ตอนที่ 4 สินค้าเกรดพรีเมี่ยม

4505 คำ
เสียงปรบมือสลับกับเสียงโห่ร้องดังขึ้นทีที่มินรดาปรากฏตัวขึ้นภายในผับ พวกมันจับหญิงสาวขึ้นไปยืนบนรถลากที่มีขอบกั้นทำจากเหล็กคล้ายเกวียนก่อนที่จะเข็นออกไปยังลานแสดงตรงกลางของผับท่ามกลางสายตาหื่นกระหายของหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่รอบกาย มือเรียวที่จับราวเหล็กไว้มีเหงื่อแตกชุ่มเพราะอาการตื่นตระหนก พวกมันเรียกชื่อเธอผ่านไมโครโฟนว่าลินดา เป็นสินค้าที่มาจากประเทศไทย ทำให้กลุ่มนักเที่ยวต่างพากันโห่ร้องชอบใจ บ้างก็ละเมิดกฏด้วยการยื่นมือมาสัมผัสตรงขาเรียวจนพวกการ์ดของผับรีบลากตัวออกไป “สินค้าชิ้นงามเกรดพรีเมี่ยมนี้ จะตกเป็นของผู้ชนะการประมูลคืนนี้เท่านั้น” เสียงประกาศทางไมโครโฟนทำให้กลุ่มนักเที่ยวมากันคอตก พอรู้ดีว่าคนที่จะชนะการประมูลได้นั้นต้องเป็นคนที่กระเป๋าหนาพอสมควร “ระหว่างนี้ อาจมีผู้ร่วมประมูลกำลังเดินทางมา ดังนั้นเรายินดีที่จะให้ทุกท่านชื่นชมสินค้าที่อยู่ตรงหน้าของท่านเสียก่อนจนกว่าการประมูลจะเริ่มต้นขึ้นในอีกครึ่งชั่วโมง” มินรดาตัวร้อนวูบวาบ แสงไฟนับสิบดวงที่ส่องมาหาจนต้องหรี่ตาลงทำให้เธอมองเห็นผู้คนที่ยืนล้อมรอบรถเกวียนประดิษฐ์คันนี้ได้ไม่ถนัดนัก แม้จะได้ยินเพียงแค่เสียงมันก็ทำให้เธอถึงกับเข่าอ่อนพยายามใช้มือปิดบังเนินเนื้อที่โผล่พ้นออกมาจากเดรสตัวจิ๋วด้วยความยากลำบาก เธอไม่รู้เลยว่าค่ำคืนนี้เธอจะต้องไปกับผู้ชายคนไหน ไม่รู้ว่าเวรกรรมแต่ชาติปางไหนมันถึงทำให้เธอต้องมาตายทั้งเป็นอยู่ในสถานที่แห่งนี้ น้ำตาหยดใสเผลอไหลออกมาจนเปรอะเปื้อนเครื่องสำอางที่ถูกแต่งแต้ม ริมฝีปากบางสั่นระริกเพราะพยายามกัดกลืนก้อนสะอื้นให้มันลงคอไป รู้สึกเวทนาตัวเองที่ต้องกลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงตัวน้อย ๆ ซึ่งกำลังถูกขายทอดตลาดเป็นที่ระบายอารมณ์ให้กับผู้คนเหล่านี้ หากต้องถูกส่งตัวไปกับผู้ชนะการประมูล เธอก็ยินดี และสถานที่นั้นมันก็จะเป็นสถานที่สุดท้ายที่เธอจะมีลมหายใจ ในเมื่อหมดทางหนีเธอก็ขอจบชีวิตตัวเองเสียจะดีกว่าต้องกลายมาเป็นผู้หญิงที่ขายเรือนร่างแบบนี้ “และในที่สุดช่วงเวลาที่ทุกท่านรอคอยก็มาถึง...” เสียงไมโครโฟนประกาศลั่นอีกครั้ง ทำให้บรรดานักเที่ยวต่างทะยอยกันมาที่ลานกว้างเพื่อชื่นชมราคาและสินค้าเกรดพรีเมี่ยมของพวกมัน “เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมขอเปิดการประมูลเริ่มต้นที่ หนึ่งพันปอนด์...” “ผมให้ห้าพัน” เสียงผู้ประมูลคนแรกดังขึ้นทั้งที่พิธีกรบนเวทียังพูดไม่จบ ทำให้คนอื่น ๆ ต่างตะโกนแข่งกันจนเกิดเป็นความโกลาหลขึ้นเล็กน้อยเพราะเป็นการประมูลที่ไม่ได้เป็นทางการมากนัก กฏระเบียบจึงไม่มีอะไรตายตัว “เจ็ดพัน...” “หนึ่งหมื่น...” “หมื่นห้า...” “ผมให้หมื่นเจ็ด...” “ตอนนี้อยู่ที่สามหมื่นแล้วนะครับ” เสียงพิธีกรที่อาศัยความโกลาหลเมื่อครู่ปั่นราคาจนสูงลิ่วดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้บรรดานักเที่ยวต่างพากันโอดครวญจน แทบไม่มีใครสงสัยเลยว่าราคานั้นพวกมันเป็นคนปั่นขึ้นมาเอง บรรดานักเที่ยวระดับล่างพากันคอตกเพราะราคาที่เริ่มสูงจนแตะไม่ถึงทำให้นักเที่ยวอีกกลุ่มที่กระเป๋าหนากว่าซึ่งถูกจัดที่นั่งไว้ให้ในโซนวีไอพีเริ่มทำการประมูลบ้าง “สามหมื่น...” “ห้าหมื่น...” “ผมขอปิดที่หนึ่งแสน” เสียงของชายแก่วัยเจ็ดสิบปลาย ๆ ดังขึ้น ทำให้บรรดานักเที่ยวต่างหันไปมองยังต้นเสียงกันเป็นทิวแถวก่อนจะพบกับชายชราผมขาวถือไม้เท้านั่งอยู่บนชั้นสองของผับ “เก็บแรงไว้หายใจดีกว่าไหมลุง ฮ่า ๆ ๆ ” ผู้เข้าร่วมประมูลอีกฝั่งหัวเราะลั่น “ผมให้เลยเต็มที่แสนห้า” “ตอนนี้ราคาอยู่ที่หนึ่งแสนห้าหมื่นปอนด์ ผมขอทำการปิดประมูลใน ห้า...สี่...สาม...สอง...” “สองแสน ! ” เสียงของผู้เข้าร่วมประมูลดังขึ้นอีกครั้งยิ่งสร้างความฮือฮาให้กับบรรดานักเที่ยวทำให้พวกมันยิ่งพอใจ “มีใครจะให้เยอะกว่านี้ไหมครับ” “...” ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ ดังขึ้นจากผู้ร่วมประมูล พวกมันจึงนับปิดการประมูลอีกครั้ง “สองแสนครั้งที่หนึ่ง สองแสนครั้งที่สอง” “สามแสน ! ” เสียงชายชราคนเดิมดังขึ้นทำให้คนที่เพิ่งประมูลไปสองแสนจนหมดหน้าตักขบกรามแน่นที่ถูกแย่งสินค้าชิ้นงามไป “สามแสนครั้งที่หนึ่ง สามแสนครั้งที่สอง สามแสนครั้งที่สาม...ปิดที่สามแสน ! ” “โห่ ! ” บรรดานักเที่ยวคนอื่น ๆ ที่แพ้ประมูลต่างพากันโห่ร้องส่งนิ้วโป้งชี้ลงพื้นไปให้ชายชราที่ประมูลหญิงสาวได้ไปในค่ำคืนนี้ “ขอบคุณที่ร่วมสนุกไปกับเรา และไม่ต้องเสียดายไป สินค้าเกรดพรีเมี่ยมของเราจะถูกส่งให้ผู้ชนะการประมูลแค่หนึ่งคืนเท่านั้น หากท่านยังสนใจสามารถเข้ามาชื่นชมสินค้าของเราได้อีกครั้งในวันถัดไป ทางเรามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าสินค้าที่ถูกประมูลไปในคืนนี้จะต้องกลับมาในสภาพสมบูรณ์แน่นอน ฮ่า ๆ ๆ ” พวกมันหัวเราะชอบใจเพราะชายชราที่ประมูลชนะไปแทบไม่มีเรี่ยวแรงจะลุกเดินด้วยซ้ำ นับประสาอะไรที่ต้องมาขึ้นเตียงกับผู้หญิงวัยยี่สิบต้น ๆ อย่างมินรดา “ขึ้นไปสิ” ฝรั่งร่างสูงใหญ่เอ่ยขึ้นหลังจากที่ได้รับหน้าที่ให้มาส่งสินค้าให้กับผู้ชนะยังลานจอดรถของผับ “ฉันไม่ไป” มินรดาโอดครวญ เธอเหลือบมองชายชรารุ่นปู่ที่นั่งอยู่ข้างในด้วยสายตาที่กำลังสับสน “ฉันขอตายซะยังดีกว่า” “บอกให้ขึ้นไปดี ๆ ไง จะรีบตายไปไหน ตัวแกมีค่าตั้งสามแสน... เร็วสิ อย่าให้ลูกค้ารอ” “ก็บอกว่าไม่ไปไงเล่า อ๊ะ ! ” มินรดารู้สึกจุกนิด ๆ เมื่อพวกมันพวกมันออกแรงผลักร่างเธอให้เข้าไปนั่งในรถลีมูซีน “อย่าทำตัวมีปัญหาแล้วอย่าคิดหนี พรุ่งนี้สิบโมงเช้าจะส่งคนไปรับ” พวกมันขู่กำชับอีกครั้งก่อนจะหันไปกล่าวลากับชายชราผู้ชนะการประมูล “ขอให้สนุกนะครับ คุณเจสัน” “ขอบคุณ” ชายชราพยักหน้าเพียงเล็กน้อยหลังจากที่ประตูรถถูกปิดลง รถจึงค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกสู่ถนนใหญ่ใจกลางมหานครลอนดอน มินรดาได้แต่นั่งนิ่งมาตลอดทาง จ้องมองบ้านเรือนผู้คนในยามค่ำด้วยสายที่เหมือนจะปลงในชีวิต ครั้นวิวทิวทัศน์ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นต้นไม้และทุ่งหญ้า นาน ๆ ครั้งถึงจะเจอบ้านคน มันจึงทำให้หญิงสาวเกิดความคิดที่อยากจะเอาตัวรอด หาทางกลับไปยังบ้านของตัวเองอีกครั้งจึงลองหันไปพูดกับคนที่นั่งตรงหน้าดู “เอ่อ...สวัสดีค่ะ ฉันได้ยินว่าคุณชื่อเจสัน ฉันชื่อ...เอ่อ...ลินดานะคะ” มินรดาตัดสินใจบอกชื่อในวงการที่เกว็นเป็นคนตั้งให้เพราะไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องบอกชื่อจริงให้คนแปลกหน้ารู้ “อืม ผมรู้แล้ว” เจสันตอบกลับมาแต่เพียงสั้น ๆ ทำให้หญิงสาวเดาไม่ออกเลยว่าเขาเป็นคนยังไง จะใจดีถึงขั้นยอมปล่อยตัวเธอไปหรือเปล่า “จริง ๆ ฉันเป็นคนไทยค่ะ ฉันถูกแฟนที่คบกันมาหกเดือนหลอกว่าจะพามาหางานทำที่นี่ ฉันเห็นว่าที่นี่น่าจะได้ค่าตอบแทนเยอะ ฉันก็เลยตามเขามา แต่ฉันมารู้ทีหลังว่าเขาหลอกพาฉันมาขายตัว...” มินรดาลองโน้มน้าวดูอีกครั้งด้วยการบีบน้ำตาร้องขอความเห็นใจ “ฉันรู้ว่าคุณเสียเงินมากมายเพื่อแลกกับตัวฉันมาแค่หนึ่งคืน แต่ฉันไม่ได้อยากทำงานแบบนี้เลยนะคะ ถ้าคุณยอมปล่อยฉันไปฉันสัญญาว่าจะหาเงินมาคืนคุณสองเท่าเลย คุณจะได้ทั้งเงินได้ทั้งความดีที่ช่วยฉัน ฉันรู้นะว่าจริง ๆ แล้วคุณ...เอ่อ...ไม่สิ คุณตาเป็นคนใจดี ลองมาคิดดูแล้วอายุเราน่าจะห่างกันเกือบสี่สิบปี มันเป็นไปไม่ได้เลยที่...” “ฉันว่าทางที่ดี เธอช่วยนั่งนิ่ง ๆ เงียบ ๆ จะดีกว่านะ” “คุณตา...แต่ว่าหนู...” “ฉันช่วยเธอไม่ได้หรอก เสียใจด้วย” น้ำเสียงที่แสนเฉยชาทำลายกำแพงแห่งความหวังของมินรดาจนขาดสะบั้นลง หลังจากที่พยายามเกลี้ยกล่อมอยู่นานก็ไม่มีวี่แววว่าชายชราจะยอมเปลี่ยนใจ หญิงสาวจึงทำได้แค่ยอมนั่งรถไปเงียบ ๆ จ้องมองทุ่งหญ้าและไร่ข้าวโพดสองข้างทางด้วยสายตาแห่งความสิ้นหวัง ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เธอนั่งรถมาจนเผลองีบไปหลายครั้ง รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงปลุก “ถึงแล้ว ตื่นเถอะ” มือเหี่ยวย่นหนึ่งข้างถือไม้เท้าประคองตัวเองอยู่นอกรถ ส่วนอีกข้างเลื่อนมาเขย่าแขนของมินรดาเพื่อปลุกให้เธอตื่นขึ้นมาเผชิญกับโลกแห่งความจริงที่แสนโหดร้าย “ที่นี่ที่ไหน” ดวงตากลมโตกระพริบถี่ ก่อนจะลงจากรถแล้วพบกับบ้านหลังใหญ่คล้ายกับคฤหาสน์ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า “คฤหาสน์ไดมอนด์วูด” “คฤหาสน์ !?” มินรดาทวนคำอีกครั้งด้วยความตกใจ จ้องมองคฤหาสน์ตรงหน้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเธอมาที่นี่ในฐานะเจ้าหญิง และมีเจ้าชายรอเธออยู่ข้างในนี้ “เข้ามาสิ” ชายชราผายมือให้เธอเดินตามเข้าไปในบ้าน เท้าเรียวก้าวขึ้นบันไดที่ถูกขัดจนเงาวับด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ ร่างบางปรายตามองเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งมากมายที่ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ทั้งโคมไฟระย้าขนาดใหญ่ที่ห้อยระยางอยู่กลางห้องโถงใหญ่ แจกันแวววับบนโต๊ะไม้ ทุกชิ้นล้วนมีราคาในตัวที่ไม่ต้องคาดเดาก็น่าจะรู้ว่าคงจะแพงจนหูฉี่ “สวยจัง...” “อย่าไปจับอะไรในบ้านก่อนได้รับอนุญาตล่ะ” เสียงร้องห้ามดังขึ้นเมื่อหันไปเห็นมินรดากำลังเอื้อมมือไปจับกรอบรูปราคาแพงที่แขวนผนังไว้ “ถ้าจะให้ดี ช่วยเดินตามมาเงียบ ๆ จะดีกว่า” “ขอโทษค่ะ” หญิงสาวโน้มศีรษะลงเล็กน้อยแล้วจึงเดินตามชายชราไปยังทางเดินที่ทอดยาวไปยังตึกที่อยู่ทางปีกซ้ายของคฤหาสน์ “เข้าไปสิ” “คะ !?” มินรดาผงะเมื่อเจสันเปิดประตูบานใหญ่เข้าไปในห้อง ถึงมันจะดูไม่ใหญ่เท่าห้องอื่น ๆ ในคฤหาสน์แต่มันก็ดูหรูหราไม่ต่างกันเลยสักนิด “เสื้อผ้าวางไว้บนเตียง” นิ้วเรียวที่เหี่ยวย่นไปตามวัยชี้ไปบนที่นอนหนานุ่ม ซึ่งมีชุดสีหวานวางอยู่บนนั้น “อาบน้ำแต่งตัวซะ ตอนสี่ทุ่มให้ใส่ชุดนี้ไปหาฉันที่ห้องริมสุดทางปีกขวา” “แต่หนูบอกไปแล้วว่าหนูไม่...” “รีบไปจัดการซะ เดี๋ยวจะไม่ทันเวลา” ชายชราตัดบทก่อนจะหันหลังเดินจากไป มินรดาได้แต่ขบกรามแน่น จ้องมองแผ่นหลังของเจสันด้วยความรู้สึกที่แตกสลาย ต่อให้พยายามร้องขอแค่ไหนก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครใจดีให้ความช่วยเหลือเธอเลยสักคน “นี่มันชุดบ้าอะไรเนี่ย” หญิงสาวอุทานลั่น เมื่อหยิบชุดที่เจสันเตรียมไว้ขึ้นมาดู มือเรียวกางมันออกบนที่นอนจึงรู้ว่ามันเป็นชุดคอสเพลย์แม่บ้านสายเดี่ยวแสนวาบหวิว ข้างหน้าเป็นลูกไม้บางเบา ข้างหลังเว้ายาวไปจนแทบจะถึงร่องก้น แม้จะมีหูกระต่ายสีหวานน่ารักกับกางเกงชั้นในผูกเชือกตัวจิ๋วอีกตัวแต่ก็ไม่ได้ทำให้คนที่ต้องใส่อุ่นใจขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย “นี่มันบ้าชัด ๆ ” ร่างบางทิ้งเสื้อผ้าพวกนั้นลงบนเตียงอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะคว้าผ้าปูที่นอนขึ้นผูกกับราวกั้นระเบียงเพื่อใช้เป็นเชือกผูกคอตายหนีปัญหาบ้า ๆ นี้ไปสักทีแต่ในขณะที่กำลังจะรัดคอตัวเองอยู่นั้น เสียงหนึ่งกลับดังขึ้นเสียก่อน “นั่นคุณจะทำอะไร” แม่บ้านฝรั่งผมสีทองเดินเข้ามาคว้าตัวเธอเอาไว้ หล่อนแกะผ้าปูที่นอนออกก่อนจะลากหญิงสาวเข้ามาในห้อง “ปล่อยฉันเถอะค่ะ ฉันอยากตาย ฉันไม่อยากขายตัว” “นั่นมันเรื่องของคุณ ถ้าคุณจะตายก็ช่วยไปตายที่อื่น จะมาตายที่นี่ไม่ได้” แม่บ้านวัยกลางคนตัดบท หล่อนลากตัวมินรดาเข้าไปในห้องน้ำ จัดการขัดเนื้อขัดตัวให้เสียชุดใหญ่แล้วจึงบังคับให้เธอใส่ชุดที่อยู่บนที่นอนอีกครั้ง “ใส่ซะ ! ” “ฉันไม่ใส่ ชุดบ้าอะไรก็ไม่รู้ ลามก” “ลามกงั้นเหรอ อาชีพแบบคุณนี่มีทางเลือกนักรึไง” วาจาเชือดเฉือดดังลอดออกมา หล่อนไม่ได้สนใจกับคำขอร้องของมินรดาเลยสักนิด “ถ้าเธอไม่ยอมใส่ เดี๋ยวฉันจะใส่ให้เธอเอง” “ไม่ต้อง คุณออกไปเถอะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง” “ได้ และหวังว่าคุณจะไม่คิดสั้นฆ่าตัวตายที่นี่อีกนะ” หล่อนเชิดหน้าสะบัดก้นออกไป ท่าทีที่แสนหงุดหงิดนั้นทำให้หญิงสาวอดคิดเสียไม่ได้ว่าหล่อนคงจะเป็นภรรยาของเจสัน “เอาว่ะ ไม่มีทางเลือกแล้วนี่ ตกลงฉันต้องใส่ไอ้นี่สินะ” มินรดาถอนหายใจเสียยาวเหยียด พลางหยิบชุดขึ้นมาพิจารณาดูอีกครั้ง “ตาลุงเจสันนั่นก็แก่จะลงโลงแล้ว ถ้าเกิดฉันยอมเปลืองเนื้อเปลืองตัวยั่วนิดยั่วหน่อยให้หัวใจวาย ถึงตอนนั้นฉันค่อยหาทางหนีไปละกัน” หญิงสาวพยายามปลอบใจตัวเองก่อนจะจัดการใส่เสื้อผ้าพวกนั้น โชคดีที่มีจุกติดหน้าอกติดตัวมาจากผับนรกนั่น เธอจึงใช้มันปิดบนเม็ดทับทิมกันอายได้บ้าง “นี่แกจริง ๆ เหรอวะยัยมุก” มินรดาโอดครวญ จ้องมองเรือนร่างตัวเองที่อยู่ในชุดแสนวาบวิวผ่านเงาสะท้อนของกระจกด้วยหัวใจที่เต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ ไม่คิดไม่ฝันว่าเกิดมายี่สิบสามปีจะต้องมาถูกผู้ชายอายุเกือบจะแปดสิบเปิดบริสุทธิ์แบบนี้ได้ สองเท้าค่อย ๆ ก้าวเดินข้างหน้าด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ ถึงจะแอบเอาชุดคลุมสวมทับมาด้วยแต่ยังไงมันก็ยังรู้สึกเย็นโหวงเหวงอยู่ดี “ห้องนี้สินะ” มินรดาพึมพำออกมาเบา ๆ ดวงตากลมโตจ้องมองไปยังประตูบานใหญ่เบื้องหน้า ซึ่งเป็นห้องที่เจสันบอกให้เธอมาหา เสียงเพลงคลาสสิคดังแว่วออกมาจากห้องทำให้หญิงสาวชะงักกึก สติที่เหมือนจะหลุดหายไปเมื่อครู่กลับเข้าร่างก่อนที่สมองจะสั่งการให้ขาสองข้างหันกลับไปยังห้องของตัวเอง แต่ยังไม่ทันจะก้าวเดิน ร่างอวบท้วมของป้าแม่บ้านผู้ไม่เป็นมิตรกลับยืนท้าวสะเอวขวางทางเธอไว้อีกครั้ง “นั่นคุณจะไปไหน” “เอ่อ...” มินรดาอ้ำอึ้ง ไม่คิดมาก่อนว่าหล่อนจะเข้มงวดถึงขั้นเดินตามเธอทุกฝีก้าวแบบนี้ “ฉันกำลังจะกลับไปพักผ่อนแล้ว ดังนั้นช่วยทำให้ทุกอย่างมันเรียบร้อยสักทีเถอะ” มือที่เหี่ยวย่นถือวิสาสาะมาจับตัวหญิงสาวเอาไว้แล้วออกแรงดันให้คนตัวเล็กกว่าเดินไปยังห้องใหญ่ที่อยู่สุดทางเดิน “นี่ป้า ฉันถามป้าจริง ๆ เถอะ ป้าไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอที่สามีไปเอาผู้หญิงคนอื่นมานอนด้วยแบบนี้อ่ะ ฉันพูดตามตรงเลยนะ ถึงป้าจะดูแก่แต่ป้าก็ยังดูสาวดูสวย แต่ลุงเจสันกลับทำแบบนี้กับป้าได้ ป้าไม่เสียใจรึไง” “ไม่เสียใจ ! ” น้ำเสียงห้วน ๆ ตอบกลับมาพร้อมกับกระชากประตูให้เปิดออก จากนั้นจึงผลักร่างมินรดาเข้าไปข้างในก่อนจะกระซิบบอกบางอย่างที่หญิงสาวเองก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก “เพราะคนที่อยู่ข้างในไม่ใช่สามีฉัน” ปัง ! เสียงประตูปิดลงต่อหน้า เหลือแค่เสียงเพลงเบา ๆ กลับกลิ่นเทียนหอมอ่อน ๆ ภายในห้องเท่านั้น หญิงสาวชาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าหลังจากกวาดตามองไปรอบ ๆ ห้องแล้วพบกับความมืดมีเพียงเสียงไฟจากเชิงเทียนขนาดเล็กใกล้กับเตียงนอนเท่านั้นที่คอยส่องสว่าง หรือจริงแล้ว ๆ เขาเป็นพวกนับถือลัทธิปีศาจแล้วจับตัวเธอมาบูชายัญ “ไม่นะ ! ป้า เปิดประตู ปล่อยหนูออกไป ป้า ! ” ความคิดแวบแรกโผล่เข้ามาในสมอง ทำให้มินรดารีบหันไปที่ประตูก่อนจะทุบลงบนนั้น ส่งเสียงเรียกป้าแม่บ้านจนคอแทบแตก “ป้า ปล่อยหนูไปเถอะ หนูยังไม่อยากตาย...” “ตายเหรอ ทำไมต้องตายด้วย ฉันไม่เห็นว่าจะมีใครตายด้วยเรื่องแบบนี้หรอกนะ” เสียงที่แสนเย็นเฉียบดังขึ้นจากมุมหนึ่งของห้องทำให้มือที่ระรัวเคาะประตูต้องหยุดชะงักลงเพื่อมองไปยังต้นเสียง เป็นเพราะความมืดภายในห้องทำให้หญิงสาวมองเจ้าของเสียงนั้นไม่ชัดเจนนัก รู้แต่เพียงว่าเขากำลังสวมเสื้อคลุมสีขาวเช่นเดียวกับเธอ นั่งไขว่ห้างแล้วจิบเครื่องดื่มสีสวยในมืออย่างใจเย็น “เอ่อ...คุนลุงเจสันหรือเปล่าคะ” มินรดาเอ่ยถาม แต่พอร่างนั้นยืนขึ้นเธอกลับต้องแปลกใจเมื่อลองพิจารณาดูส่วนสูงและหุ่นดูแล้วคงไม่ใช่เจสันอย่างที่คิดแน่นอน “จะดื่มอะไรก่อนไหม” “คะ...คุณเป็นใคร” ร่างบางตัวชาหนึบ ตัวเธอแทบหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกับประตูเมื่อคนตรงหน้าไม่ใส่ใจจะตอบคำถามแต่กลับย่างสามขุมเข้ามาหา แม้จะเห็นหน้าไม่ชัดเจนนักแต่ก็พอสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังมาเยือน “ฉันก็คือผู้ชนะการประมูลไงล่ะ” “คนที่ชนะคือคุณลุงเจสันต่างหาก ไม่ใช่คุณ” มินรดาเอ่ยออกไปท่ามกลางความมืด แสงและเงาจากเชิงเทียนทำให้เธอเดาไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าผู้ชายตรงหน้านี้หน้าตาเป็นอย่างไร “จะพูดอย่างนั้นก็ถูก เจสันคือผู้ชนะ แต่เจ้าของเงินคือฉัน เพราะฉะนั้นคืนนี้ เธอต้องทำให้ฉันมีความสุขที่สุด ให้คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป” ร่างนั้นค่อย ๆ เดินเข้ามาหาเธอช้า ๆ มือทั้งสองข้างค้ำยันกับฝาผนังเพื่อป้องกันไม่ให้คนที่ยืนตัวสั่นอยู่ตรงกลางขยับหนีไปไหน “ว่าแต่...เราจะเริ่มกันยังไงดีล่ะ” “ดะ...เดี๋ยวก่อนค่ะ” มือเรียวพยายามออกแรงผลักอกกว้างของชายปริศนาออกไป เขาเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงกลิ่นน้ำหอมและไวน์ชั้นดีที่เพิ่งดื่มเข้าไปจนมินรดาเริ่มมึนเมาไปด้วย “ไม่เอาน่า ฉันมีเวลาแค่ถึงสิบโมงพรุ่งนี้เท่านั้น อย่ามาเล่นตัวสิ” “คุณจะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้นะคะ จริง ๆ แล้วฉันไม่ได้เต็มใจมาทำงานนี้สักหน่อย” หญิงสาวเบือนหน้าหนีไปอีกทางเมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ที่กำลังรถอยู่ตรงต้นคอ ไหน ๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ลองขอร้องเขาดูอีกทีก็คงไม่มีอะไรเสียหาย “ไม่เต็มใจงั้นเหรอ...” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยถาม ท่าทางที่ยืนไม่ค่อยจะตรงทำให้หญิงสาวพอจะเดาออกว่าก่อนหน้านี้เขาคงจะดื่มไปเยอะ และยิ่งเขาเมามากเท่าไหร่โอกาสที่เธอจะหลอกให้เขาตายใจโดยไม่ต้องเปลืองตัวก็จะเป็นได้สูงยิ่งขึ้น “ใช่ค่ะ ฉันถูกหลอกมาขายตัวที่นี่ คุณต้องช่วยฉันนะคะ ฉันมาจากประเทศไทย ฉันอยากกลับบ้านแต่พวกมันก็ยึดหนังสือเดินทางของฉันไว้หมด ฉันรู้ว่าคุณใจดีคุณต้องช่วยฉันนะคะ...ได้โปรด” มินรดากระพุ่มมือไหว้ปลก ๆ ไม่คิดว่าร่างสูงจะยอมผละจากเธอไปอย่างง่ายดาย เขาเดินโงนเงนกลับไปที่โซฟาตรงมุมห้องกระดกไวน์ที่เหลือในแก้วเข้าปากจนหมดก่อนจะเอ่ยถามเธออีกครั้งด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษเหมือนเดิม “จะให้ฉันช่วยยังไงล่ะ” “ฉันเห็นคุณประมูลฉันมาด้วยเงินที่สูงลิ่ว ถ้าคุณไม่ว่าอะไรฉันขอยืมเงินไปไถ่ตัวฉันได้ไหมคะ ฉันสัญญาว่าถ้าฉันหนีจากพวกมันไปได้ ฉันจะหาเงินมาคืนคุณสองเท่าเลย” หญิงสาวลองยื่นข้อเสนอ แม้จะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปหาเงินจำนวนมากมายหลายสิบล้านนี่มาจากที่ไหน “ได้สิ” “คะ !?” ดวงตากลมโตเบิกกว้าง คิดไม่ถึงว่าเขาจะยอมรับปากช่วยเธออย่างง่ายดาย “คุณจะช่วยฉันจริง ๆ เหรอคะ” “ใช่ ฉันจะช่วยเธอ” ร่างสูงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทำให้มินรดาเผลอยิ้มกว้างออกมาอย่างมีความหวัง เธอดีใจจนเกือบจะเข้าไปกอดเขา แต่แล้วสองเท้าก็ต้องชะงักเมื่อมองเห็นชายหนุ่มตรงหน้าหยิบขวดไวน์ราคาแพงขึ้นมากระดกเข้าปาก ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะพูดอะไร ฝ่ามือใหญ่ก็จับลำขคอขาวระหงของเธอไว้ก่อนจะออกแรงดึงดันร่างบางไปอีกทางจนแผ่นหลังเล็กชนเข้ากับฝ่าผนัง “คุณ ! อ๊ะ...อื้อ...” เสียงสะดุ้งตกใจของมินรดาเงียบหายไปเมื่อเขาโน้มใบหน้าลงเพื่อป้อนเครื่องดื่มในปากให้หญิงสาวด้วยปากของเขาทำให้มินรดาสำลักรสชาติที่ข่มเฝื่อนบาดคอจนต้องไอออกมา “แค่ก ๆ ๆ ทำไมต้องทำแบบนี้ โอ้ย ! ” มินรดาตัดพ้อ มือไม้พยายามแกะมือหนาราวคีมเหล็กที่กอบกุมลำคอของเธอออกเพราะเริ่มหายใจไม่สะดวก “ฉันรับปากว่าฉันจะช่วยเธอก็ต่อเมื่อเธอทำให้ฉันพอใจซะก่อน” เสียงกระซิบแหบพร่าตรงแก้มเนียนใสทำให้หญิงสาวถึงกับขนลุกชันไปทั้งตัว “แล้ว...