13.สิ่งที่จำเป็น

1933 คำ
เข้าสู้วันที่ห้าแล้วหลังจากเลลีอาลืมตาตื่นขึ้นมา ท่านเลออนตอนนี้เขาแทบจะไม่ลืมตาตื่นขึ้นมาเลย ประโยคสุดท้ายที่เขากล่าวกับลีเลอา คือ “ฝากด้วยนะลีอา” เลลีอากำลังนั่งอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ เบื้องหน้ามีนักบุญชั้นสูงราวสิบคน นักบุญที่ร่ายเวทย์ไม่คล่องอีกห้าคน นักบวชที่ร่ายเวทย์ไม่ได้เลยแต่สามารถใช้กำลังได้สามสิบคน นักบวชที่ร่ายเวทย์ไม่ได้และใช้กำลังไม่ได้สิบคน จดหมายที่ส่งไปยังพระราชวังยังไม่มีการตอบกลับมา อัศวิน ทหารที่พอสู้รบได้ราว สองร้อยคน…..รวมแล้วยังไม่ถึงสามร้อยคน ส่วนปีศาจเล็กใหญ่ที่คาดคะเนด้วยสายตามีราวพันกว่าตัว เลลีอายกมือขึ้นนวดขมับเบาๆ หนึ่งคนต่อปีศาจสามตัว….ไม่มีทางเอาชนะได้เลย ขีดจำกัดในการต่อสู้ก็เยอะ เรายังต้องแบ่งนักบุญขั้นสูงไว้รักษาอีก….. ไม่สู้ก็ไม่ได้….เราไม่รู้ว่าจะติดอยู่ในนี้นานเท่าไหร่ สิ่งแรกที่จะหมดไปแน่ๆ คืออาหาร เลลีอามองเบื้องหน้าอีกครั้ง นักบุญ และ นักบวชที่นั่งอยู่ไม่มีใครกล้าพูดสักคำ “…ไม่ว่าผลจะเป็นยังไงต้องออกไปหาอาหารมาเพิ่มก่อน” ทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “แบ่งกำลังคนเป็นสามทีม ทีมที่หนึ่ง เจส เจ้าพานักบุญไปยังพระราชวัง หากทางนั้นยังไม่ยอมส่งคนมาช่วยอีกให้ไปที่คฤหาสน์ริเวียธานติดต่อแกรนด์ดัชเชส…” “แต่ว่า…ลีอา” “เจสนี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้ากับองค์รัชทายาท แต่เป็นเรื่องความปลอดภัยของชีวิตทุกคน….” เจสทำท่าจะพูดต่อแต่เขาก็เงียบไป “ครับ ท่านลีอา” เจสตกปากรับคำ เขาถอนหายใจน้อยๆ ก่อนจะยืดตัวขึ้น เลลีอาได้แต่หวังว่าเขาจะก้าวออกมาจากมุมมืดของตัวเองสักที “นักบุญเคน ท่านนำกลุ่มชาวบ้านไปช่วยกันตรวจดูรอบๆ ค่ายเวทย์มนต์ของท่านเลออน มีตรงไหนที่สลาย หายไป หรือโดนทำลายไหม จัดกำลังส่วนหนึ่งเฝ้าท่านเลออนไว้ด้วย” นักบุญเคยพยักหน้า พร้อมทั้งจัดคนออกไปสำรวจทันที “กลุ่มสุดท้าย ออกไปด้านนอกกับข้า เราจะไปหาเสบียงอาหารกัน” “ไม่ได้เด็ดขาดลีอา!!!” ฮาลัวเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน เขาพึ่งฟื้น พอสอบถามนักบวชที่ดูแลเขาอยู่ก็พบว่าเลลีอากำลังประชุมเพื่อหารือ จะออกไปด้านนอกเขตเวทย์มนต์ลวงตาของท่านเลออน “…ฮาลัว” ใบหน้าของฮาลัวนั้นดีขึ้นมากแล้ว บาดแผลก็หายสนิท “ลีอาเจ้าไปไม่ได้ ข้าจะนำคนไปเอง” “ฮาลัวท่านยังไม่หายดี….” “ข้าดีขึ้นมากเเล้ว ไม่รู้สึกเจ็บตรงไหน” เลลีอามองหน้าฮาลัว “ไม่เอาแล้วฮาลัว….ข้าจะไม่ให้ใครมาปกป้องข้าอีก ครั้งนี้ยังไงข้าก็ต้องไป” แววตาของเลลีอาแน่วแน่จนฮาลัวต้องขมวดคิ้ว เขามองนักบุญที่นั่งอยู่ ทุกคนมีสีหน้าลำบากใจ ฮาลัวจึงเงียบลง หากนางจะไป เขาก็จะไปปกป้องนางเอง “เช่นนั้นข้าจะไปด้วย!!” เช้าวันรุ่งขึ้น มีเด็กสาวผู้หนึ่งคอยสวมชุดคลุมให้เลลีอา เธอเป็นเด็กน่ารัก หน้าตาจิ้มลิ้ม นักบุญแอนด์สันจัดหาเด็กหญิงเพื่อให้มารับใช้นักบุญหญิงเลลีอา “ข้ายังไม่ทราบชื่อเจ้าเลย” เด็กหญิงยิ้มจนตาหยี “ข้าชื่อ มาเชลค่ะท่านนักบุญเลลีอา ข้าอายุ สิบสี่ปีค่ะ.” เลลียิ้ม เธอยกมือไปแตะที่หน้าผากแล้วปราสาทพรให้เด็กน้อย “ข้าขอให้เป็นสตรีที่งดงาม เติบโตท่ามกลางผู้คนที่รักและเอ็นดูเจ้า” มาเชลมองเลลีอาอย่างทราบซึ้ง เธอก้มลงคำนับแทบเท้าเลลีอา แล้วจูบเบาๆ ที่ข้อเท้าเลลีอา “ขอให้นักบุญเลลีอาปลอดภัยค่ะ” เลลีอายิ้ม ก่อนจะเดินออกมา สามสี่วันมานี้มาเชลทำงานได้อย่างดีเยี่ยม เธอทำทุกอย่างราวกับหญิงรับใช้ ซักผ้า ทำความสะอาดกระโจม เวลาว่างเธอก็ไปช่วยท่านหมอจัดการกับสมุนไพร เด็กน้อยคนนี้ดูจะเป็นเด็กใช้ได้อยู่นะ เลลีอากระชับเสื้อคลุมก่อนเธอจะเดินออกไป เบื้องหน้าปรากฏเป็นปีศาจขนาดใหญ่ที่หลับอยู่ หลังจากเฝ้าสังเกตการณ์มาหลายวัน ทำให้รู้ว่าปีศาจมักจะหลับในตอนเช้า ตอนบ่ายและตอนกลางคืนมันจะออกอาละวาดและหาอาหาร พวกเราเลยเดินทางออกตอนเช้า ด้านหน้าเลลีอาคือฮาลัว ด้านหลังคือนักบุญแอนด์สันและอัศวินสี่นาย ชาวบ้านอีกแปดคน ตามคำบอกกล่าวของชาวบ้าน บ้านทุกหลังจะมีห้องใต้ดินไว้เก็บกักอาหาร ส่วนน้ำดื่มจะไปตักที่บ่อกลางหมู่บ้าน พวกเราเดินมาสักพักก็แยกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกนักบุญแอนด์สันเป็นกลุ่มไปเอาอาหาร อีกกลุ่มไปหาบน้ำ ส่วนลีอาและฮาลัวแยกมาออกสำรวจบริเวณโดนรอบเผื่อพบผู้รอดชีวิต การเดินแต่ละก้าวต้องทำอย่างระมัดระวังและเงียบที่สุด เพื่อไม่ให้ปีศาจตื่น เด็กสาวกำลังยกผ้าห่มของท่านเลลีอาออกมาซัก มาเชลเดินไปด้านหลังกระโจม จะมีลำธารอยู่เธอวางตระกร้าผ้าลงและกำลังจะซัก “บ๊อก!