ตอนที่ 6 ทวงคืน (2)
ก่อนที่ความมืดมิดจะมาแทนที่สีสันอันสดใส นางเคยเห็นทิวทัศน์เช่นนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง แดนมารเต็มไปด้วยสีสันอันน่าดึงดูดใจชวนให้ผู้คนหลงใหล จำนวนผีเสื้อที่ขยับปีกบินในดินแดนแห่งนี้มากกว่าดินแดนใดที่นางเคยพบเห็น กลิ่นหอมของดอกจี้ฮวาฟุ้งกระจาย ราวกับว่าคือกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของดินแดนแห่งนี้ หากหม่านหงมิได้มีความทรงจำอันเลวร้ายกับที่นี่ นางคิดว่าแดนประจิมน่าอยู่กว่าบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามากนัก
สิบวันก่อนหม่านหงเข้าพบเทียนจวินพระองค์ใหม่ ขอร้องให้พระองค์ประทานอนุญาตให้นางกลับไปสะสางเรื่องราวที่ติดค้าง อิ๋งซวงเทียนจวินที่นางไม่เคยพบเห็นดูทั้งหนุ่มแน่นและหล่อเหลา ทั้งยังใจดีกว่าที่นางคิดไว้มาก พระองค์ส่งยิ้มอ่อนโยนให้นาง กล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเสียใจ “เรารู้ดีว่าไม่อาจไต่ถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากปากเจ้าได้ และเรื่องนี้เราเองก็มีส่วนผิด ระฆังสวรรค์ทำให้เราตามเจ้าไปไม่ทัน”
ระฆังสวรรค์สั่นสะเทือน ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องเลือกความมั่นคงของแดนสวรรค์มากกว่าตัวนางอยู่แล้ว หม่านหงพบเจอเรื่องราวเหล่านี้จนชินชา ชะตากรรมของนางซึ่งถูกเขียนในสมุดบันทึกชะตาเพียงไม่กี่คำ มิใช่ว่าเสด็จอาจะสอดมือเข้ามาแก้ไขก็ทำได้ นางฝืนยิ้มอย่างยากลำบาก หากแต่ไม่อยากให้พระบิดาที่อยู่ด้วยทรงเป็นกังวล “หม่านหงมิได้เป็นอันใดมาก ขอเพียงได้รับโอกาสกลับไปที่แห่งนั้นก็เพียงพอแล้วเพคะ”
ยามนี้แดนสวรรค์และแดนมารสามารถไปมาหาสู่กันได้อีกครั้ง เนื่องด้วยเสด็จปู่ได้ทำการแก้ไขศิลาสวรรค์ให้กลับมาตอบรับต่อคำร้องขอของ
สรรพชีวิตในหกภพภูมิ ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่ชาวสวรรค์จะผูกขาดหินวิเศษก้อนนั้น หากว่านั่นคือพระประสงค์ของอดีตเทียนจวิน เหล่าชาวสวรรค์ล้วนแล้วแต่ต้องเคารพและยอมรับให้ได้ อย่างน้อยเรื่องนี้ก็ทำให้ทั้งหกภพภูมิคลายความตึงเครียดลง เทพเซียนได้โอกาสเปิดหูเปิดตาหลังจากตัดขาดกับเหล่าภูตมารปีศาจและมนุษย์มานาน
ปรมาจารย์ไป๋หยางสุ่ย...ไม่สิ อดีตมหาเทพบรรพกาลเสวียนอู่ เขากลับมาเหยียบสวรรค์เก้าชั้นฟ้าด้วยร่างเซียนบำเพ็ญเพื่อเข้าร่วมพิธีแต่งตั้งเทียนจวินพระองค์ใหม่ แม้จะไม่มีตบะของมหาเทพบรรพกาลแล้ว แต่กลับมีบารมีแผ่ไพศาลยิ่งกว่าเทพเซียนในเก้าชั้นฟ้า เพียงแค่ปลายเท้าเหยียบพื้นเบื้องหน้าประตูบูรพา ระฆังสวรรค์พลันดังกังวานไปทั่ว เสียงระฆังกังวานใส มิใช่เสียงเตือนภัยร้ายอย่างที่เคยเป็น หากแต่เต็มไปด้วยความยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง อดีตศิษย์จากเขาหลิงหลงต่างก็มารวมตัวรอหน้าประตูบูรพาเพื่อรอคอยคารวะผู้เป็นอาจารย์หลังจากที่จากกันไปนับสิบหมื่นปี
ในภายหลังเซียนอาลักษณ์ได้บันทึกประวัติศาสตร์เก้าชั้นฟ้าไว้ว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นคือการเริ่มต้นสู่ยุคสมัยใหม่ อดีตเทพบรรพกาลเสวียนอู่ยื่นฎีกาฉบับแรกต่อเทียนจวินพระองค์ใหม่ ขอให้เปิดเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างหกภพภูมิอีกครั้ง
เมื่อมีประตูมารสูงตระหง่านอยู่เบื้องหลัง บรรยากาศคล้ายกับตอนที่นางผ่านเข้ามาทางแดนมนุษย์ หากแต่ในยามนี้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมิใช่ความน้อยเนื้อต่ำใจหรือความอดสูดังเช่นในยามเป็นมนุษย์
เมื่อมีลั่วเซียงคอยจับมือเคียงข้าง ความฮึกเหิมระคนคั่งแค้นพลันลุกโชนในดวงตาคู่งาม แม้ว่าเสด็จอาจะไม่ปรารถนาให้นางเปิดเผยตัวตน หากแต่ด้วยการกลับมาของร่างเทพที่นางเคยมี อย่างน้อยก็เบาใจได้ว่าจะไม่มีมารปีศาจตนใดสามารถทำร้ายนางได้อีกต่อไป
ยามนี้นางมิใช่หมากของเสด็จปู่อีกต่อไปแล้ว นางมิใช่ตุ๊กตากระเบื้องที่ถูกวางไว้ให้ผู้คนชื่นชม เมื่อผ่านค่ำคืนอันทุกข์ระทม ผ่านความมืดมิดที่แม้แสงริบหรี่ก็ไม่ปรากฏให้เห็น นางคือหม่านหงที่มีชีวิตจิตใจ และตอนนี้นางเพียงแค่มาเพื่อรับลูกของนางกลับไปเท่านั้น
“องค์...คุณหนูเจ้าคะ เราต้องไปที่ใดก่อนหรือเจ้าคะ” ลั่วเซียงไม่เคยจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ทิวทัศน์เบื้องหน้าคือเรื่องที่แปลกใหม่สำหรับนาง ยามนี้เกาะแขนหม่านหงแน่น ตัวสั่นระริกราวกับลูกนก
หม่านหงอมยิ้มน้อยๆ เป้าหมายของนางจะเริ่มต้นจากเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์และแดนมาร ‘ถนนแห่งความตาย’ “ไปที่นั่นก่อน” นางชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
“ตะ...แต่ท่านแน่ใจได้อย่างไรเจ้าคะว่าเราจะไม่เป็นอันตราย”
หม่านหงยิ้มอย่างมั่นใจ “เรื่องเลวร้ายกว่านี้ข้ายังผ่านมาได้ นับประสาอะไรกับเรื่องการเดินทางในแดนประจิมเล่า”
ลั่วเซียงมองนายสาวด้วยความสงสัย หากแต่ไม่กล้าไต่ถามหาความ หลังจากหม่านหงกลับมา นางรู้สึกว่าบางอย่างในตัวองค์หญิงคล้ายเปลี่ยนไป ราวกับว่าเพียงแค่หลับไม่กี่ตื่น แววตาขององค์หญิงก็คล้ายมิใช่แววตาไร้เดียงสาอย่างแต่ก่อน และยังมีความกล้าเกินกว่าที่นางจะคิดได้ว่าสตรีตรงหน้าจะมี สิ่งนี้ทำให้ลั่วเซียงทั้งอุ่นใจทั้งไม่แน่ใจ กลัวว่าตัวนางเองจะกลายเป็นภาระจนองค์หญิงลำบาก
ไออุ่นจากฝ่ามือของหม่านหงแตะหลังมือลั่วเซียงเบาๆ นางยิ้มบางให้กับคนสนิท “ไม่ต้องกลัว...ขนนกสีทองของเทียนเฟิ่งอยู่กับข้า จะไม่มีผู้ใดสามารถทำอันตรายเราทั้งสองได้”
ลั่วเซียงพยักหน้า เดินตามการชักจูงของหม่านหง ใบหน้าหมดจดคลายความกังวลลง ได้แต่ภาวนาในใจว่าขอให้พวกนางแคล้วคลาดปลอดภัย
ด้วยเงื่อนไขของเทียนจวิน หม่านหงและลั่วเซียงจะต้องไม่ใช้อิทธิฤทธิ์พร่ำเพรื่อ เพื่อมิให้เหล่ามารบางส่วนที่ยังคงความคั่งแค้นต่อเผ่าสวรรค์คลุ้มคลั่งจนทำร้ายพวกนางได้ นางทั้งสองจำต้องปกปิดตัวตน ทำตัวเหมือนผู้ฝึกเซียนที่ออกจาริกแสวงบุญ อาภรณ์ที่สวมใส่คล้ายกับอาภรณ์ของศิษย์สำนักคุนหลุน สุภาพเรียบง่ายเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งสองใช้เวลากว่าค่อนวันเดินเท้าผ่านเทือกเขาอู่หลงซึ่งเป็นเขตเทือกเขาสลับซับซ้อนที่คล้ายกับเป็นเขตแดนที่แบ่งระหว่างแดนมารกับแดนอื่นๆ เสด็จอาบอกว่าเมื่อลัดผ่านเทือกเขาแห่งนี้ไปได้ จะมีรถม้ารับจ้างพานางไปยังเมืองชิงเหยาซึ่งเป็นเมืองหวงของพวกมาร ระหว่างทางจะผ่านเส้นทางหลักสองสาย สายแรกคือเส้นทางแห่งความตาย อีกสายคือเส้นทางสู่ห้วงฝัน
คอกม้าที่ว่าเป็นโรงเตี๊ยมขนาดกลาง ผู้คนค่อนข้างหนาตาเนื่องจากเผ่าสวรรค์เปิดเส้นทางระหว่างภพภูมิ ไม่จำเป็นต้องสูญสิ้นพลังตบะเพื่อลักลอบเข้าแดนมารอีกต่อไปแล้ว จะว่าไปมีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่สามารถเดินเข้าออกแดนมารได้อย่างอิสรเสรี ทว่าพวกมนุษย์นั้นขี้ขลาดตาขาว จึงไม่ค่อยมีผู้ใดกล้าเหยียบย่ำมายังสถานที่แห่งนี้ หม่านหงแม้จะปลอมตัวในฐานะของศิษย์คุนหลุน แต่นางปลอมตัวมาในฐานะของปีศาจ ดังนั้นแล้วจึงซ่อนเร้นไอเทพ เหลือขนนกสองสามเส้นบนศีรษะเพื่อมิให้ผู้อื่นผิดสังเกต เทพเซียนมารปีศาจมิได้มีอันใดต่างกันนัก พวกเขาล้วนมีรากเหง้ามาจากธรรมชาติดั้งเดิม แต่มีส่วนน้อยที่จะบำเพ็ญมาจากมนุษย์จนสำเร็จเป็นเซียน
เถ้าแก่เจ้าของคอกม้าเป็นชายชราผมเผ้าขาวโพลน รอบกายมีกลิ่นอายมารบางเบา พลังตบะอ่อนด้อยทว่าอายุกลับยืนยาวยิ่งนัก หม่านหงทราบมาว่าเถ้าแก่ตรงหน้าเฝ้าคอกม้ามาหลายหมื่นปีแล้ว
“แม่นางทั้งสองจะไปที่ใดรึ” เถ้าแก่เอ่ยถาม ดวงตาเจนจัดกวาดมองสตรีสองนางผู้มาเยือน
หม่านหงส่งเหรียญเงินบริสุทธิ์เกลี้ยงเกลาให้กับเถ้าแก่เหรียญหนึ่ง “เมืองชิงเหยา”
เถ้าแก่เหลือบมองเหรียญเงินในมือสลับกับนางทั้งสอง ความเชี่ยวชาญทางด้านการค้าทำให้เพียงมองปราดเดียวก็ทราบว่าเหรียญเงินนี้บริสุทธิ์ยิ่งนัก น้ำเสียงพลันอ่อนลงหลายส่วน “ต้นยามเซิน[1] รถม้าคันต่อไปจะออกเดินทาง”
“ขอบคุณ”
“เชิญนั่งรอในโรงเตี๊ยม”
