หญิงสาวมองบ้านสองชั้นตรงหน้าด้วยความรู้สึกว่างเปล่า บ้านที่ไม่เหมือนไม่ใช่บ้าน…ถ้าจะเรียกให้ถูกจริงๆ ก็คือที่ซุกหัวนอนมากกว่า แสงไฟในบ้านสว่างจ้า เสียงหัวเราะพูดคุยกันดังออกจนถึงรั้วประตูบ้าน ริมฝีปากบางพ่นลมหายใจด้วยความเบื่อหน่าย
มณีวรรณที่นั่งสูบบุหรี่ด้วยสีหน้าคร่ำเครียดแย้มยิ้มออกมาอย่างดีใจทันทีที่เห็นลูกสาวเดินเข้ามาในบ้าน บุหรี่ที่เหลือครึ่งมวนถูกขยี้ลงในที่เขี่ยบุหรี่ทันทีก่อนเข้าไปหา
กลิ่นของมันตลบอบอวลไปทั่วห้องแคบๆ มนินพัทธ์นิ่วหน้า เท้าที่ก้าวเดินไปข้างหน้าหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงทักของมารดาที่เดินตามหลังมาติดๆ
“กลับมาแล้วเหรอ กินข้าวมาหรือยัง” คำพูดที่ถามด้วยความเคยชินปากมากกว่าจะถามด้วยความรู้สึกห่วงใยอะไร
มนินพัทธ์เหลือบสายตามองนาฬิกาติดผนังบ้าน มันเป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว.. เธอรู้ดีว่าแม่มานั่งรอทำไมถ้าวันนี้ไม่ใช่วันที่เงินเดือนเธอออก
ยืนห่างกันเป็นเมตรแบบนี้ก็ยังได้กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนกึกโชยมาแตะจมูก เธอเหลือบสายตามองหน้าแม่ที่อยู่ในอาการมึนเมาก่อนจะมองผ่านไปยังกลุ่มผู้ชายที่นั่งดื่มเหล้าพูดคุยกันโหวกเหวกอยู่ตรงโต๊ะหน้าบ้าน ภาพคุ้นชินสายตาที่เธอเห็นอยู่เป็นประจำตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่
“อืม แม่มีอะไรหรือเปล่า” รู้ทั้งรู้ว่าเรื่องอะไรแต่ก็อดถามออกไปไม่ได้ ยืนรอฟังคำพูดเดิมที่เหมือนอัดเทปไว้ คำพูดที่เธอฟังจนเบื่อ ฟังจนจำขึ้นใจ
“เงินเดือนออกแล้วใช่ไหม”
หญิงสาวไม่ได้ตอบอะไรทำเพียงเปิดกระเป๋าสะพาย เปิดกระเป๋าสตางค์ออกล้วงหยิบแบงค์สีเทาหกใบออกมายื่นส่งให้มารดาแท้ๆ โดยไม่มองหน้า รอจนเงินจำนวนนั้นถูกหยิบออกไปก็เตรียมตัวเดินตรงไปที่ห้องนอนของตัวเอง วันนี้เธอทั้งอารมณ์ไม่ดีและเหนื่อยมากอยากอาบน้ำแล้วเข้านอนเลย
“เดือนนี้โรงเรียนเจ้านนท์เปิดเทอมแล้ว ค่าใช้จ่ายมันเยอะขึ้น เดือนนี้แม่ขอเพิ่มอีกหกพันได้ไหมมิว”
เธอรู้ดีว่าค่าใช้จ่ายเยอะๆ ของแม่มันมีอะไรบ้าง ส่วนใหญ่ไปลงกับหวยกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเสียมากกว่า หลายครั้งที่แม่ไปกู้เงินนอกระบบจนเป็นหนี้เป็นสิน ซ้ำร้ายคนค้ำก็หนีทิ้งหนี้ไว้ให้แม่เธอจ่ายอีก คนที่ต้องตามใช้หนี้ให้ก็เป็นเธอ
“ทำไมแม่ไม่ไปขอจากลุงนพบ้างล่ะ เขาเป็นพ่อไม่ใช่เหรอ หนูช่วยได้แค่นี้แหละ” กำลังจะเดินหนี มณีวรรณก็พูดตามหลังบุตรสาวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ทำไมแกพูดแบบนี้ ก็รู้อยู่ว่าพ่อเขาตกงาน ช่วยกันแค่นี้ไม่ได้เหรอไง”
“เขาไม่ใช่พ่อหนูซะหน่อย หนูให้แม่ได้อีกสี่พัน จะเอาหรือไม่เอา” มือบางหยิบเงินออกมายื่นส่งให้ มองสีหน้าบูดบึ้งไม่พอใจของมารดาที่รีบดึงเงินจำนวนนั้นออกไปจากมืออย่างรวดเร็วเพราะกลัวลูกสาวจะเปลี่ยนใจขึ้นมา
“ถึงนพจะไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของแก แต่เขาก็ส่งเสียให้แกได้เรียนจนจบมหาลัยนะ บ้านที่แกอยู่ทุกวันนี้ก็บ้านเขา แกต้องสำนึกบุญคุณของเขาไว้บ้างนะ”
เธอเม้มปากเข้ากันแน่นสนิทไม่ได้พูดตอบโต้อะไร หยิบเงินอีกสองพันยื่นส่งให้จบๆ ไป เสร็จแล้วก็เดินตรงไปยังห้องนอนของตัวเองทันที เสียงแม่ยังบ่นตามหลังมาให้ได้ยิน ถึงทำเป็นไม่สนใจแต่ทุกคำพูดที่ทิ่มแทงทำร้ายจิตใจกันก็ลอยเข้าโสตประสาทให้ได้ยินอยู่ดี
พอเข้าห้องนอนของตัวเองได้ก็รีบล็อกประตูห้องทันที ริมฝีปากอิ่มพ่นลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย
ตอนที่พ่อเสียมนินพัทธ์เพิ่งจะเข้ามหาลัยปีหนึ่ง เธอไม่มีทางเลือกอื่นจึงจำใจย้ายมาอยู่กับครอบครัวใหม่ของแม่ แม่ของเธอมีอาชีพรับจ้างทั่วไปส่วนสามีใหม่ของแม่เป็นพนักงานขับรถส่งของที่บริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่ง และก็เพิ่งถูกไล่ออกจากงานเพราะมีปัญหากับหัวหน้างานที่ย้ายมาใหม่ พ่อเลี้ยงของเธอย้ายงานบ่อยเพราะมักจะมีปัญหาในที่ทำงาน พอคนหาเงินลดลงไปอีกหนึ่งภาระค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ในครอบครัวเลยมาตกอยู่ที่เธอแทบทั้งหมด ทั้งที่ตั้งใจว่าจะเก็บเงินให้ได้จำนวนหนึ่งแล้วจะย้ายออกมาอยู่ข้างนอกเอง แต่ดูจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ก็คงเป็นไปได้ยากถ้าเธอต้องเอาเงินเก็บมาจุนเจือครอบครัวใหม่ของแม่ทุกเดือนแบบนี้
แม่กับพ่อแท้ๆ ของมนินพัทธ์หย่ากันตั้งแต่เธออายุยังไม่ถึงสิบขวบ ตั้งแต่จำความได้เธอก็อยู่กับพ่อมาตลอด ส่วนแม่แต่งงานใหม่และมีลูกชายกับสามีใหม่หนึ่งคน ส่วนพ่อเลี้ยงของเธอก็มีลูกติดจากภรรยาเก่าหนึ่งคนและอายุก็ไล่เลี่ยกับเธอ กับพ่อเลี้ยงไม่ค่อยมีปัญหาอะไรจะมีก็แต่กับลูกชายของพ่อเลี้ยงที่เธอไม่ถูกชะตาเท่าไหร่ พักหลังๆ สายตาที่มองมาก็ทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจมาตลอด
ถ้าคืนนั้นพ่อของเธอไม่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ตอนนี้เธอคงไม่ต้องมาติดแหงกอยู่ที่นี่ มนินพัทธ์รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินของครอบครัวนี้มาตลอดและเธอก็อยากหนีไปให้พ้นๆ เสียที
“ถึงนพจะไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของแก แต่เขาก็ส่งเสียให้แกได้เรียนจนจบมหาลัยนะมิว บ้านที่แกอยู่ทุกวันนี้ก็บ้านเขา หัดสำนึกบุญคุณของเขาไว้บ้างนะ”
สำนึกบุญคุณอะไรกัน..
ถึงเรื่องที่มารดาพูดมาจะเป็นเรื่องจริงแต่ก็ไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด เงินส่วนหนึ่งที่เอามาจ่ายค่าเรียนค่ากินค่าอยู่ก็เป็นเงินประกันชีวิตของพ่อเธอทั้งนั้นและเงินก้อนนั้นก็หมดไปในเวลารวดเร็วเพราะแม่กับพ่อเลี้ยงช่วยกันผลาญจนเกลี้ยง ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เธอต้องทำงานและเรียนไปด้วย ดิ้นรนด้วยตัวเองมาตลอด เหนื่อยหนักแค่ไหนก็สู้จนผ่านจุดนั้นมาได้กระทั่งเรียนจนจบมหาลัย
แม้ในใจลึกๆ จะโหยหาความรักความอบอุ่นจากแม่แท้ๆ แต่เธอกลับไม่รู้สึกถึงความรักนั้นเลยด้วยซ้ำ
เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังขึ้นในเวลาเดิมแทบทุกเช้าปลุกให้คนขี้เซาที่ซุกตัวอยู่ในผ้านวมตื่นนอน ทุกอย่างรอบตัวปกติดีทุกอย่างถ้าเธอไม่สังเกตเห็นคราบขาวติดเส้นผและชุดนอนของตัวเองอยู่ กลิ่นมันออกคาวซึ่งเธอไม่รู้ว่ามันคืออะไร มนินพัทธ์มองอย่างไม่ใส่ใจนักเพราะต้องรีบเข้าห้องน้ำไปจัดการธุระส่วนตัวเพื่อเตรียมตัวไปทำงานเหมือนทุกๆ วัน
ทันทีที่หมุนลูกบิดประตูห้องนอน ประตูกลับไม่ได้ล็อกทั้งที่เธอมั่นใจว่าตัวเองล็อกมันเรียบร้อยแล้ว เพ่งมองตรงรูกุญแจลูกบิดก็เห็นเป็นรอยขูดขีด ถ้าไม่สังเกตก็แทบมองไม่เห็นรอยเล็กๆ นั้น ลักษณะเหมือนถูกงัดด้วยของแข็ง มนินพัทธ์ชาวาบไปทั้งตัว หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาจากอก มองออกไปเห็นรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์จอดอยู่ในบ้านหญิงสาวก็ตัวสั่นเทิ้มไปทั้งตัว สิ่งที่เคยหวาดกลัวมาตลอดกำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเองอีกครั้ง
“ไง จะไปทำงานแล้วเหรอ” เสียงทุ้มต่ำทักขึ้นพร้อมกับร่างสูงที่ก้าวออกมายืนมองสำรวจหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า
มนินพัทธ์รู้สึกเหมือนกับถูกสายฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ร่างกายแข็งทื่อไปชั่วขณะเมื่อเห็นหน้าของคนที่เธอไม่อยากเจอที่สุด ‘ชวินทร์’ ลูกชายของพ่อเลี้ยงเธอเอง
“…” เธอเกลียดสายตาหยาบโลนกักขฬะที่ผู้ชายคนนี้ใช้มอง เกลียดจนอยากควักนัยน์ตาคู่นั้นออกมา
“ดูเธอไม่อยากคุยกับฉันเลยนะ” ชวินทร์ยกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นหญิงสาวยังคงนิ่งเงียบเหมือนเดิม พอเห็นอีกฝ่ายเดินหนีก็ก้าวเดินตามหลังไปติดๆ
“มิว ฉันจะกลับมาอยู่บ้านแล้วนะ เราคงได้เจอหน้ากันทุกวัน อืม...จะได้สนิทสนมกันเหมือนเมื่อก่อนไง..”
‘ใครไปสนิทกับนายตอนไหนไม่ทราบ’
มนินพัทธ์ตวัดสายคาขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจ หญิงสาวไม่ตอบโต้อะไร ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่ายให้เสียเวลา รีบเดินจ้ำอ้าวออกประตูหน้าบ้านไปทันที ชวินทร์หัวเราะออกมาเบาๆ มองตามหลังลูกสาวของแม่เลี้ยงไปจนสุดสายตา
“เกลียดกูมากใช่ไหมมิว หึ..คราวนี้มึงไม่รอดมือกูแน่”
---------------------------------------------------------------