…บ๊อก” มาเชลเห็นลูกหมาตัวอวบอ้วนกำลังเห่าร้องขอความช่วยเหลือจากเธอ ที่ขาของมันมีรอยเลือดขนาดใหญ่ มาเชลเดินข้ามสะพานเพื่อวิ่งไปหาลูกหมาตัวน้อยนั้น พอเห็นมาเชลเข้าไปใกล้มันกลับวิ่งหนี มาเชลเองก็รีบวิ่งตามไปติดๆ รู้ตัวอีกที รอบตัวเธอก็เป็นป่าที่ไม่คุ้นเคย!!!! มาเชลมองโดยรอบอย่างหวาดหวั่น รอบตัวเธอคือต้นไม้สูงใหญ่หน้าตาเหมือนๆ กันไปหมด มาเชลเองก็ไม่แน่ใจว่าตอนนี้เธอเดินออกมานอกเขตเวทย์ลวงตาหรือยัง มาเชลพยายามเดินต่อไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย เธอได้ยินเสียงน้ำไหลจึงเร่งฝีเท้าเดินไป เธอเดินมาเรื่อยๆ ก็พบกับลำธาร มาเชลรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากเธอเลือกจะเดินตามลำธารไปเรื่อยๆ เพราะก่อนเธอจะพบกับเจ้าหมาน้อย เธอก็อยู่ที่ลำธาร มาเชลรู้สึกว่าเธอเดินมาไกลเหมือนกัน จากแดดอุ่นๆ ยามเช้ากลายเป็นแดดร้อนจนแสบผิว “แกร๊บ!!!” มาเชลเดินเหยียบกิ่งไม้เสียงดัง เธอก้มลงมองที่เท้า กิ่งไม้แห้งหักเป็นสองท่อน เธอเงยหน้าขึ้นมาเพื่อจะเดินต่อ “!!!” ปรากฏเป็นบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง ใบหน้าราวกับภาพจิตรกรรมฝาผนัง เรือนผมสีดำนั้นทำให้ใบหน้าเขาโดดเด่น นัยน์ตาคมเข้มนั้นกำลังจ้องมองเธอ เขาแผ่กลิ่นไอน่าเกรงขามออกมา “ขอโทษค่ะ ข้าเพียงผ่านมาหาทางกลับ…” “เด็กน้อย…เจ้าจะกลับไปที่ใด” เขากล่าวพร้อมกับยกยิ้มที่มุมปาก มาเชลรู้สึกว่าเธอไม่เคยตาพร่ามัวเช่นนี้มาก่อน ความหล่อเหลาของเขาทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังหัวใจเต้นแรง หายใจติดขัด “ท่านพึ่งมาที่เดอนีเซียหรือคะ? ..ที่นี่โดนปีศาจอาละวาด ไล่เข่นฆ่าชาวบ้าน ท่านโปปเลออนและนักบุญหญิงเลลีอา กำลังหาทางปราบปีศาจและช่วยเหลือชาวบ้านค่ะ” บุรุษเบื้องหน้ามาเชลยกยิ้ม เขายื่นมือมาจับปลายผมเธอเบาๆ ทำให้มาเชลอดหน้าแดงไม่ได้ “…..พาข้าไปที่พักของเจ้าหน่อยได้ไหมเด็กน้อย…..” มาเชลมองเขาอย่างลุ่มหลง “ได้ค่ะ…แต่ว่าข้ายังหาทางกลับไปเจอเลย ข้ากำลังหลงป่าอยู่ค่ะท่านชาย” เขายกมือขึ้นดีดนิ้ว ปรากฏหมาป่าสีดำสามตัววิ่งออกมาจากป่า แต่ละตัวสูงใหญ่เกีอบจะสุดหัวเธอ “วางใจมันไม่ทำร้ายใครหรอก……ถ้าข้าไม่สั่ง” มาเชลเหลือบมองใบหน้าเขาอีกครั้ง เธอรู้สึกเขาน่ากลัวแต่ทว่าก็ดึงดูดไปพร้อมๆ กัน ราวกับ….เขาคือกองไฟ ส่วนเธอกำลังจะวิ่งเข้าไปในกองไฟนั้น……. เลลีอานั่งพักที่น้ำพุกลางจัตุรัสของหมู่บ้าน บริเวณโดยรอบที่เคยสวยงามบัดนี้เหลือแต่ซากหักพังของบ้านเรือน เลลีอามองท้องฟ้าอีกครั้ง ตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นตรงหัวแล้ว เหลือแต่รอนักบุญแอนด์สันมาสมทบเราก็จะกลับที่พักกัน เธอยังไม่เห็นปีศาจสักตัวในวันนี้ ถึงแม้จะผิดวิศัยแต่ทว่าในใจหนึ่งก็รู้สึกโล่งใจ ถ้าหากมันตื่นตัวหนึ่ง มันคงจะเรียกพวกมาถล่มเข่นฆ่าพวกเราเป็นแน่ หลังจากที่เลลีอาและฮาลัวสำรวจจนทั่ว เราไม่พบผู้คนที่รอดชีวิตอื่นเลย เส้นทางเข้าหมู่บ้านถูกตัดขาดเนื่องจากน้ำป่าเมื่อครู่ ทำให้พวกปีศาจออกไปไม่ได้ แต่ทว่าเราก็ออกไปไม่ได้เช่นกัน เลลีอาถอนหายใจ เรื่องราวหนักหนาพอสมควร เธอยังคิดไม่ออกว่าหากเสบียงรอบนี้หมด รอบต่อไปจะไปหามาจากไหน ทุกปัญหาแก้ได้ด้วยการสู้ชนะ แต่กำลังคนของเราไม่พอนี่สิ เจสคือความหวังสุดท้ายจริงๆ ตอนนี้ ยังโชคดีที่เขาเดินทางไปทันทีที่เธอบอก ทำให้ยังพอจะออกจากหมู่บ้านได้ เสียงฝีเท้าดังขึ้นลีอารีบเงยหน้าขึ้นไปมอง เธอเห็นนักบุญแอนด์สันกำลังวิ่งมาอย่างรวดเร็ว เลลีอา ฮาลัว และคนอื่นๆ ลุกขึ้นยืน พร้อมถอนหายใจอย่างโล่งอก “ขออภัยที่ช้าครับ…พวกเราเจอปีศาจนิดหน่อย รีบไปกันเถอะครับ พวกมันเริ่มจะตื่นกันแล้ว” เลลีอากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ฮาลัวยื่นมือมาตบไหล่ลีเลอาเบาๆ ก่อนที่เขาจะเป็นคนเดินนำขบวน เราเดินกันมาได้สักพักฮาลัวก็ชะงัก เขารีบสั่งให้พวกเรานั่งลง เลลีอาชะโงกหน้าไปมอง ด้านหน้าคือปีศาจขนาดใหญ่นับสิบที่ทำท่างัวเงียกำลังจะตื่น “อ้อมไปอีกทาง” พวกเราทุกคนพยักหน้า ขากลับไม่ได้เดินสบายๆ เหมือนขามาเพราะมีเสบียงที่ต้องแบกไป แถมทางกลับต้องอ้อมขึ้นเขาทำให้เสียเวลามากๆ พวกเราต้องเดินไปพักไป “ใจเย็นๆ ข้ามเขาไปอีกลูกก็ถึงแล้ว…” ทุกคนทีท่าทางเหนื่อยล้ากันอย่างเห็นได้ชัด ฉันยกมือขึ้นทำท่าจะร่ายเวทย์รักษา นักบุญแอนด์สันรีบมาจับมือฉันไว้ “ไม่ได้ครับท่านนักบุญ…เกิดท่านหลับไปอีกจะทำยังไง” “ว่าใจเถิดนักบุญแอนด์สัน…เรารู้จักการปล่อยพลังเวทย์แล้ว…เราไม่หลับไปอีกแน่ๆ” “ข้าขอไม่เสี่ยงครับท่านลีอา” นักบุญแอนด์สันส่ายหน้า “ข้าด้วยครับ” “ข้าด้วย” ทุกคนที่กำลังนั่งพักกล่าวขึ้นมาพร้อมกัน ฉันหันหน้าไปมองฮาลัว เขาพยักหน้าน้อยๆ “พลังสักสิทธิ์ล้ำค่าเกินกว่าจะมาใช้ให้พวกเรา” เลลีอามองพวกเขาอีกครั้ง…เธอเม้มปากแน่น “ไปเดินทางกันต่อ” ฮาลัวลุกขึ้นนำขบวนเดินข้ามเขาอีกหนึ่งลูก พวกเราเดินมาอีกพักใหญ่ๆ จนท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มแล้ว ยามเย็นที่พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม