พลอยแสง อาภาโชติ เหยียดยิ้มไม่น่ามองหลังลงจากรถและสบสายตากับคนที่เห็นวิ่งอยู่ในสวนมาหลายวันแล้ว ก่อนหน้านี้ยังไม่มั่นใจเลยไม่ได้ ‘ทักทาย’ แต่เมื่อวานตอนขับรถผ่านเห็นหน้าชัด ๆ จึงไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมืออีก
“ยัยพลอย…” ศัตรูคู่อาฆาตของภัควรินทร์ยังคงยืนยิ้มราวกับตัวเองไม่ได้ทำผิด “ทำคนอื่นเจ็บแล้วยังปากเสียอีก”
“อย่ามาพูดจาซี้ซั้วนะยะ เธอขวัญอ่อนล้มเองชัด ๆ ยังจะมาโทษคนอื่น แบบนี้แหละนะพวกไม่สำคัญ ชอบเรียกร้องความสนใจเพราะรู้ว่าตัวเองไม่มีใคร…ใส่ใจ”
หากเป็นคนอื่นภัควรินทร์คงโต้กลับไปบ้าง แต่กับไฮโซสาวที่ไม่ชอบหน้ากันมาตั้งแต่เด็ก เถียงไปก็เปลืองพลังงานชีวิต สู้ไปให้พ้นจากตรงนี้ก่อนที่จะได้ทุ่มเถียงกันใหญ่โตเสียดีกว่า
เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วภัควรินทร์ก็ค่อย ๆ ประคองตัวเองให้ลุกขึ้นยืน แม้อาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าจะทำให้การขยับตัวลำบากมากก็ตาม
“ทำเป็นไม่ตอบโต้ คิดว่าตัวเองเป็นลูกผู้ดีเก่าเลยเน้นเรื่องมารยาทงั้นเหรอ หึ! เอาความเงียบเข้าสู้มันเชยไปแล้วนะน้ำหวาน แอ๊บทำตัวสูงส่ง แต่ทำยังไงก็ไม่มีทางเปลี่ยนกำพืดของตัวเองได้หรอก!”
“แล้วทำไมเราต้องเปลี่ยนกำพืดตัวเองด้วย เธอต่างหากที่ทำอะไรไม่เคยนึกถึงครอบครัวของตัวเอง หน้าตาก็ดี ฐานะก็ไม่ได้แย่ แต่นิสัยเสีย เจ้าคิดเจ้าแค้น…”
“นี่! ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยนะ!” พลอยแสงตวาด
“โต ๆ กันแล้วนะพลอย อะไรปล่อยวางได้ก็ปล่อยเถอะ อย่ามาหาเรื่องกันเลย”
“ทำเป็นพูดดี! ให้ปล่อยวางงั้นเหรอ บอกตัวเองก่อนไหม! เลิกทำตัวเหมือนกับตัวเองมีค่า มีราคา พ่อแม่ก็ไม่ได้เรื่อง…” พลอยแสงตั้งใจจะสาดคำพูดแรง ๆ อีกหลายประโยค ทว่าเสียงทุ้มต่ำของใครบางคนหยุดเธอไว้
“ผมว่าลามปามถึงบุพการีมันไม่น่ารักเลยนะครับ”
ธีรักษ์เอ่ยยิ้ม ๆ ขณะยกมือขึ้นบังแดดยามสายที่สาดกระทบใบหน้าหล่อเหลา ป้องกันดวงตาจากแสงเจิดจ้าที่อาจกระตุ้นอาการปวดหัวให้กลับมาอีก
“ไม่ใช่เรื่องของแก อย่ามาสะเออะ! อุ้ย…” ความหล่อของเขาทำให้พลอยแสงชะงักไปชั่วขณะ กว่าจะได้สติเจ้าตัวก็เดินมายืนตรงหน้าแล้ว
“เอ่อ สวัสดีค่ะ พลอยขอโทษนะคะที่เมื่อกี้พูดจาไม่ดี คือว่ายัยคนนี้น่ะค่ะ ซุ่มซ่ามล้มเองแล้วดันมากล่าวหาว่าพลอยเป็นคนทำ พลอยโมโหเลยไม่ทันได้ระวังคำพูด”
“ตอนนี้ผมยังไม่สะดวกฟัง มีธุระต่อน่ะครับ ว่าแต่บ้านคุณอยู่หลังไหน เดี๋ยวผมว่างแล้วจะแวะไปคุยด้วย”
มุมปากธีรักษ์ยกยิ้มน่ามอง หว่านเสน่ห์จนพลอยแสงเขินอาย ยืนบิดตัวไปมาพร้อมให้รายละเอียดที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ ปรากฏว่าเธออยู่ห่างจากบ้านเขาไม่มากนัก
