ตอนที่ 8 ทวงคืน (4)
หม่านหงเอนกายลงบนเตียง ลั่วเซียงช่วยห่มผ้าให้ แม้เนตรหงส์จะปิดลง ทว่าความจริงแล้วนางเพียงพักสายตาเท่านั้น เมื่อปิดเปลือกตาลงสัมผัสทางกายจึงชัดเจนขึ้น รอบโรงเตี๊ยมตัดอาลัยล้วนมีเสียงอึกทึกครึกโครมตลอดเวลา ไม่อาจหาความสงบได้ กลิ่นอายมารปีศาจยังเข้มข้นจนไม่อาจแยกแยะ สถานที่แห่งนี้แม้จะมีหมู่ตานโลหิตโปรยปรายหนาแน่น ทว่ากลับมิได้ลดทอนกลิ่นอายมารเหล่านั้นได้อย่างหมดจด เป็นไปได้ว่าสถานที่ที่คนผู้นั้นอยู่ต้องเป็นพื้นที่ห่างไกลจากผู้คนพอสมควร และยังเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ไม่มีผู้ใดกล้าย่ำกรายเข้าไป แต่ก็มิได้ห่างไกลจนขาดแคลนเสบียงอาหาร อย่างน้อยก็ต้องสามารถสรรหาอาหารของมนุษย์ได้อย่างไม่มีขาด
คิดได้เช่นนั้นนางพลันลืมตาตื่น เห็นว่าลั่วเซียงที่ปากบอกว่าจะนั่งเฝ้านาง แท้จริงแล้วกลับเหนื่อยจนผล็อยหลับไปตั้งแต่ยามที่ศีรษะซบบนแขน หม่านหงหยัดกายขึ้น ใช้มนตร์นิทราให้อีกฝ่ายหลับสนิทกว่าเดิม จากนั้นจึงลงจากเตียงแล้วเกล้ามวยผมขึ้นสูง เสกผ้าแพรผืนหนึ่งขึ้นมาปิดบังใบหน้า ก่อนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า นางอยากสืบอะไรบางอย่าง
ร่างเล็กบอบบางออกมาจากห้องพัก นางเดินผ่านผู้คนในโรงเตี๊ยม พวกเขามิได้ใส่ใจนางเท่าใดนัก เพราะโรงเตี๊ยมแห่งนี้มีไม่น้อยที่เป็นผู้ฝึกเซียน หม่านหงส่งเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งให้กับเสี่ยวเอ้อร์ “ข้าอยากทราบว่าปกติแล้วพวกเจ้าไปหาเนื้อสัตว์สำหรับทำให้ลูกค้าที่เป็นมนุษย์จากที่ใดกัน”
เสี่ยวเอ้อร์รีบเก็บเหรียญทองแดง กระซิบข้างหูนาง “ออกจากโรงเตี๊ยมให้ไปทางขวา ห่างจากที่นี่ไปราวๆ สองลี้ขอรับ แต่ว่าตลาดจะปิดอีกครึ่งชั่วยาม แม่นางต้องรีบหน่อยนะขอรับ”
“ขอบใจ”
หม่านหงมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เสี่ยวเอ้อร์บอก ผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชาก็ถึงตลาดส่งเนื้อสัตว์อย่างที่เสี่ยวเอ้อร์บอก กลิ่นคาวคละคลุ้งจนนางพะอืดพะอม เคราะห์ดีที่สถานที่แห่งนี้ยังมีหมู่ตานโลหิตโปรยปราย ช่วยบรรเทาความน่าสะอิดสะเอียนนั้นไปบ้าง นางเดินวนอยู่สองสามรอบ พลันเห็นร้านหนึ่งที่เปิดเขียงหมู ในใจจึงบังเกิดความหวังขึ้นมาวูบหนึ่ง
“เถ้าแก่...ไม่ทราบว่านอกจากร้านค้าแล้ว ช่วงนี้มีผู้ใดมาซื้อเนื้อหมูจากท่านเป็นประจำหรือไม่” นางวางเหรียญเงินเหรียญหนึ่งที่แผงหมู บังคับเสียงไม่ให้สั่นไปกับสภาพของหัวหมูตรงหน้า
เถ้าแก่รับเหรียญเงินจากนั้น ใช้มีดคมกริบสับขาหมูเพื่อกลบเสียงพูด “ทราบมาว่านายแห่งตำหนักบูรพาต้องการลิ้มลองรสชาติใหม่ ข้าพูดมากไม่ได้ แต่หลายสิบวันมานี้พวกเขามิได้มาที่นี่อีกแล้ว เพียงแต่บอกว่าอย่าได้เอาเรื่องนี้ไปบอกผู้ใด”
นางเลิกคิ้ว ดวงตาคู่งามเพ่งมองใบหน้าของเถ้าแก่เขียงหมู เอ่ยเสียงเย็น “แล้วเพราะเหตุใดจึงบอกข้า”
“ก่อนหน้านี้มีชายหนุ่มผู้หนึ่งมาหาข้า บอกว่าหากมีสตรีมาถามเรื่องคนซื้อขายเนื้อหมู ให้บอกเล่าตามตรง แต่อย่ากระโตกกระตาก แม่นาง...ขาหมูหนึ่งชั่งใช่หรือไม่” เขาเอ่ยขึ้นเมื่อมีคนเดินผ่านหลังนางไป
หม่านหงเก็บความสงสัยไว้ “อืม...ไม่ต้องทอน”
นางรับห่อขาหมูมาจากเถ้าแก่เขียงหมู พลันขบคิดว่าผู้ใดช่วยเหลือนางในครั้งนี้ แต่คำว่านายแห่งบูรพานั้น...นายแห่งตำหนักบูรพาหรือ
“แม่นาง สนใจนิทานของข้าหรือไม่”
“แม่นาง ช่วยอุดหนุนเราสองศิษย์อาจารย์ด้วยเถิด”
เสียงนั้นดึงนางให้ตื่นจากภวังค์ พบว่านางเดินออกจากตลาดของสดมาไกลแล้ว ยามนี้อยู่ในตลาดขายของที่มีผู้คนพลุกพล่าน ทว่ากลับมองเห็นสองศิษย์อาจารย์ที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนได้อย่างชัดเจน ราวกับว่ามีอะไรดึงดูดใจนางอย่างไรอย่างนั้น “อาจารย์ข้าขายตำราชุนกง[1] ไปหมดแล้ว เหลือแต่ตำราตำหนักบูรพา สนใจหรือไม่”
เด็กน้อยหน้าตาน่ารักเรียกนาง นัยน์ตาคู่นั้นดึงดูดใจนางเป็นอย่างยิ่ง พานให้คิดถึงทารกตัวน้อยที่นางให้กำเนิดจนหัวตาของนางร้อนวาบ ไม่รู้ว่าลูกของนางจะหน้าตาน่ารักเช่นนี้หรือไม่
นางเห็นตำราในมือของชายหนุ่มที่ถูกงอบปิดไว้ พลันคิดถึงชายหนุ่มอีกคนที่ทำให้นางเจ็บแค้นมาจนถึงป่านนี้ ทว่ากลิ่นอายที่แตกต่างกันนั้นทำให้นางทราบว่าอีกฝ่ายเป็นคนละคนกัน หม่านหงหยิบหนังสือที่มีหน้าปกเขียนไว้ว่า ตำหนักบูรพา คล้ายกับถูกชื่อนั้นดึงดูดจนตกสู่ห้วงภวังค์ เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังมิได้จ่ายเงินกลับพบว่าทั้งสองคนนั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงแต่กลิ่นอายประหลาดอ่อนจางแผ่ออกมาจากหน้าปกหนังสือเล่มนี้
หม่านหงสูดดมกลิ่นหนังสือ ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย “กลิ่นนี้...”
เป็นกลิ่นอายของเทพเซียน ทว่าก็ยังมีอีกกลิ่นหนึ่งที่นางคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง เป็นกลิ่นที่นางไม่มีวันลืมไม่ว่าจะผ่านไปกี่ร้อยกี่พันปี
นางหามุมหนึ่งเพื่อหยุดพัก ท่ามกลางแสงรำไรของช่วงเวลาแห่งสายัณห์ มืออันสั่นเทาค่อยๆ เปิดหนังสือทีละหน้า
ภาพเกี้ยวเจ้าสาวหยุดลมหายใจของนางในทันที ใบไม้พัดปลิวกรีดผ่านกระแสลม ข้าวของมากมายวางกองตรงหน้าเกี้ยวเจ้าสาว ปรากฏร่างของสตรีในชุดแดงนางหนึ่งนั่งนิ่งอย่างโดดเดี่ยว ใต้ภาพเขียนด้วยตัวอักษรประณีตบรรจง
ซิ่งแดงเย้า เขย่าครวญ ชวนใจสั่น
เหมยแดงหวั่น ซิ่งแดงไหว ใจหลีกหนี
หมู่ตานแดง แฝงกลิ่นอาย ไร้ชีวี
บัวแดงคลี่ บานแย้ม แกมอาลัย
เยียน
เยียน...
มือของนางสั่นเทา ไม่อาจบังคับจิตใจที่สับสนสั่นไหวได้
นายแห่งตำหนักบูรพา
หม่านหงมองหาสองศิษย์อาจารย์เมื่อครู่ แม่จะทราบดีแก่ใจว่าบัดนี้พวกเขาไม่อยู่แล้ว ทว่าเพราะเหตุใดสองคนนั้นถึงมอบของสิ่งนี้ให้กับนางด้วยเล่า นางพยายามควบคุมลมหายใจ ใช้เสาไม้เพื่อเป็นหลักให้กับร่างที่ไร้เรี่ยวแรงชั่วขณะ มืออันสั่นเทาเปิดหน้าต่อไป ทว่ากลับพบแต่เพียงหน้าว่างเปล่า
“พี่ชาย ท่านอย่าเพิ่งไป” นางร้องเรียกชายหนุ่มคนหนึ่ง
เขาหันกลับมาด้วยใบหน้าฉงน “มีอะไรหรือแม่นาง”
“ตำหนักบูรพาหมายถึงที่ใดหรือ”
ชายหนุ่มคนนั้นหัวเราะราวกับเรื่องที่นางถามเป็นเรื่องที่ตลกขบขัน ครั้นเห็นใบหน้าของนางซีดเผือดเขาจึงสำรวมท่าที “ใครๆ ต่างก็ทราบว่าจักรพรรดิของเราประทับอยู่ที่ตำหนักบูรพา อา...เจ้าคงเพิ่งมาเหยียบที่นี่สินะ ทางนั้น” เขาชี้ไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ สูงขึ้นไปเหนือเมืองชิงเหยามีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งโอบล้อมไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ ราวกับปราการธรรมชาติที่บดบังสายตาของผู้คนเพื่อมิให้โดดเด่นจนเกินไป “ในแดนมารมีตำหนักบูรพาแห่งเดียว ก็คือที่นั่น” ชายหนุ่มถอนหายใจ “น่าเสียดายนักที่เจ้าสาวของเขากลับถูกผู้อื่นชิงตัวไปเมื่อปีก่อน มิเช่นนั้นแล้วพวกเราคงได้เห็นหน้าชายาของเขาแล้ว”
กว่าจะเค้นเสียงได้ชายหนุ่มคนนั้นก็ขอตัวจากไปไกลแล้ว หม่านหงทรุดลงกับพื้น ดวงตาไร้ประกายราวกับคนตาย
ตำหนักบูรพา...เยียน...เยียนจิ่ง
หม่านหงแค่นหัวเราะ นางเงยหน้ามองฟ้า ปล่อยให้กลีบหมู่ตานโลหิตกระทบใบหน้า สัมผัสแผ่วเบาปัดป่ายผิวเนียน ทว่ามิได้ร่วงลงสู่พื้นดิน กลับถูกหยดน้ำใสดึงรั้งมันไว้บนดวงหน้าเผือดสี ดวงตาแดงเรื่อมีน้ำตาคลอหน่วย ปลายจมูกปวดแสบปวดร้อน ทว่ากลับพยายามหักห้ามมิให้หยาดน้ำใสไหลออกมาอย่างสุดความสามารถ
ประเสริฐนัก...เพียงเพราะต้องการแก้แค้นเสด็จปู่ของนาง เขาถึงกับยอมปิดบังตัวตน ช่วงชิงเจ้าสาวจากตำแหน่งจักรพรรดิของตน ปล่อยให้คนภายนอกมองว่าเขาไร้ความสามารถจนถูกผู้อื่นช่วงชิงเจ้าสาว แท้จริงแล้วเพียงเพราะไม่อยากยกย่องนางเป็นชายา ถึงกับทำให้นางตาบอด ข่มเหงจนนางรู้สึกต่ำต้อย ย่ำยีความรู้สึกนางราวกับมดไร้ค่า
ตัวของนางสั่นเทา มือทั้งสองข้างประเดี๋ยวกำแน่น ประเดี๋ยวคลายออก หม่านหงสะอื้นจนตัวโยน ท้ายที่สุดก็ทนไม่ไหว นางซบใบหน้าลงกับเข่า ปล่อยให้หยดน้ำตาไหลซึมอาภรณ์สีหม่นจนเปียกชื้น
นางน่าจะสำนึกได้ตั้งแต่แรก ในแดนมารนี้จะมีผู้ใดบังอาจหมิ่นแคลนศักดิ์ศรีของจักรพรรดิมารจนกล้าช่วงชิงว่าที่ชายาของเขากันเล่า
พี่สาวของเขาก็คงเป็นสตรีนางนั้น ในอดีตมีคำร่ำลือระหว่างเสด็จปู่กับจอมมารหนฺวี่อวี้ แต่เดิมนางคิดว่ามิใช่เรื่องจริง นางคิดว่าในวัยฉกรรจ์เสด็จปู่ของนางอาจเคยมีสตรีมากมายก่อนที่จะอภิเษกกับเสด็จย่า แต่ไม่คาดคิดว่าแท้จริงแล้วข่าวลือกลับมีมูล และตอนนี้คนผู้นั้นก็เอาคืนเสด็จปู่ของนางด้วยการข่มเหงนางเช่นกัน
ความหวังเพียงริบหรี่กลับถูกมือของคนผู้หนึ่งขยี้จนมอดดับ แท้จริงแล้วนางกลับคิดผิดที่ปล่อยให้เด็กคนนั้นคลอดออกมา ยามนี้เมื่อคิดจะทวงลูกคืน นางก็ไม่แน่ใจแล้วว่าจะทวงคืนได้
หม่านหงรอจนฟ้ามืดค่อยกลับไปยังโรงเตี๊ยมตัดอาลัย แม้ท้องของนางจะบีบรัดเพราะความหิว ทว่ากลับไม่มีเรี่ยวแรงจะกินอะไรเลยแม้แต่น้อย นางดีดนิ้วเบาๆ เทียนในห้องพลันสว่างไสว ทว่าในห้องกลับร้างไร้ผู้คน
หัวใจของนางกระตุกวูบ ไม่มีทางที่ลั่วเซียงจะออกไปตามหานาง เพราะมนตร์นิทราที่นางใช้หากไม่ปลุกก็ต้องรอสิบสองชั่วยามกว่าจะฟื้นคืนมา นางเดินไปที่เตียงนอน พลันพบกระดาษสีขาวพับวางอยู่ ในใจภาวนาขอให้สิ่งที่นางคิดไม่เป็นจริง ทว่าข้อความที่ได้อ่านกลับทำลายความหวังของนางเสียสิ้น
‘ยินดีต้อนรับสู่แดนประจิม เยียนจิ่งขอเชิญแม่นางเยี่ยมเยียนตำหนักบูรพา’
