5.เพื่อนใหม่

2469 คำ
ฉันตกใจรีบลุกขึ้นทันที พร้อมกับยื่นมือไปจับตะเกียงที่หัวเตียง นี่มันอะไร!!! มีคนฉวยโอกาสเช่นนี้ได้อย่างไร??? นี่มันในโบสถ์แท้ๆ ฉันจับตะเกียงแน่นเตรียมฟาดลงที่หัวของบุรุษปริศนา “วางลงเลยลีอา….” เขายกมือขึ้นมาจับตะเกียงไว้ ปรากฏใบหน้างดงามที่กำลังงัวเงียอยู่ ผมยาวสีเงินของเขากำลังยุ่งเหยิง “ท่านเลออน…” “เป็นอะไรไป จะยกตะเกียงมาฟาดข้าทำไม???” “ก็ท่านมานอนบนเตียงข้า…” “ลีอานี่เตียงข้า…” ฉันขมวดคิ้ว “นี่ต้องมีเรื่องอะไรเข้าใจผิดแน่ๆ ..เดกุชให้ข้ามานอนให้ห้องนี้” “ก็ใช่..ข้าสั่งเดกุชเอง” “ห๊ะ!!!…ท่านสั่งเดกุชเช่นนั้นทำไมกัน!!!” ฉันลุกขึ้นจากเตียงไปนั่งที่เก้าอี้ “เหตุใดไม่มานอน??” “ข้าเพียงสงสัยว่าทำไมข้าต้องนอนร่วมห้องกับท่าน” เลลีอาจ้องมองใบหน้างดงามนั้น ใช่แล้วฟังไม่ผิดใบหน้าของเขาช่างงดงามราวนางฟ้าบนสวรรค์ งดงามจนเลลีอายังต้องอายทุกคราที่มองหน้าเขา “นี่เป็นหนึ่งในข้อที่ตกลงกันไว้” “ข้าไม่เห็นมีกฏข้อไหนที่ต้องนอนร่วมห้องกัน!!!” เขาเดินเข้ามาใกล้แล้วก้มลงอุ้มเลลีอาในท่าเจ้าหญิง “อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำ!!” เลลีอาดิ้นในอ้อมกอดเขา กลิ่นหอมจางๆ จากเรือนร่างแกร่งของเขาทำเอาเลลีอาหน้าแดง เขาบรรจงวางเธอลงบนเตียง “นอน..” เลลีอาดึงผ้าห่มมาปิดหน้าเธอไม่อยากให้เขาเห็นว่าใบหน้าของเธอตอนนี้มันแดงแค่ไหน เขาขยับเข้ามาใกล้พร้อมดึงเธอไปกอด เขาสูดดมกลิ่นหอมจากเรือนผมของเธอ “ท่านเลออน!!” เลลีอาพยายามผลักเขาออกทว่าเขายิ่งกอดรัดแน่นอีกทั้งดึงเธอเขาไปใกล้กว่าเดิม “หากเจ้าไม่หยุดดิ้น…มันจะไม่จบแค่นอนเฉยๆ แน่” เลลีอาผ่อนแรงลง เธอยอมนอนเงียบๆ ตามคำขู่ของเขาก็ได้ “รู้จักกับนักบวชฮาลัว?” “ค่ะ….เคยเป็นเพื่อนสมัยเด็ก” เขาก้มหน้าลงจูบเบาๆ บริเวณคอทำเอาฉันตกใจ “ทะ…ท่านเลออน” “อย่าอยู่ตามลำพังกับเขาอีกข้าไม่ชอบ!!!” เลลีอาหมวดคิ้ว เธอไม่อยากจะเชื่อว่าคำนี้จะออกมาจาก พระสัตปะปา มาโกร์ ดานีส เลออน!!!! นี่มันบ้าไปแล้ว เธอกำลังนอนกับท่านโปป?? “เขาเป็นเพื่อนของข้า แล้วก็ไม่มีเหตุผลใดที่ท่านจะไม่ชอบเวลาข้าอยู่กับเขา” เลออนมองริมฝีปากอวบอิ่มที่กำลังเถียงเขาพลันรู้สึกหมั่นเขี้ยว เขาอยากจะก้มลงจูบนางแรงๆ สักที แต่ทว่ายังไม่ถึงเวลา การที่เขาบังคับนางมานอนร่วมเตียงนี้ก็นับว่ามากเกินไปแล้ว แต่เขามีทางเลือกหรือ วันนี้นางไปทานอาหาร นักบวชพวกนั้นก็จ้องนางตาเป็นมันราวกับจะกินนางให้ได้ ไหนจะนักบุญฮาลัวนั่นอีก ท่าทางสนิทเกินงามนั่น มองทีไรก็ขัดลูกตาชะมัด เขาทำได้เพียงดึงนางมากอดแล้วพรมจูบเบาๆ อย่างทะนุถนอม ใบหน้าเล็กๆ นั้นเปลี่ยนเป็นสีแดง เขายิ้มอย่างชอบใจ นี่เรียกว่าหวั่นไหวหรือเปล่านะ??? นางเริ่มมีใจให้เขาหรือยัง??? ไม่นานเลออนก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของลีอา นางหลับในอ้อมกอดเขาอย่างน่าเอ็นดู เขามองนางพร้อมยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะร่ายเวทย์คุ้มครองนางแล้วหลับตาลง ฉันลืมตาขึ้นมาด้วยใบหน้าตกใจ พร้อมกับลุกพรวดจากที่นอน พอมองรอบๆ ก็ไม่เจอใครสักคน ฉันก้มมองสำรวจตัวเอง ก็พบว่าชุดนอนที่สวมไว้ยังคงอยู่ดี ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก พอคิดถึงเรื่องเมื่อคืนก็อดหน้าแดงไม่ได้ ท่านโปปโรคจิตนั่นไหนว่าอายุเป็นร้อยปีไม่สนใจเรื่องชายหญิงไง ทำไมเมื่อคืนเขาทั้งหอมทั้งพรมจูบเธอทั้งคืน จะไม่ให้เธออายยังไงไหว แล้วยังจะใบหน้างดงามนั่นอีก เธอไม่ใช่ก้อนหินสักหน่อยจะไม่หวั่นไหวได้ยังไง เขากำลังล้อเล่นกับความรู้สึกฉันอยู่แน่ๆ หรือว่า….เขาเป็นคนรักเก่าของหลานสาวเธอ…. คิดได้ดังนั้นจู่ๆ ความรู้สึกหน่วงในใจก็เกิดขึ้น เขาเห็นเธอเป็นตัวแทนหลานสาวงั้นเหรอ??? เกือบไปแล้ว…เธอเกือบจะหวั่นไหวกับเขาไปแล้ว…. “ทำได้ดีมากลีอา การร่ายเวทมนต์ไม่ได้ยากอย่างที่คิดใช่ไหม??” ฉันอยู่ในห้องเรียนร่ายเวทมนต์ จะว่าห้องเรียกก็ไม่ถูกเพราะในห้องมีฉันกับเด็กเหลือขอคนหนึ่ง… “อาจารย์ทีข้าทำได้ไม่เห็นอาจารย์จะชมข้าบ้างเลย…” “องค์ชายเจส..พระองค์ยอดเยี่ยมเรื่องการร่ายเวทย์อยู่แล้ว…สำหรับพระองค์ควรเริ่มเรียนเรื่องการต่อสู้ได้…” “ท่านอาจารย์ ท่านจะส่งข้าไปให้พวกองครักษ์นั่นต่อยตีข้างั้นเหรอ ไม่ทาง ข้าไม่เรียนเรื่องเจ็บตัวเช่นนั้นหรอก” เขาหันมาทางฉันพร้อมส่งยิ้มให้ “อยู่เรียนร่ายเวทมนต์กับเลดี้ลีอาดีกว่า” ฉันและฮาลัวถอนหายใจมาพร้อมกัน ฉันชักเริ่มจะชินกับการอยู่ที่โบสถ์แล้ว พรุ่งนี้ก็ครบเจ็ดวันที่ฉันเข้ามาอยู่ที่โบสถ์ หลังจากวันแรกที่ฉันมาก็เกิดเรื่องด่วนที่เดอนีเซีย มีปีศาจอาละวาดในเมือง ผู้คนล้มตายจำนวนมาก ท่านเลออนจึงรีบเร่งไปดูสถานการณ์ก่อน ส่วนฉันได้ยื่นคำขาดกับเดกุชไปว่าให้จัดห้องใหม่ให้ฉัน ในตอนแรกเดกุชก็ไม่ยอม พอฉันขู่ว่าจะหนีกลับบ้านเขาก็ใจอ่อนลงให้สาวใช้ไปจัดห้องให้ใหม่ การร่ายเวทไม่ได้ยากเย็นอย่างที่คิด อาจจะเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวลีอามาก็ได้ทำให้เพียงแค่อ่านตำราก็สามารถร่ายเวทมนต์ได้เลย ฮาลัวก็สอนได้เข้าใจมาก เพียงแต่เขารับหน้าที่ดูแลองค์ชายด้วย จึงหนีไม่พ้นที่เขาต้องพาองค์ชายเจสันมาเรียนพร้อมกับฉันด้วย ในวันแรกที่เราเริ่มเรียนก็มีคนจากพระราชวังมาที่โบสถ์พอดีเขาต้องการให้เจสไปต้อนรับ เจสก็ไปต้อนรับโดยมีฉันและฮาลัวไปด้วย คนที่มาเกินคาดไปหน่อย เขามิใช่องค์ชายหรือองค์หญิงแต่ทว่าเป็นถึงองค์รัชทายาท ทันทีที่เห็นเจสันองค์รัชทายาทก็ยื่นเท้าให้เขา เรื่องนี้ทำเอาฉันและฮาลัวตกใจมาก เจสก้มลงและใช้ผ้าเช็ดไปที่รองเท้าองค์รัชทายาท ใบหน้าขององค์รัชทายาทนั้นฉายแววสะใจออกมา “จำไว้คนที่มีเลือดราชวงศ์เพียงครึ่งอย่างแกน่ะ อยู่และตายไปที่โบสถ์นี่แหละจะได้ชดใช้ความอัปยศที่แม่แกสร้างไว้!!!!” เจสยังคงก้มหน้าเช็ดรองเท้าโดนไม่ปริปากพูดใดสักคำ องครักษ์ขององค์รัชทายาทยกกระป๋องน้ำมาสาดใส่เจส “เอ้า!!!…ขออภัยครับ กระหม่อมแค่จะนำน้ำล้างเท้านี้ไปเททิ้งดันสะดุดไปเทใส่องค์ชายเสียได้” เสียงหัวเราะขององครักษ์และองค์รัชทายาทดังขึ้นทั่วบริเวณนักบวชมากมายมายืนมุงดูแต่ก็ไม่มีใครกล้าไปห้าม ฮาลัวเดินเข้าไป เขาถอดผ้าคลุม คลุมให้องค์ชายเจส “องค์รัชทายาทท่านมาขอประสาทพรใช่ไหมครับ ขอเชิญทางด้านนี้เลย” “เดี๋ยว…เจ้าเป็นใครถึงกล้ามาแส่!!!!” “กระหม่อมมีนามว่าฮาลัว..” องค์รัชทายาทยกยิ้มมุมปาก “อ๋อ..นักบวชที่เป็นเด็กข้างถนนไม่มีพ่อแม่นั่นน่ะเหรอ???” องค์รัชทายาทหัวเราะ “เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นคนเลือกเจ้าให้เป็นคนสอนเจสเองกับมือเลยนะ ฮ่า..ฮ่า” “เป็นพระมหากรุณา…” “เหมาะสมกันดีอาจารย์ที่มาจากข้างถนนกับองค์ชายที่เป็นลูกโสเภณี!!!!….ฮะ..ฮ่าา” ฉันเห็นใบหน้าที่เจ็บปวดของเจสเขาง้างมือเตรียมจะต่อยหน้าองค์รัชทายาทแต่ฮาลัวรีบจับมือเขาไว้ “เจ้าดูถูกข้า…ข้าไม่ว่าแต่อย่ามาดูหมิ่นอาจารย์ข้า!!!” “ดูหมิ่นเหรอ???? …ข้าเพียงกล่าวความจริงเป็นเจ้าเองที่รับความจริงนี้ไม่ได้” เจสกัดกรามแน่น ไม่ดีแล้วฉันต้องทำอะไรสักอย่าง “หากพูดถึงความจริงแล้วย่อมเป็นสิ่งไม่ผิดใช่ไหมเพคะ” ฉันเดินไปพร้อมส่งยิ้มหวานให้องค์รัชทายาท เขาเหมือนตกอยู่ในภวังค์ทันทีที่พบหน้าฉัน “เลดี้ที่งดงามผู้นี้ท่านชื่อ…” “เลลีอา ฟีเจอร์ ค่ะ” “อ๋อ….ข้าไม่เคยเห็นหน้าเลดี้มาก่อน…” “หม่อมฉันไม่ค่อยชอบออกงานสังคมเท่าไหร่เพคะ หม่อมฉันชอบเที่ยวเล่นในหมู่บ้านมากกว่า” “ฮะ..