หลังจากพูดคุยต่ออีกสองสามประโยค เขาก็เดินไปส่งเธอขึ้นรถ โดยไม่ได้ใส่ใจคนเจ็บที่ยืนน้อยใจอยู่ข้างหลัง แต่พอได้อยู่ตามลำพัง ใบหน้าหล่อเหลาก็พลันหุบยิ้มฉับ ดวงตาสีเข้มหรี่มองอย่างพิจารณา บอกได้ยากว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“กลับบ้านเถอะ”
“ค่ะ…” เธอประหยัดคำพูด กัดฟันเดินโดยไม่โอดครวญหรือขอความเห็นใจจากคนใจร้าย ที่เพิ่งทักทายทำความรู้จักกับศัตรูคู่อาฆาตของเธอเสียดิบดี ทว่าก้าวได้แค่เพียงก้าวเดียวก็ทำท่าว่าจะล้มลงไปอีกครั้ง วงแขนแข็งแรงจึงวาดประคองเธออย่างทันท่วงที
“นี่คุณ!” เธอตกใจมากกว่าจะโกรธ ไม่คิดว่าเขาจะถึงเนื้อถึงตัวกันแบบนี้
“ผมไม่ได้จะเอาเปรียบคุณอย่างที่คุณเคยกล่าวหา แต่ดูจากการเดินแล้วเหมือนคุณจะไม่ไหวนะ” เขาไม่ปล่อยมือ ยังคงโอบเอวเธอไว้แน่น
“เอ่อ น้ำหวาน…” เธอกลืนน้ำลาย หัวใจเต้นแรงกับความใกล้ชิด จนนึกได้ว่าเขาเพิ่งหว่านเสน่ห์ใส่พลอยแสงนั่นแหละถึงได้ขยับตัวออกห่าง ไม่ได้ปฏิเสธการช่วยเหลือ แค่ไม่ให้ร่างกายแนบชิดกันมากไป
ดูเหมือนธีรักษ์จะรู้ทันว่าเธอคิดอะไรอยู่
“นั่นเพื่อนคุณเหรอ?” เขาชวนคุยเพื่อลดความอึดอัด
“รู้จักกันสมัยเรียนค่ะ แข่งกันทำคะแนนมาตลอดเลยไม่ค่อยชอบหน้ากัน” ภัควรินทร์ละความจริงที่ว่าแฟนเก่าของพลอยแสงเคยตามจีบเธอและคงได้คบหากันจริงจัง หากไม่มีเรื่องของธีรักษ์มาเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เธอโสดจนทุกวันนี้
“เดินแบบนี้คงอีกนานกว่าจะถึงบ้าน เอางี้นะ เดี๋ยวผมแบกคุณเอง”
“อย่าเลยค่ะ น้ำหวานตัวหนักจะตาย…”
ภาพความทรงจำที่ปรากฏขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ธีรักษ์ถึงกับนิ่วหน้า ขบกรามแน่นเพื่อข่มอาการปวดศีรษะที่เล่นงานทุก ๆ ครั้งที่เครียดหรือพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวมากเกินไป
‘หนูตัวหนักมากไหมคะ’
‘ไม่หนักหรอก ผมอุ้มหนูได้สบาย ๆ เลย’
‘แล้วทำไมคุณไม่อุ้มหนูล่ะคะ?’
‘กลัวว่าจะอดใจไม่ไหว ทำมากกว่าแค่อุ้มน่ะสิ…’
ธีรักษ์คลับคล้ายคลับคลาว่าเธอเมา ส่วนตัวเขามึนในระดับที่ยังมีสติมากพอจะห้ามใจ แต่นาทีนั้นเขาต้องการเธอ ปรารถนาที่จะสัมผัสเธอ อยากให้เธอเป็นของเขาคนเดียว…และตลอดไป
ให้ตายเถอะ! คืนนั้นกับภัควรินทร์มันวิเศษจริง ๆ!
“แม่งเอ๊ย!”
เขาสบถ ผละออกจากร่างบางอย่างเร็วจนเธอยืนลงน้ำหนักขาเดียวแทบไม่ทัน การใช้ความคิดอย่างหนักทำให้อาการน่ารำคาญโจมตีรุนแรงกว่าปกติหลายเท่า เขามองเธอที่เอียงคอมองมาเหมือนในความทรงจำ ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ หันหลังและเดินกึ่งวิ่งจากไป
ทิ้งให้ภัควรินทร์ที่กำลังเจ็บยืนน้อยใจอยู่ตามลำพัง