บทที่ 5
หลินซูมี่ 1952
“แงงงง!!!”
เสียงร้องไห้ของเด็กดังแว่วๆ ทำให้ฉันที่นอนหลับอยู่ ลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก ซึ่งฉันรำคาญเสียงนั้นมากจึงสถบเสียงไม่พอใจออกไปว่า
“เสียงเด็กที่ไหนร้องนะ!”
แต่เดี๋ยวนะ เด็กงั้นเหรอ?
พรึบ!...
เมื่อนึกขึ้นได้ฉันก็รีบลุกขึ้น แต่เพราะลุกเร็วไปหน่อยจึงทำให้ฉันหน้ามืด แล้วไหนจะรู้สึกปวดหัวจี๊ดจนในหัวของฉันเกิดภาพทับซ้อนขึ้นมา ซึ่งฉันรู้ได้ทันทีว่าคือความทรงจำของหลินซูมี่คนก่อน
นี่ฉันเข้ามาอยู่ในยุคอดีตที่ตัวเองฝันถึงทุกคืนแล้วเหรอ นี่ฉันตายจากยุคปัจจุบันแล้วสินะ
“แงงง!!”
“นะ น้องเล็ก อย่าร้อง” เสียงร้องไห้และเสียงเล็กๆ ติดสั่นนั้นทำให้ฉันหันมองไปรอบด้านของห้องที่ไม่ใช่ห้องนอนของฉันในโลกปัจจุบัน แต่เป็นห้องนอนในอดีตที่ยาวนานแล้ว
“ลี่เหมย” ฉันเห็นเด็กหญิงตัวเล็กมอมแมมในเสื้อผ้ามอซอเย็บซุนทั้งชุดจนไม่เห็นสีเดิม กำลังปลอบเด็กชายคนหนึ่งที่นอนอยู่ในเปล ซึ่งเด็กหญิงนั้นเหลือบมองฉันอย่างกลัวๆ
“ลี่เหมยลูกแม่” ฉันเรียกเด็กคนนั้น พร้อมขยับตัวลุกนั่ง สายตาเต็มน้ำตาไหวระริกมองห้องนี้ด้วยความรู้สึกมึนงง
ซึ่งห้องนอนห้องนี้เป็นห้องที่ฉันเห็นในฝัน และในห้องนี้เป็นห้องเดียวที่มีเตียงเตาขนาดใหญ่เทียบเท่าที่นอน 6 ฟุต แต่เพราะหลินซูมี่คนก่อนเห็นแก่ตัวไม่ให้ใครมานอนด้วยนอกจากลูกชาย
ครั้งหนึ่งในช่วงฤดูหนาวสามีเธอป่วยมาก เธอไม่ยอมให้สามีนอนในห้องนี้ด้วยจึงเป็นเหตุให้สามีของเธอตายไปในฤดูหนาวปี 1956 ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับลูกสาวของเธอก็ตายไปด้วย
ส่วนหลินซูมี่คนก่อน ฉันไม่แน่ใจว่าตายปีเท่าไร ซึ่งฉันรู้จากความฝันว่าเธอตายในคุก แล้วไปเกิดใหม่ในแบบไหนเธอไม่รู้ อาจจะหลับไปแล้ววิญญาณออกจากร่างไปเกิดที่อื่นอะไรอย่างนั้นก็ได้
แต่ตอนนี้ฉันไม่สนใจหรอก เพราะฉันกลับมาแล้ว กลับมาแก้ไขอดีตที่เลวร้ายของตัวเองที่ทำเลวร้ายกับสามีและลูกๆ
“มะ แม่ น้อง หะ หิว” ลี่เหมยกล้าๆ กลัวๆ เวลาพูดกับแม่
ฉันมองลูกทั้งสอง ความเวทนาน่าสงสารยิ่งทำให้ฉันน้ำตาคลอเบ้าตา ฉันกลับมาแล้ว และจะไม่มีทางทำให้ลูกทั้งสองพบเจอเรื่องเลวร้ายเพราะฉันในอดีตอีกเด็ดขาด
“มะ มาหาแม่สิ ลี่เหมย”
เสียงเรียกหวานหยดปานน้ำผึ้ง และท่าทางใจดีทำให้ลี่เหมยที่หวาดกลัวจนตัวสั่นนั้นกล้าๆ กลัวๆ ที่จะเดินเข้าไปหาแม่
“มะ แม่จ๋า”
ด้านฉันยิ่งรู้สึกเกลียดตัวเองในอดีต ที่เห็นกิริยาหวาดกลัวของลูกสาว ฉันจึงลงจากเตียง เรียกที่จะเดินเข้าไปหาลูก ทั้งที่ในอดีตเธอไม่เคยเดินเข้าหาลูกเลย แต่ครั้งนี่ฉันกลับมาแก้ไข ฉันจึงต้องเป็นฝ่ายเข้าหาลูก เพื่อให้ลูกเชื่อใจและไว้ใจฉันให้มากที่สุด
“ลูกแม่” ฉันน้ำตายิ่งไหลอาบแก้ม เมื่อได้กอดลูกสาวเป็นครั้งแรก
“แม่จ๋า” ลี่เหมยถึงจะหวาดกลัว แต่ก็ผ่อนคลายเมื่อรู้สึกถึงอ้อมกอดของแม่ช่างอบอุ่นเหลือเกิน ถึงแม้จะแปลกใจที่แม่กอดและดูเอาใจใส่ แต่เด็กหญิงโหยหาความรักจากแม่มานานจึงรีบตักตวงโอบกอดแม่เช่นกัน
“แม่ขอโทษ” ฉันกระชับอ้อมแขนกอดลูกสาวคนเดียวไว้แน่นขึ้น พร้อมพูดพึมพำให้ได้ยินคนเดียวชิดหัวของแก
ลี่เหมยยังนั่งบนตักและกอดแม่อยู่ไม่ยอมปล่อยแขนออกจากลำคอของแม่ ใบหน้ามอมแมมเงยขึ้นมองหน้าแม่ แล้วกล้าบอกแม่ว่า
“น้องร้องไห้”
“เดี่ยวแม่ดูน้องเอง” ฉันเช็ดน้ำตาแล้วก้มมองหน้าลูกสาว ใบหน้าจิ้มลิ้มช่างเหมือนฉันมอมแมมและสกปรกมาก ฉันใช้ชายแขนเสื้อที่มีกลิ่นหอมของน้ำหอมทันสมัยเช็ดดวงหน้าของลูกสาวอย่างอ่อนโยน
“ค่ะ” ด้านลี่เหมยพยักหน้าให้แม่ แล้วขยับตัวไปยืนมองน้องในเปล ซึ่งแม่กำลังอุ้มน้อง และกล่อมน้องให้หลับต่อ
เมื่อลูกชายหลับแล้ว ฉันก็หันมาเอาใจใส่ลูกสาว ฉันถามแกเสียงหวานว่า
“ลี่เหมยหิวไหม”
“...” คำถามและท่าทางเอาใจใส่ของแม่ ทำให้ ลี่เหมยเงียบไม่กล้าบอกแม่ว่าหิว ถึงแม้ว่าไส้ของเธอจะขาดอยู่แล้วก็ตาม
“ว่าไงจ๊ะ หิวไหม” ฉันถามลูกสาวอีกครั้ง เมื่อลูกเอาแต่ก้มหน้าหลบสายตา สงสัยแกคงกลัวเพราะฉันคนเดิมชอบตีและหยิกลูกสาว เวลาลูกสาวบอกว่าหิว
เสียงไพเราะเสนาะหูทำให้ลี่เหมยสับสน ถึงจะมีแววตาตื่นตะหนกมองแม่อย่างสงสัย แม่ไม่ด่า ไม่ตีเป็นไปได้ยังไง? นี่คือคำถามในใจ แต่เด็กหญิงตัวน้อยไม่ถาม แต่บอกแม่ด้วยเสียงสั่นระริกว่า
“หิวค่ะ”
เมื่อได้ยินคำตอบของลูกสาว ฉันก็บอกลูกให้นั่งดูน้องอยู่ในนี้ ส่วนฉันก็ออกมาที่ห้องครัว ซึ่งห้องครัวไม่มีเครื่องครัว ไหนจะห้องโถงโล่งๆ ที่ไม่มีแม้แต่โต๊ะกินข้าวมีแค่เสื่อที่ปูอยู่บนพื้น
จากเหตุการณ์ในอดีต เธอซื้อของเข้าครัวหลังจากที่สามีกลับมาพร้อมเงิน 2,000 หยวน ทำให้หลินซูมี่คนก่อนใช้เงินจนมือเติบ เธอซื้อของเข้าบ้านสารพัด แต่ไม่ยอมให้เงินสามีเอาไปรักษาตัว