คุณจะให้ฉันทำยังไง คุณถึงจะพอใจ” “ก็ทำแบบนี้ไง” “กรี๊ด ! ” มินรดาร้องเสียงหลงเมื่อมือหนากระชากเสื้อคลุมของเธอออกโดยไม่ได้สนใจเลยว่ามันจะบาดโดนเนื้อสาวจนเป็นรอยแดงมากแค่ไหน “อย่าร้องสิ” ชายหนุ่มโน้มตัวลงจุมพิตเบา ๆ ตรงไหล่เปลือยแล้วจึงใช้นิ้วมือเกลี่ยซับน้ำตาตรงพวงแก้มหวานออกให้อย่างเบามือ “ทำในสิ่งที่เธอต้องทำ ถ้าเธอทำให้ฉันพอใจ ฉันถึงจะยอมช่วยเธอ” หญิงสาวได้แต่ยืนก้มหน้านิ่ง ใช้มือกอดตัวเองไว้แม้แสงไฟในห้องจะมองแทบไม่เห็น แต่ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่กำลังรดกายมันก็ทำให้เธอขนลุกซู่จนตัวสั่น “เราเริ่มกันเลยดีกว่า” ร่างสูงใหญ่ผละจากคนตัวเล็กก่อนจะไปทรุดกายนั่งลงตรงปลายเตียงหนานุ่มจากนั้นจึงเอ่ยเรียกหญิงสาวขึ้นเบา ๆ “มานี่สิ” มินรดาขบกรามแน่น ในเมื่อเธอไม่มีทางเลือกอื่นแล้วหากเขารับปากว่าจะช่วยเพื่อแลกกับการเสียตัวเป็นครั้งแรกเธอก็คงต้องทำ “ตกลงค่ะ ถ้าคุณสัญญาว่าจะช่วยให้ฉันเป็นอิสระ ฉันก็จะทำ” หลังจากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดเธอก็ต้อง เดินเข้าไปที่เตียงช้า ๆ แล้วยืนนิ่งตรงหน้าเขาเพราะไม่รู้เลยสักนิดว่ามันต้องเริ่มจากตรงไหน “มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว” เขายิ้มกริ่มอย่างพึงพอใจท่ามกลางความมืดสลัวภายในห้องก่อนจะกระชากให้ร่างที่ยืนอยู่ตรงหน้าลงมานั่งบนตัก ใช้ความว่องไวกระตุกปลายเชือกของกางเกงชั้นในตัวจิ๋วออกด้วยความรวดเร็วจนมินรดาผวาเฮือก “อ๊ะ ! ” “ฉันอนุญาตให้เธอร้องได้นะ ดึกป่านนี้ทุกคนคงกลับไปพักผ่อนกันหมดแล้ว ไม่มีใครได้ยินหรอก” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขึ้น มือหนึ่งข้างใช้กอดเอวบางเอาไว้ ใช้ขาหนึ่งข้างกางกั้นขาเรียวให้แยกออกจากกันเพื่อที่ฝ่ามือร้อน ๆ จะได้เข้าไปสำรวจพื้นที่ต้องห้ามได้ถนัดยิ่งขึ้น “...” ไม่มีเสียงใด ๆ ดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากเล็ก แม้ดวงตากลมโตจะเบิกกว้างเพราะสัมผัสแปลกใหม่ที่กำลังบดคลึงอยู่กลางกายแต่ถึงกระนั้น หญิงสาวก็ทำได้แค่ปิดตาแน่น กัดปากตัวเองจนห้อเลือดเพื่อป้องกันไม่ให้เสียงที่น่าอับอายดังลอดออกมา นับว่ายังโชคดีที่เขาไม่ยอมเปิดไฟ ไม่อย่างนั้นเธอคงจะอายกว่านี้แน่ถ้าต้องเห็นหน้าเขา และเขาต้องเห็นหน้าเธอ “เป็นไง ชอบหรือเปล่า” “อื้อ...” สองขาเรียวหุบเข้าหากันอัตโนมัติเมื่อสัมผัสได้ว่าเจ้านิ้วร้ายของเขามันกำลังแหวกกลีบกุหลาบงามออกเพื่อจะเข้าไปสำรวจซอกหลืบอันเร้นลับ “อ๊ะ...เจ็บ...มันเจ็บ” “อดทนหน่อย อีกนิดเดียว” ริมฝีปากบางร้อนระอุจุมพิตไปตามลำคอขาวระหงไล่ลงไปจนถึงไหล่เปลือยเปล่า พยายามดึงดันนิ้วร้ายเข้าไปด้านใน เพื่อสำรวจช่องทางที่แสนคับแคบซึ่งเขาจะได้ลิ้มลองมันเป็นคนแรก แม้จะมองเห็นใบหน้าของหญิงสาวไม่ชัดเจนนักแต่ก็สัมผัสได้ว่าเจ้าหล่อนนั้นกำลังตื่นกลัวอยู่ไม่น้อย นี่สินะ ที่เขาเรียกว่าลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม