“เอ่อ! พี่ริชาร์ดคะ ขอพวกเราปรึกษากันสักครู่ได้ไหมคะ” แคทเทอรีนหันไปขอความเห็น เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าให้ เธอจึงหันไปกระซิบกระซาบกับเพื่อนทั้งสองคนทันที
“เอาไงกันดีอ่ะ กลับไปตั้งหลักแล้วยอมให้พี่เขาหาคนอื่นไปก่อนดีไหม พวกแกว่าไง” แคทเทอรีนอดทำหน้าเครียดไม่ได้ ด้วยรู้ว่าเรื่องนี้สำคัญกับชมพูแพรมากแค่ไหน
“ไม่ได้นะ โอกาสมาถึงขนาดนี้แล้ว แกจะให้ฉันยอมปล่อยมันไปง่ายๆ เหรอ มันต้องมีทางอื่นที่ดีกว่านี้สิ” ชมพูแพรพยายามคิดหาทาง เพื่อให้ตัวเองได้เข้าไปทำงานในบริษัทนั้นให้ได้
“ทางน่ะจะว่ามีก็มีอยู่หรอกนะ แต่อยู่ที่ว่าจะมีคนยอมเดินไปด้วยรึเปล่านั่นแหละ” แคทเทอรีนว่าแล้วก็เหลือบไปมองจัสมินที่นั่งเงียบอยู่
“เฮ้ย! อย่ามามองกันแบบนี้นะ พวกแกก็รู้นี่ว่าฉันต้องกลับไปช่วยที่บ้านทำงาน นี่ก็ใกล้วันกลับของฉันแล้วด้วย” จัสมินรีบบอก เมื่อกำลังถูกคุกคามด้วยสายตาจากเพื่อนทั้งสองคนตอนนี้
“ถ้าอย่างนั้นแกก็คงต้องยอมถอยแล้วล่ะ ออกมาตั้งหลักกันก่อน แล้วค่อยคิดหาวิธีกันอีกทีว่าจะเอายังไง” แคทเทอรีนหันไปบอกชมพูแพรอย่างจนใจ ซึ่งอีกฝ่ายได้แต่ส่ายหน้าหวือไม่ยอมท่าเดียว
“ไม่ แกก็รู้นี่ว่าฉันรอวันนี้มานานแค่ไหน พอมีโอกาสแกจะปล่อยให้ฉันทิ้งมันไปง่ายๆ ได้ยังไง ลืมไปแล้วเหรอว่าที่ฉันอุตส่าห์บากบั่นดั้นด้นจนสอบชิงทุนมาเรียนไกลถึงนี่เพราะอะไร” ชมพูแพรบอกเสียงขื่น เมื่อนึกย้อนไปถึงสาเหตุที่ทำให้เธอดั้นด้นมาเรียนไกลถึงที่นี่ ทั้งๆ ที่ฐานะทางบ้านของเธอก็ไม่ได้อำนวยเลยด้วยซ้ำ
“แล้วแกจะให้ทำยังไง ในเมื่อพี่ริชาร์ดเขาก็บอกชัดเจนแบบนั้นแล้ว นอกจากว่าพวกเราสามคนจะต้องอยู่ทำงานที่นี่ด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะมินเองก็กำลังจะกลับเมืองไทยในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว บอกตามตรงว่าฉันเองก็จนปัญญา จะให้ฉันไปบังคับให้เขารับเราสองคนเข้าทำงาน ฉันก็คงทำไม่ได้ ถึงแม้ฉันจะเป็นญาติกับเขา แต่เราก็เป็นแค่ญาติห่างๆ กันเท่านั้นนะ ไม่มีอำนาจหรืออิทธิพลที่จะไปบังคับใครเขาได้หรอก” แคทเทอรีนบอกอย่างจนใจ ถึงแม้จะอยากช่วยเพื่อนมากแค่ไหน แต่ก็คงทำได้ดีที่สุดแค่นี้
“ฮือๆๆ นี่ฉันจะต้องกลับบ้านมือเปล่า ทั้งๆ ที่ฉันอุตส่าห์อดทนรอมาตั้งหลายปี แต่พอมีโอกาสจริงๆ ฉันกลับทำอะไรไม่ได้เลย ทำไมๆๆ ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ด้วย ฮือๆๆ” จู่ๆ ชมพูแพรก็ปล่อยโฮออกมาเสียงดัง ทำเอาริชาร์ดที่นั่งอยู่ไม่ไกลพลอยตกใจไปด้วย
“โอ๊ย! สรุปเรื่องนี้ฉันเป็นคนผิดใช่ไหมเนี่ย” จัสมินกุมขมับปวดหัวจี๊ดด้วยไม่รู้จะหาทางออกยังไง
“ไม่ แกไม่ผิด คนที่ผิดคือฉัน ฉันมันไม่ได้เรื่อง ทำอะไรเองไม่ได้สักอย่าง ฉันมันโง่ ฉันมันแย่” ยิ่งเห็นชมพูแพรเอาแต่โทษตัวเองแบบนี้ จัสมินก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี ด้วยรู้ดีว่าเรื่องนี้สำคัญกับเพื่อนมากแค่ไหน
“เอาล่ะๆ แกเลิกฟูมฟายให้ฉันรู้สึกผิดซะทีเหอะ เพราะแกทำสำเร็จแล้ว เอาเป็นว่าฉันจะยอมอยู่ทำงานกับพวกแกต่ออีกสักระยะก็แล้วกัน แต่ไม่รับปากนะว่าจะได้นานแค่ไหน พวกแกก็รู้นี่ว่าครอบครัวฉันก็รอให้ฉันกลับไปเหมือนกัน” รู้หรอกว่าไอ้อาการร้องไห้ฟูมฟายของเพื่อนเมื่อกี้นี้ส่วนหนึ่งมันก็มาจากความรู้สึกจริงๆ แต่อีกส่วนหนึ่งนี่สิ ถ้าไม่ใช่เพื่อนที่คบกันมานานคงจะดูไม่ออกว่ามันเป็นการแสดง
“เย้! แกน่ารักที่สุดเลยมะลิ เพื่อนรักของฉัน” ชมพูแพรเข้ามากอดจัสมินเอาไว้แน่นทันทีที่ได้ยินว่าอีกฝ่ายยอมอยู่ต่อเพื่อเธอ
“ให้ตายสิ! ฉันน่าจะยกรางวัลนักแสดงดีเด่นให้แกไปเลย แล้วก็บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกฉันว่ามะลิ มันเชย” จัสมินเอ็ดเพื่อนเสียงเขียว แต่ใบหน้ากลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นเพื่อนยิ้มออกได้แบบนี้
“เอ่อ! พี่ริชาร์ดคะ สรุปว่าพวกเราทั้งสามคนจะขอทำงานกับพี่ค่ะ ไม่ทราบว่าพี่ยังยินดีต้อนรับพวกเราอยู่รึเปล่าคะ” เมื่อเห็นว่าเพื่อนตกลงกันได้แล้ว แคทเทอรีนจึงรับหน้าที่ประสานงานทั้งหมดต่อ
“ด้วยความยินดี แบรนเดอร์ โกลเบอร์ คอนสตรัคชั่นยินดีต้องรับพนักงานใหม่ทั้งสามคนครับ หวังว่าเราจะร่วมงานด้วยกันได้เป็นอย่างดีนะครับ” ริชาร์ดยิ้มกริ่มพร้อมกับยื่นมือไปข้างหน้า ซึ่งตรงกับตำแหน่งของจัสมินพอดิบพอดี แต่แทนที่เธอจะยื่นมือกลับมาเพื่อเป็นตัวแทนของเพื่อนๆ ในการแสดงมิตรภาพที่มีต่ออีกฝ่าย เธอกลับยกมือขึ้นไหว้อีกฝ่ายแทน ทำเอาริชาร์ดถึงกับหัวเราะชอบใจออกมากับความพยศของเธอทันที
หลังจากที่ทั้งสามสามได้เซ็นสัญญาการเป็นพนักงานของบริษัทเป็นที่เรียบร้อย พวกเธอถึงได้รู้ว่า ความจริงแล้วพวกเธอไม่ได้ทำงานด้วยกันอย่างที่ริชาร์ดบอกเอาไว้ตั้งแต่แรก ทีมเวิร์กที่ว่าไม่ได้มีอยู่จริง เพราะหลังเซ็นสัญญาพวกเธอก็ถูกแยกให้ไปทำงานกันคนละฝ่าย ทำเอาจัสมินถึงกับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เมื่อรู้สึกว่าตัวเองโดนหลอก
“ใจเย็นๆ ก่อนนะมิน ฉันว่าบางทีมันอาจจะมีข้อผิดพลาดอะไรก็ได้ หรือบางทีพี่ริชาร์ดอาจจะยังไม่รู้เรื่องนี้ ฉันว่าเราลองไปถามพี่ริชาร์ดก่อนดีกว่า แกอย่าเพิ่งโมโหเลยนะ” แคทเทอรีนพยามกล่อมเพื่อน ด้วยรู้ว่าเพื่อนกำลังไม่พอใจ
“จะไม่ให้ฉันโมโหได้ยังไง เพราะเหตุผลงี่เง่าของผู้ชายคนนั้นไม่ใช่เหรอ ที่ทำให้ฉันไม่ได้กลับบ้าน เพราะคำว่าทีมเวิร์กไม่ใช่รึไงที่ทำให้ฉันต้องอยู่ที่นี่ แล้วไหนล่ะทีมเวิร์กที่เขาว่า แบบนี้มันหลอกกันชัดๆ ไม่รู้ล่ะในเมื่อเขาไม่ทำตามกติกา ฉันก็ไม่เห็นต้องสนใจ ฉันจะลาออก ฉันจะกลับบ้าน” จัสมินกระฟัดกระเฟียดและตั้งใจจะเดินออกไปจากบริษัท แต่ก็ยังไม่ทันได้ทำตามอย่างที่ตั้งใจ คนที่ทำให้เธอโกรธก็เข้ามาซะก่อน
“สงสัยคุณคงยังไม่ได้อ่านรายละเอียดในสัญญาสินะว่า...ถ้าหากคุณทำให้บริษัทเกิดความเสียหาย คุณจะต้องจ่ายค่าชดใช้ให้กับบริษัท ซึ่งแน่น่อนว่าการที่คุณเป็นคนขาดความรับผิดชอบ เห็นบริษัทเป็นสนามเด็กเล่น ที่คิดจะมาจะไปเมื่อไหร่ก็ทำได้แบบนี้ มันทำให้บริษัทผมเสียชื่อแล้วก็ทำให้บริษัทเสียหาย เพราะทางเราจะต้องเสียงบประมาณในการเปิดรับสมัครพนักงานใหม่อีกครั้ง แต่ถ้าคุณยังยืนยันที่จะไป ผมก็พอจะเข้าใจคุณนะมะลิ” จัสมินหันขวับมามองอีกฝ่ายตาเขียวปั๊ด ด้วยไม่เคยถูกใครกล่าวหาแบบนี้มาก่อน
“มันจะมากไปแล้วนะ มีสิทธิ์อะไรมาว่าฉันขาดความรับผิดชอบ ทั้งๆ ที่คุณก็ไม่ได้มีดีสักเท่าไหร่” จัสมินหันมาต่อกรอย่างไม่เกรงกลัว ด้วยมั่นใจว่าสิ่งที่พูดเป็นสิ่งที่ไม่ผิด
“งั้นเรามาพิสูจน์กันไหมล่ะว่าระหว่างคุณกับผมใครมีดีกว่ากัน แล้วใครที่ชอบทำตัวเป็นเด็กๆ” ได้ยินริชาร์ดท้ามาแบบนี้ จัสมินถึงกับกัดฟันกรอด
“ได้ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน ฉันจะทำให้คุณถอนคำพูดที่ว่าฉันวันนี้ให้ได้ ไหนล่ะงานที่จะให้ฉันทำ เอามาสิคะท่านรองประธานบริษัท” ริชาร์ดยิ้มกริ่มชอบใจ เมื่ออีกฝ่ายตกลงยอมอยู่ต่อแบบนี้
“ใจเย็นๆ สิมะลิ อยู่กับผมน่ะ รับรองว่าคุณได้ทำงานสมใจแน่” ริชาร์ดบอกอย่างอารมณ์ดี แต่คนฟังนี่สิ ถ้าไม่ติดว่าที่นี่เป็นถิ่นของอีกฝ่าย แล้วเธอก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพนักงานคนหนึ่งของเขาแบบนี้ล่ะก็ เธอคงได้อาละวาด โทษฐานที่เขาเรียกชื่อต้องห้ามของเธอสองครั้งสองคราแบบนี้