บังเอิญนักเราก็ชอบเที่ยวเล่นที่เมือง…” “งั้นหรือเพคะ…เช่นนั้นพระองค์เคยได้ยินเรื่องภรรยาของชาวประมงไหมเพคะ” ใบหน้าขององค์รัชทายาทแข็งค้าง เขามองฉันด้วยดวงตาแข็งกร้าว “เลดี้…..ท่าทางจะรู้เรื่องเยอะเลยนะ” “ไม่เลยเพคะ…เพียงแต่เรื่องนั้นโด่งดังจนคนที่ไม่สนใจยังทราบเรื่อง….อ๊ะ!!…องค์ชายเจสันอยากฟังใช่ไหม เดี๋ยวข้าจะเล่าให้ฟังนะ..” องค์รัชทายาทกำมือแน่น “หากเลดี้กล่าวแม้แต่คำเดียว…” “มีบุรุษร่ำรวยผู้หนึ่งเกิดพึ่งใจในภรรยาของชาวประมง…” ฉันมองหน้าองค์รัชทายาทพร้อมทั้งยกยิ้ม “เขาทำทุกวิถีทางเพื่อได้ภรรยาคนงามของชาวประมงมาครอบครอง….ทุกอย่างนั้นรวมถึงการฆ่าชาวประมงทิ้ง แต่ทว่าถึงแม้เขาจะได้ภรรยาของชาวประมงมาครอบครองแต่นางหาได้สนใจหรือว่ารักเขาไม่” องค์รัชทายาทกัดกรามจนใบหน้าเขาสั่นเบาๆ เขากำมือแน่นดวงตาจ้องมาทางฉัน “แต่ทว่าสิ่งที่น่าตกใจคือ ภรรยาชาวประมงตั้งครรภ์….เพคะ ชาวบ้านก็เลยพูดกันหนาหูเชียวว่าเด็กคนนั้นคือลูกใครกัน…ลูกนายท่าน หรือว่าลูกชาวประมง แต่ไม่ว่าจะเป็นลูกใครนายท่านก็ชุบเลี้ยงเป็นลูกคนโปรดพร้อมทั้งยกสมบัติของตระกูลให้…” ฮาลัวกลืนน้ำลายลงอย่างยากลำบาก เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของชาวบ้านที่ถูกสั่งห้ามพูดถึงเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เป็นเรื่องของฝ่าบาทและพระสนมคนโปรด เด็กที่พูดถึงก็คือองค์รัชทายาทนั่นเอง ลีอาหาเรื่องปวดหัวอีกแล้ว “เลดี้ลีอา….เจ้ากล้า” “พระองค์ทรงกล่าวเองนี่เพคะว่าการพูดความจริงนั้นไม่ผิด อีกอย่างหม่อมฉันก็แค่เล่าเรื่องเอง หาใช่ความสำคัญอะไร แค่เรื่องเล่าสนุกๆ ของชาวบ้าน” องค์รัชทายาทแค่นหัวเราะ เขายังคงจ้องมองมาทางฉัน “เลดี้ลีอา…ดี ดี …ข้าชอบ” เขาเดินเข้ามาหาฉันพร้อมกับจับปลายผมไปจูบเบาๆ “เลดี้ช่างพูดช่างเจรจายิ่งนัก” เขาก้มลงมากระซิบข้างหู “อยากจะรู้ว่าพอเวลาอยู่บนเตียงเลดี้จะยังพูดมากอยู่อีกไหม????” องค์รัชทายาทส่งยิ้มเยาะให้ฉัน ฉันส่งยิ้มกลับไป พร้อมทั้งเขย่งขากระซิบข้างหูเขา “พอถึงเวลานั้นหม่อมฉันคงไม่ค่อยพูดเพคะ….แต่ไม่ว่าหม่อมฉันจะทำเช่นไรเวลาอยู่บนเตียงพระองค์ก็คงไม่มีวันได้รู้” ฉันส่งยิ้มให้องค์รัชทายาทอีกครั้งก่อนจะใช้มีดตัดผมที่อยู่บนมือเขาออก มือเขายังคงกำเส้นผมฉันไว้แน่น น่าขยะแขยงที่สุด ฮาลัวทำความเคารพแล้วพาเจสันเดินออกมา หลังจากเหตุการณ์นี้ฮาลัวก็สวดฉันยับ ส่วนเจสก็ตามติดชนิดที่เป็นเงา “พรุ่งนี้เราต้องเตรียมเก็บข้าวของกันแล้วนะลีอา….