แค่รู้ราคาเซี่ยเจียวหงก็กระโดดลงมาจากต้นไม้ ดีหน่อยที่ตอนนี้น้ำหนักเธอลดลงไปบ้าง และคุ้นชินกับร่างนี้เลยทำให้รู้ว่าต้องทำอย่างไร นางหลิงมู่เหมือนจะรู้ความคิดของลูกสะใภ้จึงร้องห้ามเสียงหลง
“อย่าอาหง มันอันตรายเกินไป”
“แม่เชื่อใจฉันนะ ฉันไม่เป็นอะไร พี่ใหญ่กวงรีบหาทางหลบไปตามเถ้าแก่ภัตตาคาร และนำคนมาที่นี่ ไปเร็ว!”
เซี่ยเจียวหงตั้งใจจะล่อหมีตัวใหญ่ไปทางอื่นเพื่อจะให้กวงฮ่าวจื่อหลบไปตามเถ้าแก่และคนของเขาเพื่อมารับซื้อหมี
เธอกวาดสายตามองเมื่อเห็นว่ากวงฮ่าวจื่อจากไปแล้ว เธอจึงดึงมีดออกมา หมีตัวนี้เมื่อเห็นเหยื่อจึงรีบพุ่งเข้าและรีบใช้อุ้มมือตะปบเหยื่อเมื่อสัญชาตญาณบอกว่าอันตรายอยู่ตรงหน้า
เซี่ยเจียวหงจึงพุ่งเข้าใส่และกระโดดใช้เท้าเตะเข้ากลางลำตัว สุดแรง ใครจะคิดว่าหมีจะกระเด็นไปไกล และฟุบลงคล้ายสิ้นใจ แต่เซี่ยเจียวหงยังไม่เชื่อว่าเพียงเท้าเดียวจะสามารถทำให้หมีตัวใหญ่ ที่หนักหลายร้อยชั่งล้มลงไปกองได้ง่าย ๆ เธอจึงจับมีดแน่นและ พุ่งแทงเข้าจุดตายทันที เมื่อเห็นว่าหมีหมดลมหายใจจริง ๆ เธอจึงนั่ง อย่างหมดแรง
“ต่อให้มีแรงและกำลังมากกว่าคนทั่วไป แต่ก็เหนื่อยเหมือนกันนะ เมื่อไรจะผอมเสียที รำคาญจะแย่แล้ว”
เซี่ยเจียวหงนั่งหอบข้างหมีตัวใหญ่ได้ไม่นานกลับได้ยินเสียงคำรามของเสือลั่นป่า
“งานเข้าแล้ว! ยังไม่ทันได้หายเหนื่อยเลย จบจากหมีเสือก็มา เฮ้อ!”
การต่อสู้ระหว่างคนกับเสือจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง เซี่ยเจียวหงยังคงมีพละกำลังเหลือเฟือและจัดการเสือร้ายลงได้อย่างง่ายดาย แต่ก็แปลกใจ นี่เป็นเพียงป่าชั้นกลางทำจึงมีสัตว์ดุร้ายหลุดเพ่นพ่านได้ล่ะ หรือเพราะหน้าหนาวผ่านพ้นไป สัตว์ทั้งหลายจึงหมดเวลาจำศีล
เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมง กวงฮ่าวจื่อจึงมาพร้อมกับคนดูแลภัตตาคารและคนงานของเขา เมื่อมาถึงชายรูปร่างใหญ่นับสิบคนแทบ เข่าทรุดเมื่อเห็นสัตว์ร้ายทั้งสองตัวนอนตายข้าง ๆ กัน
“น้องสะใภ้ เป็นอย่างไรบ้าง”
กวงฮ่าวจื่อวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน แต่พอไม่เห็นแม่และนางหลิงมู่เขาจึงพ่นลมหายใจอย่างโล่งอก และคิดว่าทั้งสองคนน่าจะยังหลบอยู่บนต้นไม้
“ไม่เป็นไรพี่ใหญ่กวง รีบให้คนดูแลมาสินค้าเถอะ เราจะได้รีบกลับบ้าน ฉันเหนียวตัวจะแย่แล้ว”
เซี่ยเจียวหงโบกมือให้กวงฮ่าวจื่อให้พาคนดูแลมาตีราคา เพื่อจะได้รีบกลับบ้าน
เมื่อตั้งสติได้คนดูแลจึงรีบบอกราคาที่ต้องการให้เซี่ยเจียวหง คือทั้งเสือทั้งหมี เขาให้ราคาหนึ่งหมื่นห้าพันหยวน เพราะสัตว์ทั้งสองตัวไม่ว่าส่วนไหนล้วนขายได้ราคา ยิ่งเสือไม่ต้องพูดถึงเป็นที่ต้องการของผู้มีอำนาจและมีเงินไว้ประดับบารมี
“ตกลง”
เซี่ยเจียวหงไม่อยากขอราคาเพิ่ม เพราะตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าราคาที่เขาซื้อขายนั้นเท่าไร
อีกอย่างเธอไม่ต้องการให้ชาวบ้านรู้มาก และที่สำคัญสัตว์ ทั้งสองตัวนี้เป็นสัตว์คุ้มครองหรือเปล่า แต่ถ้าเธอไม่จัดการเกิดชาวบ้านหลุดมาที่ป่าชั้นกลางแล้วเจอเข้าจะกลายเป็นเอาชีวิตมาทิ้งเปล่า ๆ
หลังจากที่รับเงินมา เซี่ยเจียวหงจึงสั่งกำชับคนดูแลว่าเธอ ไม่ต้องการเปิดเผยให้ใครรู้ว่าเธอเป็นคนล่าได้ ถ้ามีสัตว์หายากจะรีบให้พี่ชายไปตาม แต่ถ้าไม่ฟังคำขอครั้งหน้าจะไม่มีอีกแล้ว
“ตกลง ฉันยินดีที่จะปิดบังเรื่องผู้ล่าสัตว์ทั้งสองตัวนี้ แต่เมื่อไรที่ล่าสัตว์ป่าได้อีก ให้รีบไปบอกก็แล้วกัน และขอบคุณมากสำหรับสัตว์ ทั้งสองตัวนี้”
พูดจบก็ให้คนงานช่วยกันแบกสัตว์ทั้งสองตัวเพื่อลงเขา แต่เป็นคนละฟากกับทางเข้าหมู่บ้านไผ่เขียว
หลังจากที่จัดการธุระเรื่องซื้อขายสัตว์ทั้งสองตัวเสร็จสิ้น เซี่ยเจียวหงและกวงฮ่าวจื่อรีบเดินไปที่นางหลิงมู่และนางกวงหลินทันที จากนั้นทั้งหมดจึงช่วยกันขนของโดยการลากเหมือนเช่นทุกครั้งลงมา จากป่า
เมื่อมาถึงบ้านทุกคนจึงช่วยกันตระเตรียมเพื่อจะนำสิ่งของทั้งหมดไปขายในวันพรุ่งนี้
วันต่อมาเซี่ยเจียวหงลุกขึ้นมาทำแป้งโหมวแต่เช้า เธอทำไม่มาก ทำเพียงแค่ห้าสิบอันเท่านั้น ส่วนปลาที่เหลือเมื่อวานห้าสิบตัว เธอจึงให้กวงฮ่าวจื่อไปซื้อเตาแบบยาวอันใหญ่เพื่อมาเผาปลาขายตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นแล้ว
หลังจากที่เตรียมของเสร็จทุกคนจึงนั่งกินอาหารเช้าร่วมกัน วันนี้สองแฝดต้องการไปช่วยขายของด้วย รวมถึงสะใภ้กวงที่อยากจะไปช่วยทุกคนด้วยเช่นกัน เซี่ยเจียวหงไม่ห้ามเพราะที่เธอจะไปเปิดแผงลอยขายของอยู่ ไม่ไกลมากนัก ดีที่วันก่อนเธอทำรถเข็นไว้สองคัน เลยไม่ต้องวิ่งกลับมาขนโต๊ะพับอีกรอบ ทั้งหมดจึงมุ่งหน้าไปที่ถนนใหญ่ที่มีตลาดเปิดให้ขายของทันที
เมื่อมาถึงเซี่ยวเจียวหงจึงขอเช่าแผงสองแผงเพื่อวางโหมวและเตาย่างเพื่อย่างปลาขาย
“โหมวไส้หมูตุ๋นและปลาเผาร้อน ๆ มาเลือกซื้อหาและลองชิมได้นะคะ”
เมื่อมีเสียงของเซี่ยเจียวหงร้องเรียกลูกค้าคนอื่น ๆ จึงร้องเรียกตาม ทุกคนไม่อายที่จะทำกินและร้องเรียกลูกค้า เพราะร้านอื่นก็ทำกัน
ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกและมีกลิ่นเนื้อหมูตุ๋นพร้อมกับกลิ่นหอมของปลาเผา ชาวบ้านที่มาจับจ่ายซื้อของต่างก็เข้ามาดู ดีที่ร้านของ เซี่ยเจียวหงจัดในส่วนไว้ให้ลูกค้าได้ลองชิม หลังจากที่ชิมแล้วรู้เลยว่าอร่อยมาก หมูตุ๋นละลายในปาก แป้งโหมวก็กรอบนอกนุ่มใน รวมถึง ปลาเผาที่ไม่มีกลิ่นคาวและน้ำจิ้มรสเด็ดโรยด้วยถั่วลิสง ทำให้ชาวบ้านต่างก็ต่อคิวซื้อ
“ฉันเอาสามชิ้น ปลาเผาสองตัว นี่เงินห้าหยวนรับไปสิพ่อค้า”
ลูกค้าบางรายกลัวว่าจะไม่ได้ จึงรีบยื่นเงินมาให้ก่อน เลยมีลูกค้าหลายคนที่ทำตาม
เซี่ยเจียวหงและทุกคนช่วยกันมือระวิงไม่คิดว่าวันแรกจะขายดีขนาดนี้ แม้ว่าแป้งโหมวจะอบในกระทะไม่ทัน แต่ทุกคนก็ยินดีที่จะรอ รวมถึงปลาที่เผาไม่ทันด้วยเช่นกัน
ดีที่วันก่อนตอนที่ไปหานานท่านโล่เธอแวะร้านขายเครื่องครัวพบกระทะแบนขนาดที่ต้องการและฝาครอบกระทะขนาดใหญ่จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะอบแป้งโหมวครั้งละหลายชิ้น
เวลาไม่ถึงสองชั่วโมงทั้งสองร้านก็ขายของจนหมด และยังมีลูกค้าที่ยังซื้อไม่ทันจึงกล่าวขึ้นอย่างเสียดาย
“พรุ่งนี้มาขายอีกไหม”
เมื่อมีคนถามหลายคนที่ซื้อไม่ทันจึงยืนรอคำตอบด้วย
“พรุ่งนี้ฉันและครอบครัวยังมาขายเหมือนเดิม ขอบคุณทุกคนมากนะคะที่ชอบอาหารที่พวกเรานำมาขาย แต่บางครั้งอาหารที่นำมาขายอาจจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่หามาได้”
“ฉันเชื่อว่าแม่ค้าต้องทำของอร่อยมาขาย อีกทั้งขายไม่แพง ปลาตัวโตแค่หยวนเดียว โหมวหมูตุ๋นก็แค่ หยวนเดียว ราคานี้อร่อยและอิ่มท้องใครบ้างไม่อยากซื้อ”
ชาวบ้านที่มาต่อแถวซื้อต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าราคาถูกแถมอร่อยอิ่มท้องด้วย ไม่ว่าจะทำอะไรมาขายพวกเขายินดีรอ ไม่เพียงแค่อาหารที่ขายดี หน่อไม้ที่นางหลิงมู่และนางกวงหลินเก็บมาหลายกระสอบต่างก็ขายหมดเช่นกัน แม้ราคาหน่อไม้ขายกองละไม่กี่เฟิน แต่ทั้งสองก็ได้เงินใส่กระเป๋าไม่น้อยเลยเช่นกัน
เมื่อลูกค้าไปหมดแล้วทุกคนจึงช่วยกันเก็บของ เซี่ยเจียวหงจึงยิ้มอย่างอ่อนโยนถามลูกน้อยทั้งสองคน
“อาฝานกับเจินเจินอยากซื้ออะไรไหม แม่จะพาไป”
“เจินเจินอยากกินน้ำตาลปั้นได้ไหมคะแม่”
สายตาที่มองมานั้นช่างคาดหวังเสียเหลือเกิน เซี่ยเจียวหงจึงมองไปทางลูกชาย เด็กน้อยพยักหน้าให้เธอจึงขยี้หัวลูกด้วยความเอ็นดู
“ได้สิลูก เจินเจินและอาฝานลูกของแม่อยากกินอะไรแม่จะซื้อให้ทั้งหมดเลย และที่สำคัญวันนี้ทั้งสองคนเก่งมากช่วยแม่ทำงานด้วย แต่กลับไปแล้วต้องหาเวลาท่องหนังสือกับป้าสะใภ้เหมือนเดิมนะลูก”
เซี่ยเจียวหงบอกลูกน้อยทั้งสองคนอย่างอ่อนโยน จนนางหลิงมู่และทุกคนบอกว่าจะช่วยกันเก็บร้านเอง ให้พาสองแฝดไปซื้อน้ำตาลปั้นกับขนม จากนั้นจะได้รีบกลับบ้านกันเพื่อเตรียมของขายพรุ่งนี้