ตอนที่ 7 ทวงคืน (3)

2569 Words
ตอนที่ 7 ทวงคืน (3) บนหลังคาของตำหนักหนึ่งในวังบูรพา ดวงตะวันยามบ่ายราแสงลงเป็นอย่างยิ่ง สองศิษย์อาจารย์นอนทอดสายตาไปยังทิศตะวันออกของเมืองชิงเหยา ต่างก็สลับกันทอดถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย ต่างคนต่างก็คิดไปคนละเรื่อง อี้หลิงเท้าคาง นอนตะแคงมองไปยังเทือกเขาที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ในใจคิดคร่ำครวญเรื่องราวเกี่ยวกับหงหลิง ขณะเดียวกันก็นึกปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาเมื่อเพิ่งทราบข่าวจากเหล่าปักษาสวรรค์ว่าองค์หญิงหม่านหงกลับมายังแดนมารอีกครั้ง ใจหนึ่งก็อยากชมเรื่องสนุก ทว่าอีกใจหนึ่งก็กลัวว่าสตรีบอบบางอย่างนางจะกระทำอะไรเยียนจิ่งได้ จักรพรรดิมารเยียนจิ่งขึ้นชื่อว่าไร้ปรานีต่อผู้คน ครั้งกระนั้นอี้หลิงมิได้สอดมือเข้ายุ่งเรื่องที่อีกฝ่ายปลอมตัวไปชิงเจ้าสาวจากเกี้ยว ปกปิดฐานะกับนาง ทำให้นางดวงตามืดบอด ทั้งยังข่มเหงนางจนตั้งครรภ์ เขาผ่านการแผดเผาตนเองมานับครั้งไม่ถ้วน แม้จิตใจจะกล้าแข็งถึงเพียงใดแต่ก็มิอาจทานทนต่อการกระทำอันหยาบช้าของอีกฝ่ายได้ ทว่าการยุ่งเกี่ยวกับชะตากรรมของมนุษย์จะทำให้เขาต้องทิ้งเสี่ยวหยวนไว้เมื่อต้องรับทัณฑ์สวรรค์ สุดท้ายจึงต้องแกล้งทำไม่รู้ไม่เห็น ทำได้เพียงตักเตือนเยียนจิ่งซึ่งนั่นก็ไร้ประโยชน์อย่างยิ่ง หากว่าเขาไม่ทราบเบื้องลึกเบื้องหลังมาบ้าง คงได้แตกหักกับจักรพรรดิชั่วผู้นี้เสียแล้ว คนอย่างเยียนจิ่งเมื่อคิดจะทำอะไรล้วนมีเป้าหมายชัดเจน ดวงตามืดบอดเพียงไหนก็ยังคงสติสัมปชัญญะครบถ้วน มีเพียงเรื่องการแก้แค้นคนผู้หนึ่งด้วยการใช้สตรีหนึ่งเป็นเครื่องมือที่ทำให้อี้หลิงคาดเดาทิศทางได้ว่าแท้จริงแล้วจักรพรรดิมารคิดอย่างไร “เห้อ...” เขาทอดถอนใจอีกครั้ง แม้ไม่อยากเอาเรื่องพวกนี้มาใส่หัว ทว่าก็ไม่อาจหนีพ้นเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าได้ “เห้อ” อาหยวนทอดถอนใจบ้าง ผู้เป็นอาจารย์จึงเหล่มอง “เจ้าเป็นอะไรไป” อาหยวนผินหน้ามองอาจารย์ ใบหน้าอ่อนเยาว์หม่นหมอง “ซาลาเปาน้อยไม่ยอมพูดกับข้า จะให้ทำอย่างไรดี” ซาลาเปาน้อยที่เขาพูดถึงคือทารกน้อยที่เพิ่งคลอดจากท่านอาหญิงคนนั้น ครั้นคลอดเสร็จมารดาของเขาก็ตาย เหลือแต่เพียงก้อนซาลาเปาขาวนุ่ม เสี่ยวหยวนพยายามชวนเจ้าตัวเล็กพูดคุย ทว่าเด็กคนนั้นเอาแต่ร้องไห้ ไม่สนุกเลยสักนิด อี้หลิงหางคิ้วกระตุก “เจ้านี่...ทารกจะพูดได้อย่างไร” “มิใช่ท่านบอกว่าพอข้าเป็นทารกก็พูดได้หรอกหรือ” อี้หลิงชะงัก เรื่องโม้เหม็นเหล่านั้นก็เก็บมาเป็นเรื่องจริงจัง เขาหยัดกายขึ้น แสงสีส้มอาบย้อมเสี้ยวหน้าเคร่งขรึม “เจ้าเป็นทารกอันประเสริฐที่อาจารย์ดูแลมาตั้งแต่ยังเล็ก ไฉนจึงจะไม่เก่งกาจได้เล่า ซาลาเปาน้อยของเจ้ามิได้มีอาจารย์พร่ำสอน ย่อมไม่สามารถสนทนาพาทีได้” เสี่ยวหยวนขมวดคิ้ว กล่าวต่อไปว่า “เช่นนั้นอาจารย์ก็รับเขาเป็นศิษย์ที่แท้จริงสิ ข้าจะได้เป็นศิษย์พี่ใหญ่” “ไม่ได้!” อี้หลิงแทบสำลัก รีบปฏิเสธทันที เรื่องส่วนตัวที่เยียนจิ่งเป็นคนผูก เขาก็ต้องเป็นคนแก้ อี้หลิงสาบานกับตัวเองแล้วว่าหากคนผู้นั้นต้องการความช่วยเหลือหลังจากที่ไม่ฟังคำพูดของเขา เขาก็จะทำเป็นมองเมินไม่ใส่ใจ หึ... แต่หารู้ไม่ว่าเวลาต่อมากลายเป็นเขาที่ต้องกลืนน้ำลายตัวเอง “เสี่ยวหยวน อยู่ที่นี่เจ้าเบื่อหรือไม่” “มีซาลาเปาน้อยก็ไม่เบื่อแล้ว” เสี่ยวหยวนยิ้มกว้าง ฟันที่หายไปงอกขึ้นมาบ้างแล้ว เจ้าเด็กคนนี้อยากมีน้องมานานแล้ว ครั้นซาลาเปาน้อยคลอดเขาก็ตามติดไม่ห่าง คิดเข้าไปพัวพันกอดรัดจนทารกน้อยร้องไห้ เดือดร้อนผู้เป็นอาจารย์ต้องลากคอไปที่อื่น อี้หลิงพยายามรีดเค้นความคิด พลันคิดถึงน้องสาวขึ้นมา “เสี่ยวหยวน ท่านอาหงหลิงใกล้คลอดก้อนเต้าหู้น้อยแล้ว เจ้าอยากเห็นหรือไม่” ได้ผล เสี่ยวหยวนหูกระดิก “ท่านจะพาข้าไปสวรรค์เก้าชั้นฟ้าหรือ” อี้หลิงดีดลูกคิดรางแก้ว หากพาเสี่ยวหยวนไป ก็จะได้ไม่ต้องพบกับองค์หญิงน้อยให้หมางใจ อีกอย่างเรื่องหลังจากนี้เป็นเรื่องระหว่างผู้เป็นบิดากับมารดา เยียนจิ่งสร้างความเจ็บช้ำให้หม่านหงมากมาย เขาไม่เชื่อว่านางจะใจอ่อนยอมง่ายๆ จักรพรรดิมารตนนั้นควรได้รับการสั่งสอนให้สำนึก หาไม่แล้วก็จะทำตัวเป็นอันธพาลทำร้ายผู้อื่นไปทั่ว ฮึ...ทั้งๆ ที่สนใจองค์หญิงน้อยมาตั้งแต่แรกกลับปากแข็ง ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เคราะห์กรรมนำพาก็แล้วกัน ยามนี้อดีตเทียนจวินหายไปจากแดนสวรรค์ ไม่มีใครทราบเรื่องราวที่แท้จริง ทว่าเขากลับทราบดีว่าเป็นเพราะอะไร ที่อี้หลิงไม่คิดเอาความอิ๋นหย่งเทียนจวิน นั่นเพราะก่อนที่เขาจะตามหาดวงจิตที่สลายไปของหนีหวง ก็ได้ทราบเรื่องราวเบื้องหลังมาบ้าง อิ๋นหย่งเทียนจวินยังพอมีสำนึกชั่วดีอยู่บ้าง ยามที่อัญเชิญโองการสวรรค์แห่งหกภพ เขาก็ได้เตรียมโองการสวรรค์สำหรับลงทัณฑ์ตนเองไว้ ความรักเก่าที่ยังคั่งค้าง ความสัมพันธ์ที่ยังคงคลุมเครือ กระทั่งจวบจวนอสนีสวรรค์สุดท้ายฟาดลงบนร่าง อี้หลิงก็ไม่มั่นใจว่าความรู้สึกที่เขามีต่อสตรีสองนาง คือความรัก ความใคร่ หรือความสำนึกเสียใจ แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรอี้หลิงก็มั่นใจว่าอิ๋นหย่งเทียนจวินต้องได้รับการลงทัณฑ์อย่างสาสม “เสี่ยวหยวน อาจารย์มีเรื่องสนุกให้เจ้าทำ จะไปกับอาจารย์หรือไม่” นัยน์ตาของเสี่ยวหยวนเป็นประกายทันที ถามด้วยความตื่นเต้น “เรื่องสนุกหรือ? ทำอะไร” “ก่อนไปสวรรค์เก้าชั้นฟ้า