ต้วนจินเซี่ยมองตามหลังนายอำเภอหนุ่มหน้าหยกที่เดินตัวปลิว สาวเท้าให้ทันมือปราบหญิงที่สะบัดหน้าไปก่อน
“ข้าว่าเป็นฮูหยินนายอำเภอก็ไม่เลวนะ”
“จริงเจ้าค่ะ ทั้งรูปงามและยังหนุ่มแน่น ข้าน้อยได้ยินว่าใต้เท้าโหลวยังมิได้แต่งงานนี่เจ้าคะ?”
“เจ้าไปสืบมาให้แน่ชัด หากว่ายังไม่มีฮูหยินล่ะก็ ข้าจะรับเขาไว้พิจารณา”
สาวใช้ประจำตัวคนแรกรีบรับคำแล้วผละออกจากกลุ่มตรงไปยังจวนนายอำเภอ ส่วนคุณหนูต้วนก็ยังคงเดินชมร้านค้ากับสาวใช้และบ่าวรับใช้คนที่เหลือ ในใจก็ใคร่ครวญว่าตนเองควรจะรีบวางแผนก่อนที่คุณหนูบุตรีคหบดีทั้งหลายในอำเภอจะตื่นตัว
เมื่อนางกลับไปถึงจวนปลัดอำเภอในยามบ่าย ก็ได้ยินมารดาเอ่ยถึงงานเลี้ยงที่จะจัดขึ้นต้อนรับโหลวซีห่าว
“ท่านพ่อของเจ้าให้แม่เป็นแม่งานเตรียมงานเลี้ยงในครั้งนี้ ต้องเชิญคนสำคัญในอำเภอเชียนเยามาให้ครบถ้วน เจ้ามาพอดี มาช่วยแม่ตรวจรายชื่อพวกนี้หน่อย อย่าให้ขาดตกบกพร่องได้”
“ท่านแม่ ข้าเพิ่งพบท่านนายอำเภอคนใหม่เมื่อครู่นี้เองที่หน้าตลาด”
ติงฮูหยินภรรยาของใต้เท้าต้วนได้ยินบุตรสาวมีสีหน้าและน้ำเสียงตื่นเต้นก็เงยขึ้นมามองนางอยู่ครู่ แววตาชื่นชมของต้วนจินเชี่ยทำให้นางยิ้มออกมา
“เขารูปงามมากเลยหรือ?”
“เจ้าค่ะ บุคลิกสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลา เคร่งขรึมเย็นชา”
“อืม...บุรุษทั่วทั้งเชียนเยา ยังไม่เคยมีผู้ใดทำให้เจ้าตื่นเต้นได้เช่นนี้ แสดงว่าใต้เท้าโหลวคงจะเหนือกว่าชายหนุ่มอีกมากเชียว”
“เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
“หากมีโอกาสเจ้าก็พยายามสนิทสนมเข้าไว้เล่า เป็นฮูหยินท่านนายอำเภอย่อมสุขสบายแน่นอน”
ต้วนจินเซี่ยยิ้มกริ่ม นางรีบรับคำมารดา ครั้นช่วยตรวจดูรายชื่อเรียบร้อย ติงฮูหยินก็ให้บ่าวรับใช้นำไปส่งให้เสมียนที่อำเภอเป็นผู้เขียนเทียบเชิญ
“เซี่ยเอ๋อร์ งานนี้มีคุณหนูทั่วทั้งอำเภอมาร่วมงาน หากว่าชุดของเจ้าไม่โดดเด่นก็คงจะไม่สะดุดตาใต้เท้าโหลวเป็นแน่”
สองแม่ลูกเห็นพ้องต้องกันว่าควรจะซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ พวกนางจึงตรงไปร้านแพรพรรณที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอเพื่อเลือกชุดที่สวยที่สุดก่อนที่หญิงสาวสกุลอื่นจะรู้เรื่องงานเลี้ยงแล้วมาซื้อตัดหน้าไป
โหลวซีห่าวเดินตรวจท้องที่กับสวีเสี่ยวถงได้หนึ่งรอบอำเภอก็เป็นเวลาตะวันตรงศีรษะพอดี มือปราบหญิงหันมาเห็นใบหน้าซีดเซียวของนายอำเภอ ผู้บอบบางอ้อนแอ้นอย่างบัณฑิตหนุ่มก็รู้สึกเห็นใจขึ้นมาแวบหนึ่ง
“แวะโรงน้ำชาสักหน่อยก็แล้วกันนะ ใต้เท้า”
“อืม...”
ชายหนุ่มถูกนางพาเดินวนเวียนออกจากถนนใหญ่ไปตรวจตราตามซอกเล็กซอกน้อยเสียจนทั่ว ความจริงไม่ต้องเดินตรวจขนาดนี้ก็ได้ แต่นางอยากจะให้เขาได้รู้บ้างว่างานมือปราบมิใช่ง่ายๆ จึงจงใจพาเขาเหน็ดเหนื่อย
โหลวซีห่าวรู้สึกขาช่วงล่างเริ่มจะสั่น ชีวิตของเขาเมื่อครั้งอยู่เมืองหลวงก็ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายมากนัก การเดินทางส่วนใหญ่คือนั่งเกี้ยวหรือไม่ก็รถม้า น้อยครั้งจะได้เดินหรือหากจะเดินก็ไม่ได้ไกลมากนัก เมื่อถูกมือปราบสวีพาตรวจท้องที่วนเวียนไปมาขนาดนี้ก็พาลจะเป็นลมเสียให้ได้
“ดื่มน้ำชาก่อนเจ้าค่ะ” นางรินน้ำชาแล้วเลื่อนมาต่อหน้าเขา แต่ใบหน้ากลับเบือนไปมองด้านอื่น
นายอำเภอหนุ่มรู้สึกว่ากระทั่งมือที่ยกจอกน้ำชาก็ยังสั่นน้อยๆ เหงื่อของเขาไหลย้อยมาข้างแก้ม เขาวางจอกชาลงนางก็รินให้อีก ชายหนุ่มดื่มไปถึงห้าจอกจึงได้ล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าในแขนเสื้อข้างหนึ่งออกมาซับเหงื่อ
“เรายังต้องไปที่ใดอีก?”
“กินข้าวเที่ยงกันก่อนเถอะใต้เท้า ข้าหิวจนจะทนไม่ไหวแล้ว” สวีเสี่ยวถงไม่ได้เป็นอย่างที่ปากพูด หากแต่เห็นเขาหน้าเริ่มซีดนางจึงหันไปเรียกเสี่ยวเอ้อมาแล้วสั่งบะหมี่สองชามโดยไม่ไถ่ถามโหลวซีห่าว
“เรากินบะหมี่ก็แล้วนะเจ้าคะ เพราะยามนี้สั่งอาหารอย่างอื่นคงจะไม่ได้กินง่าย บะหมี่ที่นี่อร่อยและให้เครื่องเยอะดีข้าชอบ”
ชายหนุ่มมิได้คัดค้าน เขากวาดสายตาไปรอบๆ ที่นี่มีคนนั่งจนเต็มเกือบทุกโต๊ะและส่วนใหญ่ก็สั่งบะหมี่จริงอย่างที่นางว่า
เมื่อเสี่ยวเอ้อวางบะหมี่หอมฉุยลงต่อหน้า ชายหนุ่มจึงได้รู้ว่านางกล่าวได้ถูกต้อง เขาไม่พูดพล่ามหยิบตะเกียบมาค้นบะหมี่ในถ้วยแล้วก้มหน้าก้มตากินโดยไม่ได้สนใจสตรีตรงหน้า สวีเสี่ยวถงมองมือของเขาที่สั่นน้อยๆ แล้วแอบยกยิ้มมุมปาก
‘ใต้เท้าโหลว ท่านก็เป็นแค่บัณฑิตอ่อนแอ คิดจะมาปกครองที่นี่คงไม่ง่ายนักหรอก หากไม่แข็งแกร่งกว่านี้เห็นทีจะร่วงก่อนรุ่งแน่’
“มือปราบสวี ข้ามาแล้วขอรับ” เหยาอิงหมิงกับลูกน้องทั้งสองของนางเดินเข้ามาสมทบ คนทั้งสามแยกไปนั่งอีกโต๊ะแล้วสั่งบะหมี่มากินเช่นกัน
สวีเสี่ยวถงวางตะเกียบหลังโหลวซีห่าวเล็กน้อย เขาและนางดื่มน้ำชากันเสร็จก็นั่งรอมือปราบหนุ่มทั้งสาม
“พวกเขาเตรียมม้าไว้ข้างนอกแล้ว การตรวจรอบบ่ายเราจะขี่ม้ากันไป หวังว่าท่านคงจะไม่เป็นลมแดดหรอกนะ”
นางหรี่ตามองเขาด้วยสายตาดูแคลน โหลวซีห่าวพลันรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว แม้เขาจะไม่ค่อยได้ออกแดดบ่อยนักแต่ก็มิใช่คนผิวบางถึงเพียงนั้น
“ข้าแค่พูดเผื่อเท่านั้นน่าใต้เท้า พวกเขาเตรียมหมวกมาด้วยอยู่” นางยิ้มอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้าชะงักใบหน้าซับสีระเรื่อดูน่าเอ็นดู
สวีเสี่ยวถงขี่ม้าคู่กับโหลวซีห่าว นางชี้ถนนที่นำไปสู่หมู่บ้านที่อยู่ใกล้อำเภอที่สุดให้เขาดู “หมู่บ้านที่อยู่รอบๆ อำเภอมีเส้นทางเชื่อมต่อกันทุกสายเป็นวงกลม ส่วนด่านทหารที่เฝ้าชายแดนท่านคงเคยเห็นในแผนที่แล้วว่าอยู่ห่างไปจากที่นี่พอสมควร เอาไว้วันหน้าเราค่อยไปดูกัน”
แดดบ่ายร้อนจริงอย่างที่นางคาดไว้ โหลวซีห่าวนึกขอบคุณที่นางสั่งให้คนเตรียมหมวกปีกกว้างมาให้เขาด้วย ถึงกระนั้นเหงื่อก็ไหลโซมกาย เขารับรู้ว่าแผ่นหลังตนเองเปียกชุ่ม กระทั่งมีหยดน้ำไหลลงไปตามร่องหลังลงต่ำกว่าบั้นเอว ใบหน้าทุกคนแดงระเรื่อเพราะความร้อน
“ถึงบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว เราไปแวะดื่มน้ำกัน” สวีเสี่ยวถงชี้ไปยังเรือนข้างหน้า แล้วชักม้านำไป
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งออกมาเห็นนางก็รีบกล่าวต้อนรับพร้อมยิ้มกว้าง “มือปราบสวี! ดีใจจริงที่ท่านออกมาเยี่ยมข้าน้อย”
“อย่าได้เกรงใจ ข้าเองต่างหากที่ต้องขอรบกวน พวกเราขอน้ำดื่มใส่ถุงหนังหน่อยเถิด วันนี้อากาศร้อนเหลือเกิน”
“เชิญขอรับๆ บ่อน้ำดื่มหลังบ้านข้าน้อยใสสะอาดเลยทีเดียว”
เหยาอิงหมิงลงไปผูกม้าแล้วพยักหน้าให้ลูกน้องทั้งสองรับเอาถุงหนังใส่น้ำดื่มไปกรอกน้ำ สวีเสี่ยวถงจึงแนะนำนายอำเภอคนใหม่ให้หัวหน้าหมู่บ้านได้รู้จัก
“ท่านนายอำเภอคนใหม่เองหรือนี่? ยินดีขอรับที่ท่านมาเยือนหมู่บ้านของเรา ช่วงนี้มีโจรกลุ่มใหม่ออกมาลักขโมยข้าวของ บางครั้งก็ดักปล้นชิงเงินทองระหว่างเดินทาง ท่านจะได้มาหาทางกวาดล้างเสียที”
****************************