นหัวไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรกับเธอมากนัก นอกจากประโยคที่พวกท่านชอบพูดกรอกหูจนหลับเธอยังละเมอออกมาเป็นคำพูดพวกนั้นได้ทุกถ้อยคำ
“ฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่พ่อแม่แกตาย แกต้องตอบแทนบุญคุณของฉันกับคุณผู้ชาย”
คุณนายวราภรณ์เปิดประโยคแรกอันคุ้นหู หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าตอบรับคำเบาๆ
“ฉันจะให้คนขับรถไปส่งแกที่สถานีรถไฟ เมื่อไปถึงที่นั้นแกต้องทำตัวดีๆ อย่าสร้างความเดือดร้อนให้ฉันกับคุณผู้หญิงเด็ดขาด จำที่ฉันบอกได้ทุกอย่างใช่ไหม”
“จำได้ค่ะคุณผู้ชาย” ดาริกาเม้มปากก้มหน้ามองมือตัวเองที่วางประสานไว้บนตัก
“ไปอยู่ที่โน่นก็ทำตัวดีๆ พูดให้น้อยทำงานให้มาก อย่าได้ทำให้ฉันกับคุณผู้ชายต้องเดือดร้อนเป็นอันขาด อย่าลืมซะล่ะว่าที่แกมีกินมีใช้มีที่ซุกหัวนอนและได้ร่ำเรียนจนจบปริญญาอย่างทุกวันนี้เป็นเพราะใคร ถ้าแกทำความเดือดเนื้อร้อนใจให้ฉันกับคุณผู้ชายละก็ ฉันเอาแกตายแน่จำใส่หัวไว้”
คุณนายวราภรณ์พูดกำชับอีกครั้ง
“ดาไม่มีวันลืมหรอกค่ะว่าคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายมีบุญคุณกับดามากแค่ไหน”
“แกคิดแบบนั้นได้จริงก็ดี เอออีกอย่าง ไปอยู่ที่โน่นแล้วแกไม่ต้องติดต่อกลับมาละ ถ้ามีอะไรฉันจะติดต่อไปเอง”
“ค่ะคุณผู้หญิง”
ความอัดอั้นบางอย่างที่เอ่อล้นอยู่ในอกแปรเปลี่ยนเป็นหยาดน้ำใสๆ เอ่อคลอ จนเธอไม่สามารถสะกดกลั้นได้อีกต่อไป
“ทำเป็นสำออยอะไรตอนนี้ ไปๆ เดี๋ยวก็ไม่ทันรถกันพอดี พิรี้พิไรอยู่ได้” คุณนายวราภรณ์ชักสีหน้ารำคาญพร้อมกับโบกไม้โบกมือไล่
“ดากราบลาคุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงค่ะ ดูแลตัวเองด้วยนะคะ”
หญิงสาวก้มลงกราบเท้าผู้มีพระคุณทั้งสอง
ก่อนออกมาจากคฤหาสน์แห่งความทรงจำในวัยเด็กดาริกาน้ำตาไหลพราก เธอต้องจากสถานที่แห่งนี้ไปแล้วสินะ สถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกิดเรื่องราวแห่งความสุขในวัยเยาว์ของเธอเอาไว้มากมาย ความทรงจำอันแสนสุขของเธอกับบิดามารดา
“ดาไปก่อนนะคะคุณพ่อคุณแม่”
หญิงสาวมองประตูทางเข้าคฤหาสน์เจริญไพศาลเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก้าวขึ้นรถของลุงสาธิตคนขับรถคนเก่าของบิดาเธอเมื่อครั้งท่านยังมีชีวิตอยู่
“ไปกันได้แล้วค่ะลุงสาธิต”
ดาริกายกมือปาดน้ำตาฝืนยิ้มให้กับชายสูงวัย
“ครับคุณหนู”
ความมืดและความโศกเศร้าที่กำลังจะจากบ้านที่เธออยู่มานับยี่สิบปีทำให้ดาริกาไม่ทันสังเกตความผิดปกติในน้ำเสียงของคนขับรถ
“ดูแลตัวเองดีดีนะครับคุณหนู” ดวงตาของชายสูงวัยเอ่อคลอ
รถยนต์เคลื่อนตัวออกจากคฤหาสน์เจริญไพศาลช้าๆ ภายในห้องโดยสารเงียบกริบไร้บทสนทนาใดๆ อีก หากแต่ในหัวใจของดาริกากับกำลังร่ำร้องปานจะขาดใจ
เสียงกรนราวกับมีอะไรติดคอของเพื่อนร่วมทางดึงดาริกาออกจากภวังค์ความคิด หญิงสาวก้มมองนาฬิกาเรือนน้อยซึ่งครั้งหนึ่งมันเคยสวมอยู่บนข้อมือของมารดา เธอยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงให้พักระหว่างเดินทาง เวลาในตั๋วบอกว่าเธอจะถึงปลายทางในเวลาหกโมงเช้า
ดาริกาฝืนหลับตาลงช้าๆ เธอต้องออมแรงเอาไว้ ไม่รู้ว่าปลายทางจะมีอะไรรออยู่บ้าง หากหญิงสาวก็เฝ้าบอกกับตัวเองเสมอว่าเธอจะสู้และฝ่าฟันมันไปให้ได้