ต้องเดินทางไปเดอนีเซีย…” ฉันยิ้มให้ฮาลัว “ไม่เป็นไรค่ะฮาลัว….ข้าพร้อมเดินทางทั้งร่างกายและจิตใจ ข้ามั่นใจว่าข้าเข้มแข็งพอ” ฮาลัวส่งยิ้มกลับมาให้ฉัน “ข้าเองก็เก็บของเรียบร้อยแล้วครับท่านอาจารย์…” “องค์ชายเสด็จไปไม่ได้ครับที่นั่นอันตราย..” องค์ชายเจสลุกขึ้นยืนกอดอกท่าทางแบบเด็กๆ นั้นทำเอาฉันอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ลีอา ห้ามหัวเราะข้านะ ยังไงข้าก็จะไปปกป้องลีอาครับท่านอาจารย์” ฮาลัวส่ายหัว “องค์ชาย…” “หากท่านอาจารย์ไม่ให้ข้าไป…ข้าจะหนีไป…เอ่อ…” เจสเหลือบมองมาทางฉัน “ข้าจะพาลีอาไปด้วย หนีไปเลย…” ฉันหัวเราะ “องค์ชายเพคะ…เราไปเดินเล่นกันไหมคะ” ฉันส่งยิ้มให้เจส พร้อมกับขยิบตาให้ฮาลัว “ได้..นั่นอาจจะทำให้ข้าใจเย็นลง” ฉันพาเจสมายังสวนดอกไม้ด้านหลังโบสถ์ ที่นี่เป็นเนินเขาขนาดย่อมที่สามารถมองดูวิวโบสถ์และหมู่บ้านได้ “มีที่สวยๆ แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ข้าไม่เห็นรู้เรื่อง” ฉันปูผ้าแล้วนั่งลง “ข้าเคยมาที่นี่สมัยยังเด็กเพคะ….มากับเพื่อน..” “ลีอาอยู่กันลำพังเจ้าพูดกับข้าแบบธรรมดาพอ” ฉันมองหน้าเจสแล้วพยักหน้า… “เวลาผ่านไปไวเหลือเกิน จนทุกคนแยกย้ายกันไปเติบโต…เจสเจ้าก็เช่นกัน” เจสมองหน้าฉันด้วยเครื่องหมายคำถาม “เจ้าคือคนของราชวงศ์…วันหนึ่งเจ้าก็ต้องกลับไปยังพระราชวัง” “ข้าไม่กลับ…และก็ไม่มีทางกลับด้วย คนสกปรกพวกนั้นนำข้ามาทิ้งไว้ที่นี่ ข้าไม่มีใครเลยลีอา” แววตาของเขาปรากฏความเศร้าโศก “เมื่อก่อนข้ามีเพียงอาจารย์ แต่ตอนนี้ข้ามีเจ้าอีกคน…หากเจ้าทั้งสองคนไปแล้ว….แล้ว…มะ..ไม่กลับมา…” “เจสเจ้าคิดมากเกินไปแล้ว…หากเจ้าไม่เชื่อใจข้ากับอาจารย์ก็จงเชื่อใจท่านเลออนเถิด” “ลีอา…” “ท่านอาจารย์ไม่อยากให้เจ้าไปเพราะว่า ฮาลัวรักและเป็นห่วงเจ้ามากนะ” เจสเงียบไป “ข้า…..” “เชื่อข้าเถอะน่า….รออยู่ที่นี่ข้าจะเขียนจดหมายมา” เจสนั่งลงข้างๆ ฉันเขาเอาหัวมาพิงไหล่ฉันพร้อมกับหลับตาลง “สัญญาแล้วนะว่าจะเขียนจดหมายมา” ฉันยกยิ้มพร้อมกับเอามือลูบผมเขาเบาๆ “แน่นอน….จะเขียนกลับมาจนเจ้าอ่านไม่ทันเลย” เสียงหัวเราะดังขึ้น เราทั้งสองนั่งมองบรรยากาศพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าด้วยกัน แสงสีส้มที่สาดไปทั่วทั้งท้องฟ้าทำให้เกิดความอบอุ่นในใจอย่างน่าประหลาด
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม