ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่หุบเขาปีศาจ1 (2)

1064 Words
เช้าวันรุ่งขึ้นมู่เหรินลงมาทานอาหารเช้าข้างล่างพร้อมฟังการนินทาเรื่องของตัวเองไปด้วยโดยไม่อยากเชื่อว่าชื่อเสียงเรื่องตัดแขนเสื้อของเขาจะดังมาถึงแคว้นฉิน            ใบหน้ายังสวมใส่หน้ากากครึ่งหน้าสีดำเหมือนเดิม ส่วนหลิงหวางยังเป็นใบหน้าธรรมดาที่ไม่มีสิ่งใดให้สะดุดตา เขามองสหายร่วมโต๊ะอย่างพิจารณา บางทีก็สงสัยเหมือนกันว่าเจ้าตัวไปเอาความรู้มากมายเหล่านั้นมาจากไหน อายุก็แค่เพียงสิบเก้าปีเท่านั้น          “เจ้าว่าข่าวลือของคุณชายสี่ตระกูลมู่แคว้นฉีนิยมตัดแขนเสื้อจะเป็นจริงหรือไม่”            วันนี้มู่เหรินยังสวมใส่อาภรณ์สีดำเช่นเดียวกับหลิงหวาง ทว่าแม้มือจะคีบอาหารเข้าปากแต่กลับตั้งใจฟังชาวยุทธ์ผู้หนึ่งที่เอ่ยถามสหายโดยไม่ได้หันไปมองทางด้านหลังตนเอง          “ข้าคิดว่าไม่น่าจะเป็นความจริง ตระกูลมู่เป็นคนฉลาด ข้าว่าต้องการปกปิดความจริงบางอย่างมากกว่า”            น้ำเสียงนุ่มทุ้มจากทางด้านหลังทำให้มู่เหรินนั่งนิ่ง เขาแอบตกใจกับความคิดคนผู้นั้น ฉลาดเกินไปแล้ว          “หมายความว่าไง”            สหายในกลุ่มเอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัยซึ่งมู่เหรินเองก็อยากรู้คำตอบของบุรุษผู้นั้นเช่นกัน          “ความฉลาดหลักแหลมของคุณชายสี่ตระกูลมู่โด่งดังมาหลายปีทว่าปีนี้กลับเป็นเรื่องเสียหาย พวกเจ้ามองไม่เห็นสิ่งผิดปกติหรือไง”            หนึ่งในนั้นเอ่ยตอบอย่างมั่นใจในความคิดของตัวเอง ทว่ามันทำให้มู่เหรินรู้สึกหวาดหวั่นกับคนพวกนี้ที่อ่านทันเหตุการณ์ที่สร้างขึ้นได้เร็วเกินไปแล้ว          “เรื่องนี้ก็พอเข้าใจแต่ข้าไม่เข้าใจว่าตัดแขนเสื้อจะเสียหายตรงไหน ในวังหลวงพวกเชื้อพระวงศ์ก็ร่วมสุขสมกับพวกขันทีอยู่แล้ว อีกอย่างเรื่องความรักไม่เห็นจะผิดเลย”          “น้องสี่ เรื่องของภายในวังหลวงเจ้าไม่ควรนำมาพูด เรามีหน้าที่ต้องทำคงต้องแยกกันแค่นี้”            น้ำเสียงจริงจังของผู้ที่เงียบมาตลอดทำให้มู่เหรินรู้สึกขนลุก จากที่ได้ยินและสัมผัสกลิ่นอายมีด้วยกันสี่คนและไม่น่าจะใช่สามัญชนธรรมดาเสียด้วย ความฉลาดหลักแหลมของพวกเขาเริ่มทำให้หวาดหวั่น เขาเหลือบมองหลิงหวางที่ยังนั่งทานต่อเงียบ ๆ ทว่าใบหูก็คงตั้งใจฟังไม่ต่างจากเขา            แม้เขาจะไม่หันไปมองทว่าเขาก็จดจำกลิ่นอายของแต่ละคนได้เป็นอย่างดี ทั้งสี่ลุกขึ้นจากไปแล้วเขาจึงตั้งใจทานอาหารอีกครั้ง ลางสังหรณ์เขาบอกว่าพวกนั้นมาสืบข่าวเขาอย่างแน่นอน แต่จะมาจากแคว้นใดนั้นเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน            หลังจากทานอาหารมื้อเช้าจบลงมู่เหรินก็ได้หาซื้อหมั่นโถวกับผลไม้ไว้สำหรับเดินทางอีกครั้งก่อนจะเดินมาหยุดที่ร้านเสื้อผ้าแห่งหนึ่งภายในเมือง เขาถอนหายใจอย่างทำใจอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าไปในร้านพร้อมเลือกชุดสตรีสีขาวมาสองชุด จากนั้นจึงหาที่เปลี่ยนแปลงตัวเอง จากเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้เขามิอาจวางใจได้จึงต้องเปลี่ยนภาพลักษณ์ตัวเอง            ร่างโปร่งในอาภรณ์สีขาวใบหน้างดงามราวอิสตรีเดินออกมาจากพุ่มไม้นอกเมืองเข้ามาหาหลิงหวางด้วยสีหน้ากล้ำกลืน แต่คิดการใหญ่เรื่องแค่นี้ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เมื่อเหลือบมององครักษ์ตัวเองก็เริ่มทำให้รู้สึกไม่มั่นใจตัวเอง ใบหน้าธรรมดามองมาที่เขาอย่างตกตะลึง ใบหน้าแดงก่ำทั้ง ๆ ที่สวมใส่หน้ากากมนุษย์แท้ ๆ            “น่าเกลียดมากเลยหรือ”            มู่เหรินเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ จับชุดสตรีสีขาวตัวเองให้เข้ารูปอีกครั้ง เส้นผมมวยแบบง่าย ๆ แล้วปักปิ่นดอกมู่หลันสีขาวที่เหลือก็ปล่อยยาวแบบสตรีทั่วไป            “เอ่อ...เปล่าขอรับ”            หลิงหวางตอบกลับเสียงเบา รู้สึกว่าจะค้นหาเสียงตัวเองไม่เจอ ความงดงามของนายน้อยทำให้รู้สึกใจเต้นแรงมากขึ้น ยิ่งมาแต่งเหมือนสตรีเช่นนี้ทำให้ไม่รู้จะวางตัวอย่างไรดีไม่ให้ถูกจับความรู้สึกที่แท้จริงได้            “หลิงหวางเจ้าคงไม่เห็นข้าเป็นสตรีจริง ๆ หรอกนะ”            มู่เหรินเอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจเมื่อเห็นท่าทางแปลก ๆ ขององครักษ์ ใบหน้าซีดเผือดของคนตรงหน้ากลับเป็นคำตอบได้ดี            “ต่อไปนี้ข้าชื่อหลิงมู่หลัน เป็นภรรยาเจ้า เพราะฉะนั้นระหว่างนี้ก็ทำใจไปก่อนแล้วกัน”            มู่เหรินเดินไปตบไหล่คนที่สูงกว่าตนไม่กี่เซนต์อย่างขำขันก่อนจะออกเดินทางอีกครั้ง ทว่าหลิงหวางรู้สึกเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ใบหน้ามีเหงื่อซึมเล็กน้อยอย่างหวาดหวั่น ไม่ได้กลัวแม่ทัพมู่จะมาคิดบัญชีแค้นจากเขาทีหลังแต่กลัวใจตัวเองมากกว่า “ตามมาเร็ว ๆ”            เสียงร้องของคนที่ออกเดินทางไปก่อนทำให้ใบหน้าธรรมดาที่ทำมาจากหนังมนุษย์หลุดยิ้มออกมาบาง ๆ ก่อนจะรีบติดตามนายน้อยของตนเองไป ไม่ว่าจะแต่งเป็นสตรีหรือบุรุษคนตรงหน้าก็เป็นนายน้อยของมันอยู่ดี... หลังจากที่แต่งเป็นสตรีเดินทางร่วมกับหลิงหวางโดยใช้กำลังภายในเสียส่วนใหญ่จนกระทั่งมาถึงเขตนอกเมืองแคว้นฉินในที่สุด ระหว่างทางยังเจอปัญหาวุ่นวายตามมาเพราะความงามเป็นเหตุ ยังดีว่าหลิงหวางมีวรยุทธ์สูงส่ง เพียงแค่สายตาคมกริบมองอย่างกดดันก็ไม่ค่อยมีคนใจกล้าเข้ามาใกล้แล้ว            ตั้งแต่ร่วมเดินทางมากับองครักษ์เงาที่ผันตัวมาเป็นสามีในนามเขาก็ยังไม่เคยเห็นรูปโฉมใบหน้าที่แท้จริงเลย แม้จะเปลี่ยนใบหน้ามาเรื่อยทว่าเขาก็จดจำได้เพราะกลิ่นอายเฉพาะตัวเท่านั้น            “นายน้อยจะพักที่เมืองฉางเกอก่อนไหมขอรับ”            “ข้าบอกให้เรียกมู่หลัน”            มู่เหรินบอกเสียงระอาเพราะเมื่อใดที่อยู่กันสองคนเจ้าตัวก็เรียกเขาว่านายน้อยทุกที เห็นเชื่อฟังอย่างนี้แต่แอบดื้อเงียบ            “ไม่มีคนอื่นขอรับ”            คำตอบหน้าตายของคนข้างตัวทำให้มู่เหรินนิ่งอึ้งไป เดี๋ยวนี้หลิงหวางรู้จักพัฒนาแล้วหลังจากที่ให้ออกจากเงามา ก็ถือว่าดีขึ้นกระมัง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD