ทันทีที่มาถึงหน้าบ้าน เซี่ยเจียวหงได้ยินเสียงที่ของลูกน้อย ทั้งสองคนดังมาอย่างตื่นเต้นและดีใจ
“แม่ แม่กลับมาแล้ว มีหมูป่ามาด้วย”
ซึ่งเสียงนี้ไม่ใช่เสียงใครที่ไหน แต่เป็นเสียงของซืออี้เจิน หรือว่าเจินเจินนั่นเอง
“หา! อาหงกลับมาพร้อมหมูป่า”
นางหลิงมู่แทบล้มทั้งยืนเมื่อเห็นสิ่งที่ลูกสะใภ้นำกลับมาพร้อมกับเพื่อนของเธออย่างบ้านกวง
“ฉันกลับมาแล้วค่ะแม่ แม่คะ ในกระสอบมีหน่อไม้และมันป่าด้วยนะคะ แม่แบ่งให้บ้านกวงด้วย พี่สะใภ้ท้องใกล้คลอดแล้ว ต้องบำรุงให้มาก ๆ จริงสิ มีปลาและกุ้งด้วยนะ”
เซี่ยเจียวหงชี้ไปที่กระสอบทั้งสามใบที่อยู่รวมกับหมูป่า ส่วนตัวเองล้มลงไปนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง ไม่ใช่เพราะเหนื่อยอะไรหรอก แต่เหนื่อยกับร่างตัวเองนี่แหละ ตอนแบกหมูป่าทั้งสองตัว ไม่เป็นอะไร แต่สองขากลับอ่อนล้าเมื่อเดินลงจากเขามาถึงบ้าน เฮ้อ...
นางหลิงมู่พยักหน้ารับก่อนจะไหว้วานกวงฮ่าวจื่อยกกระสอบ ทั้งสามออกมาเทกองรวมกัน เมื่อเห็นสิ่งของที่อัดแน่นเธอแทบจะ หงายหลังเป็นลมอีกครั้ง นี่ลูกสะใภ้เธอเอามาหมดป่าหรือยัง
“อาหง อย่าบอกนะว่าเข้าป่าชั้นในมา”
เธอหันมาถามลูกสะใภ้ตาเขียวด้วยความเป็นห่วง ทำไมลูกสะใภ้เธอที่เปลี่ยนไปแต่กลับไม่ทิ้งความดื้อด้านเสีย
“เปล่านะแม่ ฉันไปแค่ป่าชั้นกลางยังไปไม่ถึงชั้นใน แค่ชั้นกลางฉันก็เก็บอาหารที่มีเต็มป่าไม่หมดแล้ว อยากจะเข้าป่าชั้นในเหมือนกัน เผื่อว่าจะเจอสมุนไพรหายาก จะได้เอามาขาย”
เซี่ยเจียวหงรีบส่ายหน้าปฏิเสธ แม่สามีพอดุก็เอาเรื่องเหมือนกันนะเนี่ย
“อย่าดุสะใภ้ซือเลย ฉันว่าหล่อนควรจะมานั่งปอกหน่อไม้กับฉันดีกว่า เดี๋ยวจะมีคนแล่เนื้อมาช่วยแล่หมูให้ ชาวบ้านต่างได้ข่าวกันแล้วล่ะว่าสะใภ้ซือล่าหมูป่ามาได้”
นางกวงหลินรีบห้ามทัพระหว่างนางหลิงมู่กับสะใภ้ เธอคิดว่าการที่เซี่ยเจียวหงยอมเสี่ยงอันตรายเข้าป่าชั้นกลางเพราะต้องการให้ แม่สามีและลูกทั้งสองได้มีอาหารดี ๆ กินกัน
นางหลิงมู่พยักหน้าให้กับเพื่อนก่อนจะเข้าไปในครัว หยิบอุปกรณ์มาช่วยกันปอกหน่อไม้โดยมีสะใภ้กวงมาช่วยอีกแรง ส่วนทางด้านกวงฮ่าวจื่อนั้นเขารีบวิ่งไปตามคนแล่เนื้อทันทีที่มาถึงบ้าน
ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างกระจายข่าวกันว่าเซี่ยเจียวหงล่าหมูป่า ตัวใหญ่หนักหลายร้อยชั่งมาได้ ต่างก็แตกตื่น และเตรียมจะมาขอซื้อ เนื้อหมูป่าเพื่อนำกลับไปกิน ตอนนี้นอกจากเนื้อหมูที่มีขายทั่วไป หมูป่าแทบจะไม่มีใครนำมาขายอีกเลย ต่อให้มีก็นาน ๆ ครั้ง และไม่นานบ้านเซี่ยก็ได้รับข่าวนี้เช่นกัน
“พี่โป๋ซวน ฉันได้ยินชาวบ้านพูดกันว่านังเจียวหงล่าหมูป่า ตัวใหญ่มาได้สองตัว ฉันว่าเราไปแบ่งเนื้อหมูกันดีไหม”
นางหานหยินรีบวิ่งเข้ามาบอกสามี
“หล่อนว่าอะไรนะ นังเจียวหงนั่นหรือที่ล่าหมูป่าได้ ฉันไม่เชื่อหรอก น้ำหน้าอย่างนั้นแค่เก็บกวาดบ้านมันยังไม่ทำ”
ย่าเซี่ยหัวเราะออกมาเล็กน้อยและไม่เชื่อในข่าวที่ลูกสะใภ้ นำมาบอก อีกทั้งตัวของเซี่ยเจียวหงเองขี้เกียจยิ่งกว่าอะไร แค่เรื่อง งานบ้านยังไม่ยอมทำ แล้วคิดหรือว่าเซี่ยเจียวหงจะขึ้นเขาล่าสัตว์ป่าที่แสนจะอันตรายนั่นได้จริง ๆ
“นั่นสิ คุณอย่ามาพูดเล่นเรื่องนี้เลย นังลูกตัวดีไม่โผล่มาก่อกวนพวกเราก็ดีแล้ว”
เซี่ยโป๋ซวนเห็นด้วยกับแม่ของตน เขาเองไม่คิดว่าลูกสาวคนโตจะขยันและมีความสามารถเข้าป่าหาอาหารได้
“แกก็พูดไป นังเจียวหงไม่มาบ้านเราก็ขาดรายได้ไปเยอะนะ ตั้งแต่มันสลบไปที่ลำธาร แล้วคนเป็นพ่ออย่างแกไปดูลูกบ้างหรือยัง”
ย่าเซี่ยหันมาถามลูกชาย หากหลานตัวดีไม่โผล่หน้ามา บ้านเซี่ยของเธอย่อมต้องขาดรายได้ หลานสาวอีกคนกำลังเรียนมหาวิทยาลัย ต่างมณฑล ต้องใช้เงินอีกมาก
ส่วนหลานชายก็เรียนมัธยมปลายแล้ว อีกหน่อยก็ต้องเข้ามหาวิทยาลัยตามพี่สาว คราวนี้ภาระหน้าที่หาเงินย่อมต้องเป็นทุกคน ในบ้าน ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาเธอได้เงินจากเซี่ยเจียวหงไม่น้อย หากขาดรายได้ตรงนี้ไปคงเสียดายแย่
“เดี๋ยวก็คงมาแหละแม่ อย่าเรียกหาเลย ต่อให้จะได้เงินมา แต่ต้องกินข้าวร่วมโต๊ะผมก็ไม่อยากได้หรอก ส่วนคุณก็ลองแอบไปดูที่บ้านซือสิว่าอย่างไร ถ้ามีหมูป่าจริงรีบมาบอก ฉันจะไปจัดการเอง มีเนื้อแต่ไม่แบ่งครอบครัวเดิมใช้ได้ที่ไหน”
เซี่ยโป๋ซวนตอบกลับแม่ของตนก่อนจะหันไปสั่งความกับภรรยาอีกครั้ง นางหานหยินเมื่อได้รับคำสั่งจากสามีเธอจึงรีบพยักหน้าและวิ่งไปที่บ้านซืออย่างรวดเร็ว เพื่อไปสืบข่าวเรื่องหมูป่า
ส่วนทางด้านบ้านซือตอนนี้คนแล่เนื้อที่กวงฮ่าวจื่อไปตามได้มาพร้อมกันแล้วสามคน เพราะหมูป่าสองตัวที่ใหญ่มากแล่คนเดียวคงไม่ทันและไม่ไหว เซี่ยเจียวหงเห็นด้วยจึงไม่ค้านอะไรนัก เธอจึงทำเพียงยืนมองทั้งสามคนแล่เนื้อต่อไป
ชาวบ้านที่ได้ยินข่าวว่าบ้านซือจะขายเนื้อหมูป่าจึงได้มาต่อคิวเพื่อแลกซื้อ ส่วนบ้านไหนที่ไม่มีเงิน เซี่ยเจียวหงยังอนุญาตให้นำข้าวสารหรือธัญพืชมาแลกได้ แต่มูลค่าต้องเท่ากับเนื้อหมูป่าที่เอาไป
การซื้อขายเป็นไปอย่างราบรื่นหัวหน้าหมู่บ้านก็ยิ้มกว้างที่เห็นบ้านซือไม่นำไปขายในตำบลแต่กลับแบ่งขายให้ชาวบ้านด้วยกัน เมื่อคนแล่เนื้อแล่เสร็จแล้ว เซี่ยเจียวหงจึงแบ่งเนื้อให้คนละห้าชั่ง ทำให้ แต่ละคนไม่กล้ารับเพราะมันมากเกินไป
“รับไปเถอะค่ะ พวกลุงเองก็มีครอบครัว ทำงานทุกอย่างต้องได้ค่าตอบแทนสิ”
“ขอบใจมากนะสะใภ้ซือ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นคนแล่เนื้อทุกคนจึงรับชิ้นเนื้อที่เซี่ยเจียวหง ให้มาด้วยรอยยิ้มก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน
ตอนนี้จึงเหลือชาวบ้านไม่มากที่ต่อคิวรอซื้อ เซี่ยเจียวหงยังคงทำหน้าที่เก็บเงินโดยมีกวงฮ่าวจื่อช่วยหยิบ ชิ้นเนื้อส่งให้ตามจำนวนที่ชาวบ้านแต่ละคนขอซื้อ จนคนสุดท้ายผ่านพ้นไป และเหลือเนื้อไม่มาก
หมูป่าหนึ่งตัวจากที่เซี่ยเจียวหงคำนวณน่าจะอยู่ที่ร้อยห้าสิบ ถึงร้อยแปดสิบกิโล ซึ่งหมายความว่าหากนับเป็นชั่งของที่นี่สองตัว มีน้ำหนักเกือบแปดร้อยชั่ง และเนื้อหมูที่มีตอนนี้จึงเหลือไม่ถึงสามสิบชั่ง ก่อนที่ผู้นำหมู่บ้านจะกลับไปเธอจึงยื่นให้เขาห้าชั่งด้วยเหมือนกัน
“ไม่ต้องให้ฉันหรอกสะใภ้ซือ เมียฉันซื้อไปแล้ว”
ผู้นำหมู่บ้านรีบปฏิเสธ เพราะรู้ว่าบ้านซือนั้นลำบาก การที่จะหาหมูป่ามาได้นั้นลำบากแค่ไหน ตัวเขาเองเป็นถึงผู้นำหมู่บ้านจะมาเบียดเบียนลูกบ้านได้อย่างไร
“รับไปเถอะลุงผู้นำ แค่นี้บ้านซือและบ้านกวงแบ่งกันก็เหลือ มากพอแล้ว จริงสิ เอาปลาไปด้วยสักสองตัว”
พูดจบแม่สามีอย่างนางหลิงมู่จึงรับนำปลาผูกเถาวัลย์มาให้อีกสองตัว
“ผู้นำรับไปเถอะ เป็นน้ำใจของอาหงและบ้านซือ”
นางหลิงมู่ส่งปลาให้ทั้งสองตัว ก่อนจะเดินกลับมาช่วยจัดการเนื้อหมูและกระดูกหมูที่เหลือ บางส่วนก็แจกจ่ายให้กับคนที่ซื้อไปด้วย
เมื่อผู้นำหมู่บ้านปฏิเสธไม่ได้จึงรับมาและเอ่ยขอบคุณก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับภรรยา
จากนั้นเซี่ยเจียวหงจึงนั่งนับเงินที่ได้มา และมีภรรยากวงฮ่าวจื่อยื่นกระดาษที่จดจำนวนหมูป่าที่ขายได้ส่งให้
“นี่คือจำนวนที่ฉันจดไว้ว่าขายเนื้อไปกี่ชั่ง รวมแล้วเจ็ดร้อยชั่งพอดี”
“หืม ขายได้เยอะขนาดนั้นเลยหรือ”
เซี่ยเจียวหงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าจะขายได้มากขนาดนี้ ถ้าหากขายเป็นเงินทั้งหมดก็สามพันห้าร้อยหยวน แต่มีชาวบ้านเยอะเหมือนกันที่นำข้าวสารและธัญพืชมาแลก
“อืม ส่วนนี้คือชาวบ้านที่เอาข้าวสารและธัญพืชมาแลก”
เผิงโล่อิ่งส่งกระดาษที่ฉีกไว้ยื่นให้อีกครั้ง และอธิบายว่ามีใครเอาอาหารมาแลกบ้าง เซี่ยเจียวหงจึงนั่งนับเงิน และไม่คิดว่าจะได้เงินมากขนาดนี้ แสดงว่าเธอมีเงินสร้างบ้านแล้ว
“แม่ อาฝาน เจินเจิน เรามีเงินสร้างบ้านแล้ว”