เรามาเล่นเป็นกวีพเนจรกันเถิด หึๆ ๆ ๆ” รถม้าเคลื่อนจอดหน้ากำแพงเมืองสูงเสียดฟ้า สารถีมอบเหรียญทองแดงพวงหนึ่งให้กับทหารยามหน้าประตูเมือง จากนั้นจึงเคลื่อนผ่านประตูเมืองชิงเหยามุ่งสู่คอกม้าอีกสาขาหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก ในแดนมารแห่งนี้ดวงอาทิตย์ราแสงลงอย่างรวดเร็ว เหนือท้องฟ้าสีส้มอ่อนมีหยาดฝนโลหิตโปรยปรายส่งกลิ่นหอม แท้จริงแล้วมิใช่ฝนโลหิต กลิ่นหอมนี้เป็นเอกลักษณ์นัก เป็นกลิ่นที่หม่านหงสัมผัสได้ก่อนนางคลอดลูก กลิ่นของดอกหมู่ตาน[1] ที่ยังฝังคงลึกในจิตวิญญาณ ก่อนหน้านั้นหม่านหงเคยถามบ่าวรับใช้ข้างกาย ซึ่งได้คำตอบว่าปลายฤดูใบไม้ผลิหมู่ตานสีเลือดจากเทือกเขามังกรจะร่วงโรยและถูกสายลมตะวันตกพัดพาเข้าสู่ตัวพื้นดินเบื้องล่างเป็นเวลาหนึ่งเดือน แม้นางไม่อาจมองเห็นทว่ากลับจินตนาการไว้อย่างเพริศแพร้ว ครานี้ได้เห็นกับตาจึงอดรู้สึกว่าแดนมารนั้นช่างมีรสชาติที่น่าสนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง น่าเสียดายที่นางมีความทรงจำอันเลวร้าย พลันได้แต่ทอดถอนใจอย่างเสียดาย นัยน์ตากระจ่างใสฉายแววใคร่ครวญ เทือกเขามังกรอยู่อีกฝั่งของเมือง เมื่อสังเกตจากทิศทางลมก็ทราบได้ว่าพื้นที่บริเวณนี้จะเต็มไปด้วยฝนโลหิตตลอดทั้งเดือน มุมปากของนางกดลึก ใจเต้นระส่ำเมื่อคิดว่าลูกน้อยของนางอยู่ไม่ไกลจากที่แห่งนี้ แม้คนผู้นั้นจะไม่เคยบอกและสั่งห้ามมิให้ผู้อื่นบอกนางเกี่ยวกับสถานที่แห่งนั้น ทว่าหม่านหงมิใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน[2] แม้จะอ่อนด้อยเรื่องความสัมพันธ์ฉันชายหญิง แต่เรื่องอื่นๆ กลับแตกฉานเป็นอย่างยิ่ง หาไม่แล้วเสด็จปู่คงไม่รักใคร่เอ็นดูนางถึงเพียงนั้น ภายหลังนางมาคิดย้อนดู พลันรู้สึกว่าเรื่องบางเรื่องแม้จะอยากฝืนก็จนปัญญา หากว่านาชักนำให้นางเป็นไปดังนั้น การฝืนกลับกลายเป็นการทำร้ายตัวเอง ก่อนหน้านี้นางคิดจะลงตรงเส้นทางแห่งความตาย ทว่ากลิ่นหอมของดอกหมู่ตานสีเลือดนี้กลับเรียกร้องให้นางติดตามมายังสถานที่แห่งนี้ แดนมารมีกลิ่นอายประหลาดนัก ทุกสถานที่ล้วนแล้วแต่มีกลิ่นหอมแตกต่างกัน ทว่าสถานที่แห่งนั้นนอกจากจะไม่มีกลิ่นอื่นใดปะปนจนวิงเวียน กลับมีกลิ่นหอมอันบริสุทธิ์ของหมู่ตานสีเลือดชัดเจนอย่างยิ่ง โดยเฉพาะยามค่ำคืน ไอเย็นที่พัดหอบมาจากทางหน้าต่างนั้นยังเย็นสดชื่นเป็นอย่างยิ่ง สถานที่ที่เขาพานางไป หากคาดคะเนระยะเวลาเดินทางไม่ผิด ราวครึ่งถ้วยชาก็ถึงแล้ว นั่นแสดงว่าคนผู้นั้นต้องอยู่ไม่ไกลจากแหล่งน้ำ หม่านหงครุ่นคิดตลอดทาง ดวงตาคู่งามทอดมองไปยังจุดที่อยู่ทางเหนือสุดติดกับเทือกเขามังกร นางต้องหาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ จึงจะวิเคราะห์ได้ว่าสถานที่แห่งนั้นคือที่ใด หม่านหงและลั่วเซียงลงจากรถม้า “ทางทิศเหนือของเมืองชิงเหยามีโรงเตี๊ยมสำหรับพักแรมหรือไม่” หม่านหงเอ่ยถามคนขับรถม้า “เอ่อ...