“นี่ฉันเลวได้ขนานนี้เลยเหรอ” ฉันรู้สึกแน่นหน้าอก และด่าตัวเองที่ทำเรื่องชั่วๆ ในอดีต
ฉันลงมือทำเกี๊ยวน้ำที่ซื้อไว้ออกมาแกะใส่ถ้วย จากนั้นก็หยิบน้ำเต้าหู้ออกมา 2 ถุง เพราะฉันไม่มีเตาต้มน้ำร้อนชงนมให้ลูกชาย
“กินนี่ไปก่อนนะลูก” ฉันคิดในใจ เพราะร่างเดิมของฉันให้ลูกชายหย่านมตั้งแต่ลูกได้ 8 เดือนแล้วเธอก็ให้ลูกชายกินนมวัวนมแกะ ส่วนลูกสาวหย่านมตั้งแต่ 5 เดือน และให้กินแต่น้ำข้าว
‘เฮ้ออ นี่เราช่างเป็นแม่ที่ชั่วช้าจริงๆ’ ฉันด่าหลินซูมี่คนก่อนในใจ…
ยี่สิบนาทีต่อมา…
เมื่อเอาทุกอย่างออกมาใส่ถ้วยแล้ว ฉันก็เรียกลูกสาว “ลี่เหมย พาน้องออกมากินข้าวเร็ว”
ด้านลี่เหมย เมื่อได้ยินเสียงหวานของแม่ เด็กน้อยก็อุ้มน้องชายออกมา ภาพอุ้มน้องเดินอย่างทุลักทุเล เห็นแล้วก็ทำให้กระบอกตาของฉันร้อนผ่าว
“เข้ามาสิ” ฉันกวักมือเรียกลูก พร้อมทั้งสังเกตดูแก ซึ่งลี่เหมยผอมมาก ผอมจนน่ากลัวเหมือนเด็กที่ขาดสารอาหาร
ด้านลี่เหมยทำตามแม่บอก อุ้มน้องชายไปให้แม่อุ้ม แล้วรีบถอยหลังไปยืนหลบมุมพร้อมเหลือบมองถ้วยเกี๊ยวพร้อมกับกลืนน้ำลายคออย่างหิวโหย
เด็กหญิงก้มหน้าหลบสายตาของแม่ นึกสงสัยในใจว่าแม่ไปเอาอาหารมาจากไหน เพราะยายยังไม่เอาอาหารวันนี้มาให้เลย
“ไปยืนทำไมตรงนั้น” ฉันรู้สึกเจ็บแป๊บที่ขั้วหัวใจ เมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวของลูกสาว
“ลูกไม่หิวรึยังไง มานั่งนี่สิ” ฉันอุ้มลูกชายเดินไปหาลูกสาว แล้วจูงมือแกให้ไปนั่งที่เธอจัดไว้
“นะ หนูกินได้เหรอคะ” ลี่เหมยไม่กล้านั่งบั้งกู๋[1]เมื่อแม่ปล่อยมือ ซึ่งเด็กน้อยได้แต่ยืนกลืนน้ำลายมองเกี๊ยวบนโต๊ะ
“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ นี่แม่ทำให้หนูกินเลยนะ มานั่งนี่มะ” ฉันนั่งบั้งกู๋ที่ทั้งที่ยังอุ้มลูกชาย แล้วขยับบั้งกู๋อีกตัวให้ลูกสาวนั่งลงข้างๆ เธอ
“ค่ะ” ลี่เหมยนั่งอย่างสงบเสงี่ยม มือไม้สั่นหยิบตะเกียบคีบเกี๊ยวใส่ปาก แล้วเคี้ยวอย่างช้าๆ ไม่กล้ากลืนกินเพราะกลัวแม่จะสั่งให้คลายออกมา ซึ่งเด็กน้อยจำฝังใจที่ครั้งหนึ่งแม่ตบปากจนเลือดไหลเพราะเธอแอบกินนมของน้อง
“อร่อยไหม” หัวใจของฉันระบมและเสียวแปลบมาก ที่เห็นอาการหวาดกลัวของลูกสาวที่กล้ากินบ้างไม่กล้ากินบ้าง นี่ลูกของเธอคงยังจำเรื่องที่หลินซูมี่คนก่อนทำร้ายสิ
“อร่อยค่ะ” ลี่เหมยยิ้มให้แม่ เมื่อแม่ลูบหัวและคอยคีบเกี๊ยวให้กิน
“ถ้าอร่อยก็กินเยอะๆ นะ และถ้าไม่อิ่มแม่จะทำให้กินอีก” ฉันคอยเช็ดปากและค่อยคีบนั้นคีบนี่ให้แกกิน
“ค่ะ” ด้านลี่เหมยถึงจะหวาดหวั่นกลัวอยู่บ้าง แต่ยิ้มของแม่ที่ไม่เคยยิ้มให้ทำให้เด็กน้อยกล้าที่จะกินต่ออย่างเงียบๆ
“กินให้อิ่มนะ เดี๋ยวแม่จะเข้าไปทำความสะอาดห้อง ลี่เหมยดูน้องให้แม่ด้วยนะ” ฉันแตะแก้มของลูกสาว เมื่อฉันป้อนนมลูกชาย และลูกชายอิ่มนมแล้วฉันจึงวางลูกชายให้นอนบนที่นอนข้างลูกสาว
“ค่ะ” ลี่เหมยขานรับแม่…
ในห้องนอน…
ฉันปัดกวาดเช็ดถูห้องนอนเล็กน้อย เพราะห้องนี้ถือว่าสะอาดพอสมควร นี่คงเป็นนิสัยเดียวที่หลินซูมี่ที่รักสวยรักงามและรักความสะอาดมาก ดูได้จากห้องและชุดของเธอในตู้เสื้อผ้า
ชุดของหลินซูมี่ใหม่แทบทุกตัว และมีถึง 7 ชุดด้วยกัน และเมื่อย้อนกลับไปดูชุดของลูกสาวแล้วฉันก็รู้สึกว่าหัวใจบีบรัดเจ็บจี๊ดขึ้นมาทันที
พอปัดกวาดเก็บของทุกอย่างแล้ว ฉันก็เอาฟูกเก่าออกจากเตียง แล้วเอาที่นอนอย่างดี 6 ฟุตออกมาวางไว้ที่เตียงเตา จากนั้นก็เอาผ้าห่มหนานุ่มสีเทาออกมา 2 ผืน และชุดเครื่องนอนสีเดียวกันออกมาจัดการปูที่นอนแล้วขนฟูกเก่าออกมาด้านนอก แล้วค่อยหาคนมาเอาไปใช้ต่อ เพราะของนี่เป็นของใหม่ พึ่งใช้ตอนที่คลอดลูกชายเมื่อปลายปีที่แล้ว
“เดือนนี้เดือนอะไรลี่เหมย ลูกรู้มั้ย” ฉันถามลูกสาว ทั้งที่หอบของออกไปวางไว้ข้างนอก
ด้านลี่เหมยก็มองแม่ตาแป๋ว แล้วส่ายหน้าให้แม่ พร้อมทำไม้ทำมือนับวัน บอกแม่ส่งเดชว่า
“กันยาค่ะ”
“อื้อ” ฉันพยักหน้ารับรู้ มองไปข้างนอก แล้วนึกตามดินฟ้าอากาศ นี่คงเป็นช่วงที่เธออายุ 23 สินะ และลูกชายกำลังจะครบ 1 ขวบ ส่วนลูกสาวอายุ 3 ขวบและกำลังจะครบ 4 ขวบ และนี้น่าจะเป็นปี 1952 ตามปฏิทินที่ฉันเห็นติดตรงผนังห้อง อีกแค่ 2 ปี สามีของเธอก็จะกลับมาพร้อมอาการบาดเจ็บแล้วสินะ
“มะ แม่จ๋า” เพราะยังไม่คุ้นกับท่าทีแปลกใหม่ของแม่ ลี่เหมยจึงเรียกแม่เสียงสั่นๆ
“มีอะไรลี่เหมย” ฉันถาม
“นะ น้องเยี่ยวค่ะ” ลี่เหมยบอกแม่ทั้งอุ้มน้องที่ก้นแฉะให้นอนบนตักของเธอ ทำให้เด็กน้อยก็เปื้อนเยี่ยวของน้องไปด้วย
“เดี๋ยวแม่ทำความสะอาดน้องเอง” อาการหวาดกลัวยังไม่หายกลัวแม่ ทำให้ฉันรีบบอกลูกสาวแล้วรีบเดินเข้าไปอุ้มลูกชาย
“หนูจะเอาชามไปล้างนะคะ” เมื่อแม่อุ้มน้องแล้ว ลี่เหมยก็ไม่ได้ทำตัวให้เปล่าประโยชน์เหมือนแม่เคยด่าเธอทุกครั้ง
“เดี๋ยวแม่ทำเอง” ฉันบอกลูกสาว แล้วลุกขึ้น และไม่ลืมที่จะแบมือให้แกจับพาเดินไปยังห้องนอน…
เวลาต่อมา…
เมื่อทำความสะอาดและกล่อมลูกชายให้นอนต่อแล้ว ฉันก็เดินออกมาข้างนอก เห็นลูกสาวกำลังยืนก้มๆ เงยๆ ดูฟูกและผ้าห่มที่เธอเอามากองไว้ข้างนอก
“ลี่เหมย ทำอะไรรึ”
“แม่จ๋า แม่จะทิ้งของพวกนี้เหรอจ๊ะ” เด็กน้อยขยับตัวถ่อยหลังเมื่อแม่เดินเข้ามาหา เพราะยังรู้สึกหวาดกลัวแม่อยู่
“แม่จะเอาให้คนอื่นนะ ลี่เหมย” ฉันรีบจับมือลูกไว้ แล้วเธอก็นั่งยองๆ ตรงหน้าลูก มองที่นอนที่กองอยู่บนพื้นตามสายตาของลูกสาว
“อย่าให้คนอื่นได้ไหมคะ” เด็กน้อยเอาแต่มองที่นอน ไม่กล้ามองหน้าแม่
“ทำไมละ” เธอถามลูกสาว
“นะ หนูขอได้มั้ย” ลี่เหมยพูดเสียงสั่นๆ
นั่นทำให้ฉันรู้สึกแน่นที่หน้าอก จุกเสียดไปหมดลำคอก็เหือดแห้งเหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างมาอุดที่คอหอยจนฉันสะอึกและจุกหายใจไม่ออก
‘ใช่สินะ’ ลี่เหมยไม่ได้นอนกับแม่ แต่นอนห้องข้างๆ ฉันเห็นในความฝัน ซึ่งห้องนั้นเป็นห้องเก็บของเก่าๆ นี่ คิดได้ดังนั้นฉันก็รีบลุกขึ้นเดินไปยังห้องของลูกสาว
พอเปิดประตูเข้าไป ฉันถึงกลับยืนช็อก น้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลออกมาเองอย่างอัตโนมัติ เมื่อเห็นภาพห้องตรงหน้า
ภายในห้องมีแค่ฟูกนอนเก่าๆ และบางมาก และผ้าห่มก็ผืนบางมากเช่นกัน ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะยังไม่หนาวแต่ตอนค่ำก็อากาศเย็นค่อนข้างมาก แล้วลูกสาวเธอตัวเล็กขนาดนี้ยังทนความหนาวเหน็บมาได้ยังไงกัน
“ของพวกนี้แม่จะเอาให้คนอื่น ส่วนของลี่เหมยแม่จะหาซื้อมาให้ใหม่ ตอนนี้ลูกยังเด็ก ไปนอนกับแม่ก่อนก็แล้วกัน” ฉันทนมองห้องของลูกสาวไม่ได้จึงออกมาพร้อมพูดกับลูกสาว ทั้งที่จูงมือแกไปนั่งที่ห้องนั่งเล่น
ด้านลี่เหมยทำหน้าเลิ่กลั่ก เพราะไม่อยากเชื่อในสิ่งที่แม่พูด ตั้งแต่เธอเกิดและจำความได้แม่ไม่เคยให้เธอเข้าใกล้และได้นอนกับแม่เลย เธอจึงถามแม่เพื่อความแน่ใจ
“หนูนอนกับแม่ได้เหรอคะ”
“ได้สิจ๊ะ” ฉันบอกพร้อมอุ้มแกให้นั่งบนตัก ฉันสัมผัสได้ว่าลูกสาวของฉันยังเกรงกลัวฉันอยู่ แม่คนก่อนทำร้ายจิตใจของเด็กน้อยจนบอบช้ำ แต่แม่คนนี้จะเติมเต็มและรักษาแผลเหวอะในใจของลูกให้หายเอง…
[1] ปล...บั้งกู๋ หมายถึงเก้าอี้ไม้ตัวเล็กที่คนจีนสมัยก่อนชอบใช้นั่งกินข้าว