ภัควรินทร์เสียใจที่ควบคุมตัวเองได้ไม่ดี เผลอตอบตกลงข้อเสนอที่แสนจะไม่ยุติธรรมนั่น
‘ถ้าคุณหาเงินมาคืนได้ภายในวันนี้เรื่องก็คงจบ แต่ดูจากข้อมูลแล้วน่าจะยาก พนักงานบริษัทที่ทำงานมาได้ไม่ถึงสองปี เงินเก็บถึงสองหมื่นหรือเปล่าก็ไม่รู้…ไม่สู้คุณออกจากงานประจำมาคอยดูแลผม…’
เขาเสนอเงินเดือนให้เดือนละสามหมื่นบาทและสัญญาว่าจะลดหนี้ให้เดือนละห้าหมื่นบาท รวมเบ็ดเสร็จหลังหักค่าอยู่ค่ากิน ประหยัดเงินให้มากหน่อย เธอคงเก็บเงินไถ่ตัวเองได้ ภายในห้าเดือน ซึ่งคำนวณแล้วก็นับว่าคุ้มมากเลยทีเดียว
ข้อเสนอเรื่องงานและเงินดูน่าสนใจ หน้าที่มีเพียงคอยช่วยเหลืองานเอกสารและดูแลเรื่องจิปาถะ ที่นอกเหนือไปจากงานแม่บ้าน จนกระทั่งภัควรินทร์รู้ว่าต้องย้ายไปอยู่บ้านหลังเดียวกันกับเขานั่นแหละ
“เอาน่า! แค่ห้าเดือนจะไปยากอะไร! แลกกับการใช้หนี้ตั้งสามแสนเลยนะเว้ย!”
ภัควรินทร์อยู่บ้านเดียวกับเจ้าหนี้เกือบสามสัปดาห์แล้ว และทุกนาทีที่เคลื่อนผ่านก็ต้องระวังตัวให้มาก ไม่ใช่กลัวว่าเขาจะปลุกปล้ำ แต่เป็นตัวเธอเองนี่แหละที่จะเผลอใจให้กับเสน่ห์ที่ล้นเหลือจนน่ารำคาญ ยังดีที่เขายุ่งอยู่กับงาน คอยช่วยน้องชายอยู่เบื้องหลังโพรเจกต์ใหญ่ของบริษัท เธอจึงยังไม่ได้เสนอตัวให้เขาจับกินอย่างที่กลัว
หากจะว่าไปแล้วเขาเว้นระยะห่างได้เหมาะสมเลยทีเดียว บางคืนก็รีบเข้านอนหลังจากจ้องหน้าเธออยู่ไม่นาน พึมพำว่าปวดหัว ต้องพักผ่อนให้มาก เช้ามาก็ไปวิ่งออกกำลังกายในสวนของหมู่บ้าน ส่วนตัวเธอก็ต้องคอยวิ่งตามให้ทัน
“อายุแค่นี้วิ่งนิดเดียวหอบ คุณเคยออกกำลังกายหรือเปล่าน้ำหวาน…”
“แฮก น้ำหวานเคย…” เธออยากเถียง แต่หายใจไม่ทัน
“ไม่ต้องแก้ตัวละ ถ้าเหนื่อยก็ไปนั่งรอตรงม้านั่งก่อน เดี๋ยวผมวิ่งอีกรอบแล้วเราค่อยกลับเข้าบ้านกัน”
เขาอาศัยอยู่บ้านหลังเล็กสไตล์โมเดิร์นแถบชานเมือง บรรยากาศเงียบสงบ ภายในรั้วบ้านรวมถึงส่วนกลางของหมู่บ้านเต็มไปด้วยสีเขียวของต้นไม้ เพื่อนบ้านแต่ละหลังอยู่ห่างกันและมีความเป็นส่วนตัวสูง คุ้มค่ากับราคาสูงลิบลิ่วที่เจ้าของบ้านจ่ายไป
ภัควรินทร์มีเรื่องสงสัยอีกมากมายว่าทำไมเขาถึงไม่อยู่บ้านเดียวกับครอบครัว ทว่าเลือกที่จะปิดปากและคอยสังเกตอย่างเงียบ ๆ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรนัก
เจ้านายรูปหล่อที่เคยพรากพรหมจรรย์เธอพูดน้อยลงกว่าที่เคยจำได้ ดวงตาสีเข้มที่ทอประกายวิบวับคู่นั้นมักจะซ่อนอยู่ภายใต้แว่นตากันแดดสีชา เว้นแค่เวลาที่เขาอยู่ในบ้านหรือออกมาวิ่งในสวน หลังจากแอบมองอยู่นานเธอก็พบว่าเขามีแผลเป็นเล็ก ๆ อยู่บริเวณหางคิ้ว แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เขาต้องสวมแว่นแต่อย่างใด
‘คุณธารมีปัญหาเรื่องสายตา ยังไงรบกวนคุณน้ำหวานคอยดูแลไม่ให้ท่านจ้องแสงจ้า ๆ หรืออ่านเอกสารนานเกินไปนะครับ’
ไกรวิทย์ ภักดีอนันต์ หรือ ไกร ทำงานให้กับครอบครัวอัครจินดานนท์นานกว่าสามสิบปีแล้ว เขาคือผู้ช่วยคุณทัศนัย แต่หลังจากธีรักษ์เรียนจบก็ย้ายมาอยู่ข้างกายของผู้บริหารรุ่นใหม่ตามคำสั่งของเจ้านายแทน
เวลางานไกรวิทย์ต้องคอยอำนวยความสะดวกในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะในเรื่องความปลอดภัย มีวันพักผ่อนเพียงไม่กี่วัน ซึ่งนั่นก็คือวันที่ธีรักษ์เลือกใช้เวลาว่างไปกับงานอดิเรกเช่นการถ่ายภาพ หรือไม่ก็วันที่ต้องการพักผ่อนกับสาว ๆ ตามลำพัง
ภัควรินทร์นึกอยู่นานกว่าจะจำได้ ห้าปีก่อนเขาคือคนที่ออกมาแจ้งหน้าสตูดิโอว่าใครได้รับเลือกเป็นนางแบบของธีรักษ์ และที่น่าสนใจคือเธอแอบได้ยินบทสนทนาของไกรวิทย์กับเจ้าหนี้ใจร้ายว่าที่ทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะเขาไม่ดูแลเจ้านายตัวเองให้ดี ทำงานผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย แต่จะเป็นเรื่องอะไรเธอก็ไม่อาจรู้ได้
กับผู้ชายคนนี้เธอไม่อยากเดาอะไรทั้งนั้น…
หลังจากนั่งพักขาอยู่นานภัควรินทร์ก็ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย หลังจากวิ่งทุกเช้าเป็นเวลาหลายวันติดต่อกัน ร่างกายก็ปรับตัวได้และรู้สึกแข็งแรงมากขึ้น อากาศดี ๆ ทำให้เธอรู้สึกปลอดโปร่ง แทบจะลืมไปเลยว่ามาอยู่กับเขาในฐานะใดหรือก่อวีรกรรมอะไรไว้บ้าง
‘คุณจำได้หรือเปล่าว่าคืนนั้นใครเป็นคนเริ่มก่อน…’
‘เอ่อ น้ำหวานเป็นคนขอจูบคุณก่อนค่ะ’
‘มีตอนไหนที่ผมได้บังคับใจคุณไหม’
เขาถามในวันแรกที่ภัควรินทร์ย้ายมาอยู่ด้วย นิ้วยาว ๆ เคาะโต๊ะทำงานขณะดื่มนมอุ่นจัดที่เธอเตรียมให้ตามรายการยาวเหยียดที่ได้รับทางอีเมล เธอถูกสะกดด้วยเสียงเคาะเป็นจังหวะที่ทำให้หลุดตอบคำถามออกไปตามตรง
‘แล้วผมได้สัญญาว่าจะรับผิดชอบคุณ หรือพูดว่าจะคบคุณเป็นแฟนหรือเปล่า…’
เธอสั่นหน้าแรง ๆ แทนการปฏิเสธ ยอมรับอย่างเสียไม่ได้ว่าเขาไม่ได้ให้คำสัญญาอะไร มีแต่เธอนี่แหละที่สัญญาว่าจะไม่จูบใครและจะเป็นของเขาแค่คนเดียว
“เลิกคิดเรื่องไร้สาระได้แล้ว!”
ภัควรินทร์ดุตัวเองขณะเดินลากขากลับบ้านระหว่างรอเขาวิ่งให้ครบรอบ แต่ด้วยความที่ไม่ทันระวังจึงถูกรถหรูที่ขับผ่านมาบีบแตรยาว ๆ ใส่จนตกใจและหกล้มเข่าถลอก ศอกข้างซ้ายก็ได้แผลมาด้วย
เธอค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้เดินขวางทางจึงตั้งท่าจะลุกขึ้นตะโกนด่า น่าเสียดายที่อาการเสียวแปลบบริเวณข้อเท้าไม่อำนวยให้ทำอย่างที่ใจหวัง แต่พอเห็นรถคันนั้นหยุดลงชั่วขณะและขับถอยมาจนถึงเธอที่ยังลุกไม่ไหว ความหงุดหงิดก็ลดลงเพราะเข้าใจว่าคนขับคิดจะรับผิดชอบหรืออย่างน้อยก็กล่าวคำขอโทษ
ภัควรินทร์มองโลกในแง่ดีมากเกินไป
“เดินดูรถหน่อยสิยะ! โธ่! นึกว่าใคร ที่แท้ก็ยัยกาฝาก เอ๊ย! ยัยน้ำหวานนี่เอง!”