หม่านหงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ประเสริฐนัก! เพียงแค่นางย่างกรายเข้าสู่แดนประจิม คนผู้นั้นก็ทราบแล้ว
นั่นสินะ...กระทั่งผืนดินและต้นหญ้ายังเป็นของเขา นับประสาอะไรกับเรื่องนี้
เป็นนางที่ผิดพลาดเอง ไม่เคยคิดมาก่อนว่าบุรุษสารเลวนั่นจะเป็นถึงจักรพรรดิมาร ไม่สิ...นางคิดไม่ถึงว่าจักรพรรดิมารจะยอมทิ้งศักดิ์ศรีเพียงเพื่อจะแก้แค้นนาง ยอมให้ผู้อื่นสมเพชเวทนาเพราะว่าที่ชายาถูกช่วงชิงไป แต่เดิมนางคิดใช้มุกเซียนเพื่อชักจูงเขาคนนั้น คิดไม่ถึงว่าจะได้ผลดีเกินคาด
บัดนี้กลายเป็นนางที่ถูกผู้อื่นชักจูงราวกับหุ่นเชิด ไม่ต่างกับตอนที่เป็นมนุษย์เลยแม้แต่น้อย
หม่านหงกล้ำกลืนความคั่งแค้นในอก ที่นางเป็นห่วงคือลั่วเซียงที่ไม่ประสีประสา หากว่าแม้แต่ลั่วเซียงเองยังถูกผู้อื่นข่มเหงรังแก เห็นทีว่านางและเขาคงไม่สามารถอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้
หม่านหงมือแน่น เปลวเพลิงในมือแผดเผาจดหมายจนเป็นเถ้าถ่าน หันหลังเดินออกจากประตูห้องพัก มุ่งหน้าไปยังตำหนักบูรพา
ในเมื่อเขากล้าเชิญนาง นางเองก็กล้าเหยียบสถานที่แห่งนั้น อยากรู้นักว่าคนสารเลวผู้นั้นต้องการสิ่งใดกันแน่
“อาจารย์ ท่านชี้ทางนางขนาดนั้น มิใช่ว่าส่งให้นางไปรับความทุกข์หรือ” บนหลังคาโรงเตี๊ยม สองศิษย์อาจารย์ทอดสายตามองแผ่นหลังบอบบางของหม่านหงที่มุ่งไปยังตำหนักบูรพา
นัยน์ตาของอี้หลิงแฝงประกายล้ำลึก มิได้เห็นใจหรือเคียดแค้นแทนหม่านหงแต่อย่างใด เห็นนางทุกข์ระทมก็ดี มีความสุขก็ดี นั่นล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเขา เพียงแค่คิดว่าอดีตเทียนจวินปรารถนาให้นางมาแทนที่หงหลิง เขาก็ไม่สามารถทนมองหน้าสตรีนางนั้นได้นานนัก สำหรับเทพบรรพกาลอย่างเขา สิ่งที่มอบให้หม่านหงถือเป็นความปรานีอย่างถึงที่สุด หากว่าหลิงจื่อไม่ร้องขอให้เขาช่วยเหลือนางเท่าที่จำเป็น เห็นทีว่าเขาคงมองนางห่างๆ อย่างที่ผ่านมา
“ข้าเพียงไม่อยากให้ซาลาเปาน้อยของเจ้าต้องขาดมารดา แต่หากอาของเจ้ายังทึมทื่อเป็นก้อนหินไร้อารมณ์ เช่นนั้นก็แล้วแต่โชคชะตาเถิด”
ครั้นพูดถึงซาลาเปาน้อยเสี่ยวหยวนก็ดวงตาแดงเรื่อ กระตุกแขนเสื้อพลางช้อนสายตาน่าเอ็นดูให้อี้หลิง “อาจารย์ เราจะจากซาลาเปาน้อยไปนานขนาดไหน”
อี้หลิงหัวเราะในลำคอ “จนกว่าบิดาของเขาจะคิดเป็นกระมัง”
[1] วังวสันต์ หรือตำราภาพลามกอนาจาร