ภายในโรงเตี๊ยมตกแต่งอย่างเรียบง่าย ทว่ากลับอบอุ่นน่าพักผ่อน ตามเสาไม้มีแจกันสูงขนาดเท่าเอวบุรุษตั้งตระหง่าน ดอกไม้สีเหลืองและแดง มองภายนอกคล้ายกับดอกถานฮวา[2] ทว่ากลิ่นกลับหอมจรุงใจเป็นอย่างยิ่ง
“แม่นางทั้งสองท่านจะรับอะไรดี” เสี่ยวเอ้อร์เป็นชายร่างกำยำ รอบกายแผ่กลิ่นอายเย็นชาแต่กลับไม่มีไอมาร ลักษณะคล้ายมนุษย์
หม่านหงเลื่อนสายตาจากใบหน้าของเสี่ยวเอ้อร์ไปยังลั่วเซียง ก่อนจะเลื่อนกลับไปที่เขา “พวกเราไม่ทานเนื้อสัตว์ ข้าต้องการซาลาเปาไส้ถั่วแดงกับชา...ชาอะไรก็ได้”
เสี่ยวเอ้อร์พยักหน้ารับ ลั่วเซียงจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ทว่าหม่านหงยกมือห้ามไว้ คนสนิทของนางคิดจะเช็ดเก้าอี้ให้ นั่นเท่ากับทำตัวมากเรื่องราวกับมิใช่ผู้แสวงบุญน่ะสิ อีกอย่างบุรุษเมื่อครู่มิใช่พวกมาร เขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น ดังนั้นแล้วหม่านหงจึงวางใจเปลาะหนึ่ง จริงอยู่ว่าเมื่ออยู่บนสวรรค์นางไม่จำเป็นต้องกินอะไร ทว่าเมื่อเข้ามายังแดนมารร่างกายกลับอ่อนแอกว่าเดิมมาก อย่างไรก็จำเป็นต้องทำให้ท้องอิ่ม เพื่อมิให้เหนื่อยล้าจนสิ้นสติสัมปชัญญะ
“อาเซียง...อยู่ที่นี่อย่าได้มากพิธีจนผู้อื่นผิดสังเกต”
ลั่วเซียงคอตก พยักหน้ารับอย่างเสียมิได้ “ที่นี่แปลกประหลาดนัก”
หม่านหงส่ายหน้า “ที่ที่เจ้าไม่เคยพบเห็นล้วนแปลกประหลาด”
“แต่เราจะกินอาหารของที่นี่ได้หรือเจ้าคะ”
หม่านหงแตะแขนลั่วเซียงเป็นเชิงปรามมิให้พูดมาก นางเคยอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้ในฐานะมนุษย์ อีกทั้งเสี่ยวเอ้อร์ก็ยังเป็นมนุษย์ เรื่องอาหารการกินสามารถวางใจได้
เมื่อเสด็จอารับรองว่าสถานที่แห่งนี้ไว้ใจได้ นางก็จะไม่สงสัยอะไรอีก รอเพียงครึ่งถ้วยชา[3] ซาลาเปาร้อนๆ ก็ถูกวางอยู่ตรงหน้า ลั่วเซียงไม่ได้กินซาลาเปามานานมาก ครั้นเห็นก้อนขาวๆ ร้อนๆ ตรงหน้าก็เบิกตาโพลงด้วยความตื่นเต้น ทว่ากลับไม่กล้าหยิบมันขึ้นมาเพราะหม่านหงยังไม่ได้แตะต้อง
หม่านหงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นางใช้ตะเกียบคีบซาลาเปาขึ้นมาเป่า ซาลาเปาร้อนเช่นนี้ใช้มือก็จะร้อนลวกเสียเปล่า ลั่วเซียงเห็นเช่นนั้นก็ทำตามนาง หนึ่งนำหนึ่งตาม ในที่สุดก็แบ่งซาลาเปากินจนหมด หลังจากดื่มชาล้างปากเถ้าแก่ก็ให้คนมาเรียกพวกนางไปขึ้นรถม้า
ดวงอาทิตย์ในแดนมารแม้จะดวงเล็กทว่าก็ยังเป็นดวงเดียวกับทั้งหกภพภูมิ แม้สภาพที่เห็นจะแตกต่างกระนั้นแล้วก็ยังสามารถใช้บอกเวลายามฟ้าสว่างได้อย่างแม่นยำ รถม้าเคลื่อนออกจากโรงเตี๊ยม มุ่งไปยังเมืองชิงเหยา
[1] 15.00-16.59 น.
[2] ดอกไม้ชนิดหนึ่ง บานเฉพาะตอนกลางคืน ลักษณะคล้ายดอกแก้วมังกร
[3] หนึ่งถ้วยชาประมาณ 5-10 นาที