หากท่านมุ่งตามถนนสายหลักแห่งนี้ไปยังทิศเหนือ จะมีโรงเตี๊ยมเพียงหนึ่งเดียวชื่อว่าโรงเตี๊ยมตัดอาลัย เอ่อ...มิใช่ว่าข้าดูแคลนท่านหรอกนะ แต่ว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นที่รองรับชนชั้นสูง หากท่านต้องการพักอาจจะต้องเสียเหรียญเงินไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยเหรียญนะขอรับ” หม่านหงยิ้มบางๆ “ขอบคุณ” “คุณหนูเจ้าคะ เขามองว่าเราจนตรอกถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” ลั่วเซียง กระซิบถามหลังจากที่เดินจากมาไกลแล้ว หม่านหงยิ้มเล็กน้อย “เราเป็นผู้ฝึกเซียน แท้จริงแล้วต้องใช้ชีวิตสมถะ แต่ว่าไม่จำเป็นต้องสมถะถึงเพียงนั้น ขอแค่อ้างว่าเราต้องการความสงบ ล้วนไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลน แม้พวกมารและพวกเราจะไม่ถูกกันนัก แต่พวกเขาไม่เคยเอาเปรียบพวกเราอย่างที่เหล่าอาลักษณ์บนเก้าชั้นฟ้าบันทึกไว้ ขอเพียงมีเงินมากพอ อะไรก็ล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น” ลั่วเซียงมองถุงเงินในมือ สีหน้าตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง “แต่ว่า...เรามีเหรียญเงินไม่พอนะเจ้าคะ” ใบหน้างดงามยังไม่คลายรอยยิ้ม มุ่งหน้าสู่ทิศเหนืออย่างสบายอารมณ์ หยิกแก้มลั่วเซียงทีหนึ่งอย่างเอ็นดู นางกำนัลคนสนิทของนางไม่เคยไปยังสถานที่ใด เทียบกับนางแล้วยังอ่อนต่อโลกนัก “ไม่ต้องเป็นห่วง ข้ามีสิ่งของที่มีค่ามากกว่าเหรียญเงินนัก” ลั่วเซียงผู้อ่อนต่อโลกตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่งที่นางได้พบเห็น นางถือกำเนิดมาจากดอกท้อดอกหนึ่งของเทียนโฮ่ว เป็นภูตดอกท้อที่เติบโตมาในสวนท้อข้างสระปทุมทอง ครั้นบำเพ็ญจนได้เป็นเซียนก็ได้องค์หญิงหม่านหงรับมาอยู่ข้างกาย โลกทั้งใบของนางก็คือหม่านหง เมื่อหม่านหงจุติลงไปยังโลกมนุษย์นางเคยอ้อนวอนขอให้อดีตเทียนจวินประทานอนุญาตให้นางลงไปเกิดเคียงข้างกับองค์หญิง ทว่าเซียนชั้นผู้น้อยอย่างนางไหนเลยจะได้รับโอกาสนั้น ทุกวันคืนนางเฝ้ามองร่างขององค์หญิงน้อย รอคอยให้กลับมา ทุกครั้งที่นางเห็นหยาดน้ำตารินไหลจากเปลือกตาขององค์หญิง ในใจจึงเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย เมื่อหม่านหงลืมตาขึ้นมาลั่วเซียงจึงอดร่ำไห้ไม่ได้ นางโล่งใจเหลือเกินที่องค์หญิงน้อยกลับมาหานางแล้ว ยามนี้นางได้มายังแดนมารพร้อมกับองค์หญิง ลอบสาบานกับตนว่าจะปกป้ององค์หญิงน้อยเท่าชีวิต และนางต้องสืบหาให้ได้ว่าผู้ใดกันที่บังอาจทำให้การหลับตื่นหนึ่งขององค์หญิงเต็มไปด้วยความปวดร้าวจนต้องหลั่งน้ำตา “คุณหนูเจ้าคะ เหตุใดพวกมารจึงชื่นชอบตบะเพียงสิบปีของผู้ฝึกเซียนเล่า” ลั่วเซียงถามขึ้นเมื่อหม่านหงบรรจุพลังเซียนเพียงเล็กน้อยลงในไข่มุกแล้วส่งให้เถ้าแก่โรงเตี๊ยม พลังเซียนน้อยนิดขนาดนั้นกลับทำให้เถ้าแก่ตาลุกวาวราวกับเห็นภูเขาของกองตรงหน้าอย่างไรอย่างนั้น “พลังเซียนของผู้ฝึกเซียนเป็นของล้ำค่า สะ...อาข้าบอกว่าไม่ว่าจะมาร ปีศาจ หรือภูต เมื่อก้าวเข้าสู่แดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้ายังต้องใช้ตบะส่วนหนึ่ง ทว่าไข่มุกเซียนเพียงเม็ดเดียวกลับสามารถใช้ผ่านทางได้ ในตลาดมืดของสิ่งนั้นจึงมีมูลค่าสูงอย่างยิ่ง เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาต้องการตรวจสอบทะเบียนบุพเพ ขอมีมุกเซียนเพียงเม็ดเดียวก็จะสามารถใช้สิทธิ์นั้นได้โดยทันที ที่จริงแล้วเถ้าแก่ยังตีมูลค่าไข่มุกเซียนของข้าพลาดไปมากอยู่ หากพวกเขาทราบว่ามุกเซียนเม็ดนั้นเป็นของข้า เรายังสามารถซื้อโรงเตี๊ยมนี้เป็นของตัวเองได้เลยกระมัง” ลั่วเซียงเบิกตาโต รีบดันหม่านหงเข้าไปในห้องพักตามป้ายไม้ที่เถ้าแก่โรงเตี๊ยมมอบให้ กระซิบกระซาบด้วยดวงตาเป็นประกาย “เช่นนี้หากว่าเราแอบเอาไข่มุกเซียนไปขายแลกกับบ้านพักสักหลังหนึ่งสำหรับพักผ่อน ไม่ดีหรือเจ้าคะ” หม่านหงหลุดหัวเราะออกมา “อาเซียง...หากพวกเราสามารถทำพร่ำเพรื่อเช่นนั้นได้ มิเท่ากับว่ามีช่องทางทำมาหากินให้กับพวกเทพเซียนที่ไม่สามารถละความโลภได้หรือ ของสิ่งนั้นมีข้อจำกัดอยู่มาก มิใช่ว่าเทพเซียนทั่วไปคิดจะสร้างมุกเซียนก็สร้างได้ เลิกคิดเถอะ อีกอย่างเมื่อทางราชสำนักมารทราบข่าวเรื่องมีผู้จำหน่ายมุกเซียน ย่อมต้องมีคนสนใจเป็นอย่างมาก ไม่เกินสามวันพวกเขาต้องจัดการประมูลขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาก็จะทราบว่าข้าเป็นใคร มีคนไม่น้อยที่ต้องการคนจากเผ่าสวรรค์มากกว่าต้องการเงินทอง เราไม่อาจอยู่อาศัยที่ใดเป็นหลักแหล่งได้ เข้าใจหรือไม่” ลั่วเซียงพยักหน้า แม้จะงุนงงอยู่บ้าง แต่พอทราบว่าพวกนางอาจเป็นอันตรายได้หากถูกผู้อื่นจับได้ว่าเป็นใครจึงไม่ถามต่อ “ข้าอยากนอนพักสักครู่ หากเจ้าอยากเดินเที่ยวชมตลาดก็ตามสบายเถอะ” “ไม่เจ้าค่ะ ข้าจะนั่งเฝ้าคุณหนูเอง” นางไม่บอกหรอกว่านางกลัวพวกมารจับนางไปกินขนาดไหน เรื่องเล่าของเหล่าผู้เฒ่าบนสวรรค์แม้จะเหลวไหลอยู่บ้าง แต่ก็ทำให้นางไม่กล้านอกลู่นอกทางเลยแม้แต่น้อย หากว่าองค์หญิงมิใช่เจ้าชีวิตนาง ให้ตายนางก็ไม่ยอมมาสถานที่แห่งนี้เพียงคนเดียวแน่ๆ [1] ดอกโบตั๋น (**) [2] สำนวนหมายถึง ผู้มีปัญญาหลักแหลม มีพื้นภูมิดี หรือมีผู้คอยสนับสนุน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD