บทที่ 6 เรื่องที่เหลือจะเชื่อได้

3223 Words
บทที่ 6 เรื่องที่เหลือจะเชื่อได้ “นอนกับแม่ไปก่อน โตแล้วค่อยแยกที่นอนนะ” ฉันบอกแล้วยิ้มให้ลูกเมื่อแกเงยหน้าขึ้นมอง และช่วงที่ฉันนั่งเล่นอยู่กับลูกสาวนั้นก็มีเสียงเรียกดังจากหน้าบ้าน ทำให้ฉันและลูกสาวมองหน้ากันแล้วหันไปมองหน้าบ้าน “ซูซู ลี่เหมย” “ยายมา” ลี่เหมยทำท่าตื่นเต้นลงจากตักของแม่ แล้วรีบเดินไปเปิดประตูให้ยาย (ยายคือแม่ของหลินซูมี่นั้นเอง) “ลี่เหมย เปิดประตูรั้วให้ยายเร็ว” แม่หลินเห็นหลานสาวตัวน้อยยิ้มกว้างก็คิดว่าคงจะหิวและดีใจที่ได้กินข้าว ดีที่วันนี้นางแบ่งข้าวมาให้หลานสาวด้วย ไม่งั้นหลานคงต้องกินของเหลือจากแม่ตัวเองอีกเหมือนเดิม เพราะหลินซูมี่ไม่ยอมแบ่งข้าวและไม่ยอมกินข้าวพร้อมกับลี่เหมยเลยสักครั้ง “ยายจ๋า” เมื่อเปิดประตูรั้วแล้ว ลี่เหมยก็วิ่งเข้าไปกอดขาของยาย ทำเหมือนทุกครั้งที่ยายมาหา “กินอะไรรึยังเด็กดี” แม่หลินถามหลานสาว พร้อมจูงมือแกเดินเข้าไปข้างในบริเวณบ้าน “กินแล้วค่ะ แม่มีเนื้อให้กิน” ลี่เหมยตอบแล้วยิ้มยิงฟัน เมื่อนึกถึงรสชาติของเนื้อที่กินไป มันอร่อยจนแทบอยากจะกลืนลิ้น ไหนจะอ้อมกอดของแม่ที่กอดเธออย่างอบอุ่นอีก นี่มันดีสุดๆ ไปเลย “กินเนื้อเหรอ” แม่หลินทำหน้างง จึงหยุดเดิน แล้วย่อตัวนั่งยองๆ จับให้หลานมายืนตรงหน้า “ค่ะ แม่ทำให้กินอร่อยมากค่ะยาย” ลี่เหมยบอก พร้อมแลบลิ้นเลียปากไปมายามนึกถึงรสชาติอาหารแสนวิเศษที่แม่ทำให้กินเป็นมื้อแรก คำพูดของหลานสาว ทำให้แม่หลินขมวดคิ้วจนเป็นรอยหยัก สงสัยมากที่ลูกสาวทำอาหารให้ลูกกิน เมื่อดึงสติจากคำพูดของหลานได้นางก็ลุกขึ้นแล้วจูงมือหลานเดินเข้าไปในบ้านก็เห็นลูกสาวกำลังจัดโต๊ะนั่งอยู่กลางบ้าน ซึ่งภาพแบบนี้นางไม่เคยเห็นเลย จะเห็นแต่คอยสั่งลูกสาวให้ทำงาน “ซูซู” เสียงเรียกของแม่หลิน ทำให้ฉันชะงัก แล้วค่อยๆ หันไปมอง ‘นี่แม่หลินเหรอ ทำไมหน้าตาคล้ายคุณยายจัง’ ฉันอดนึกถึงคุณยายหลี่มี่ไม่ได้ “แม่ สวัสดีค่ะ” ฉันทักทาย และเชิญให้แม่นั่ง และท่าทางแปลกๆ ของลูกสาว ทำให้แม่หลินตกใจ สายตาที่จับจ้องลูกสาวนั้นก็เบิกค้างเมื่อลูกสาวยิ้มให้อย่างละมุน “เอ่อ นี่...” แม่หลินไม่ทันได้เอ่ยทักทายลูกสาว ก็ต้องทำตามลูกสาวบอก “เข้ามาก่อนสิคะแม่ นั่งค่ะ” ฉันใช้ผ้าเช็ดบั้งกู๋ เมื่อบอกให้แม่นั่ง “ซูซู นี่ลูก...” แม่หลินจะเอ่ยถาม แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ถาม เพราะลูกสาวพูดแทรกขึ้นทุกครั้ง “แม่เอาอะไรมาเยอะแยะคะ” ฉันถามแม่หลิน “ของกินของลูกไง” แม่หลินบอก พร้อมเดินไปนั่งที่บั้งกู๋ “ขอบคุณแม่มากค่ะ” ฉันมองของกินในตะกร้า พร้อมอุ้มลูกสาวให้นั่งบนตัก ซึ่งภาพที่เธอทำกับลูกสาวและคำพูดไพเราะยิ่งทำให้แม่หลินมองตาค้าง “ลี่เหมยบอกว่ากินข้าวแล้ว” แม่หลินขมวดคิ้วกับคำพูดหวานหูของสาว และภาพที่ลูกสาวอุ้มลูกให้นั่งบนตักนั้นอีก ฉันยิ้มพูดชิดหน้าผากของแกว่า “ลี่เหมย เข้าไปดูน้องไป” “มีเนื้อกินด้วย ลูกไปเอาเนื้อมาจากไหน” แม่หลินถาม พร้อมมองหลานสาวเดินเข้าไปในห้องนอนของแม่ ซึ่งทำให้แม่หลินยิ่งแปลกใจเข้าไปอีก ‘นี่หลินซูมี่ให้ลูกสาวเข้าห้องนอนของเธอได้แล้วเหรอ’ เพราะปกติแล้วลี่เหมยจะเข้าห้องนอนของหลินซูมี่ไม่ได้เลย “เอ่อ คือหนูซื้อมาเก็บไว้เมื่อวาน เลยเอาออกมาทำให้ลูกกินไง ไม่ดีรึไงแม่” ฉันคิดได้ว่าเมื่อวานนี้หลินซูมี่คนก่อนได้เข้าไปในเมือง จึงเอาเรื่องนี้มาอ้าง ทั้งที่เมื่อวานหลินซูมี่คนก่อนไปหาซื้อผ้าพับในตลาดมืดมาให้ตัวเองและลูกชายตัดชุดฤดูหนาวต่างหาก “มันก็ดีอยู่หรอก แต่ลูกดีแปลกๆ นะ” แม่หลินทำหน้าสงสัยมองหน้าลูกสาวตัวเอง “แม่ หนูเปลี่ยนฟูกนอนใหม่ ถ้าแม่อยากเอาไปแจกใครก็เอาไปนะ ของยังดีอยู่เลย” ฉันพยักหน้าให้แม่ดูที่นอนที่กองอยู่ข้างบ้าน “เปลี่ยนใหม่! ซูซู นี่ลูกทำไมใช้เงินละลายน้ำแบบนี้ ช่วงนี้กำลังจะเข้าหน้าหนาวแล้วนะทำไมไม่เก็บเงินไว้ซื้อของกินกักตุนไว้บ้างละ” แม่หลินตำหนิลูกสาว เพราะวันนี้นางตั้งใจจะมาบอกลูกสาวว่าหน้าหนาวที่จะถึงนี้ บ้านหลินไม่สามารถแบ่งอาหารให้ลูกสาวได้เนื่องจากอาหารไม่พอ ที่จริงเรื่องนี้ถึงลูกสะใภ้ที่เป็นคนดูแลเรื่องอาหาร ซึ่งลูกสะใภ้ทั้งสองจะไม่บอกนาง แต่นางก็รู้ว่าธัญพืชที่มีไม่พอหน้าหนาวแน่ ถ้านางยังส่งอาหารให้ลูกสาวทุกวันแบบนี้ และอาหารที่ลูกสะใภ้ทั้งสองทำนั้นต้องแยกทำ ซึ่งทุกคนที่บ้านหลินจะกินแค่แผ่นแป้งหยาบๆ กับน้ำแกงใสๆ หนึ่งอย่าง ส่วนของลูกสาวแม้จะไม่มีเนื้อแต่ก็มีไข่แทบทุกมื้อ เพราะไก่ที่บ้านนางไม่ได้ออกไข่ทุกวัน วันไหนออกไข่ก็เอามาทำอาหารให้ลูกสาวกินหมด “ก็เพราะจะเข้าหน้าหนาวไงแม่ ถึงต้องเปลี่ยน” ฉันทำหน้าลอยไปมา ไม่สนใจฟังคำตำหนิของแม่ “แล้วทำไมไม่เอาให้ลี่เหมย หลานแม่ไม่มีฟูกหนาแบบนี้นอนไม่ใช่เหรอ จะเอาไปให้คนอื่นทำไม” แม่หลินบอกลูกสาว เพราะนึกถึงสภาพห้องนอนของหลานสาวแล้ว แม่หลินก็อดเวทนาหลานไม่ได้ แต่นางก็พูดอะไรได้ไม่มาก “ลี่เหมยนอนกับหนู” เพราะคำพูดของฉัน จึงทำให้แม่หลินตะโกนเสียงดัง ผสมกับไม่เชื่อหูตัวเอง “นอนกับลูก!” ‘นี่ฉันหูฝาดไปหรือเปล่า’ แม่หลินถามตัวเองในใจ พลางจ้องหน้าลูกสาวอย่างสงสัย ซึ่งมันน่าเหลือเชื่อเกินไปกว่าเดิมอีก “แม่ ตกใจหมดเลย จะตะโกนทำไมคะ” ฉันคิดได้ว่าทุกคนอาจจะไม่ชินที่จู่ๆ ฉันก็เปลี่ยนไปจึงหยิบเอานิสัยขี้หงุดหงิดของหลินซูมี่คนเดิมมาใช้ เพื่อให้แม่ไม่สงสัยและซักถามเธอมากกว่านี้ “กะ แกบอกว่าลี่เหมยนอนกับแกหรอซูซู” แม่หลินทำเสียงติดอ่างถาม “ทำไมแม่ ก็ลี่เหมยเป็นลูกฉัน นอนกับฉันมันผิดตรงไหน” ถึงจะไม่ใช่นิสัยของฉัน แต่ฉันต้องเอามาใช้จึงแกล้งทำเสียงไม่พอใจตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ตะ แต่ว่า” แม่หลินไม่ทันได้พูด ฉันก็พูดแทรกขึ้นว่า “อ้อ ลืมไปเลย หนูจะบอกแม่ ต่อไปนี้ไม่ต้องเอาอาหารมาให้หนูแล้วนะ หนูจะไปทำกับข้าวที่บ้านใหญ่กินเอง และแม่ไม่ต้องห่วงลี่เหมยด้วย หนูจะไม่ยอมให้ลูกสาวหนูอดอีกแล้ว” ฉันยิ้มให้แม่หลิน “ทำอาหารเอง!” แต่นั่นก็ทำให้แม่หลินตกใจอีกรอบ “แม่ อีกแล้วนะ” ฉันยกมือขึ้นมาปิดหู แล้วทำหน้ามุ่ยใส่แม่ “กะ แกจะทำอาหารกินเอง” แม่หลินถาม “ใช่” ฉันพยักหน้า “แกทำอาหารไม่เป็น” แม่หลินพูดเสียงเยาะ เพราะนางรู้ว่าลูกสาวทำอาหารไม่เป็น จู่ๆ มาบอกว่าจะทำอาหารกินเอง ให้ตายเถอะ นี่ลูกสาวจะทำให้นางเป็นลมล้มพับไปตรงนี้ให้ได้เลยใช่ไหม ทำไมวันนี้มีแต่เรื่องให้นางตกใจตลอด “ของแบบนี้มันฝึกกันได้นะแม่” ฉันทำท่าเฉไฉ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าหลินซูมี่คนก่อนทำอาหารไม่เป็น ‘แต่หลินซูมี่คนนี้น่ะฝีมือเทียบเท่าเชฟในภัตตาคารเลยนะ’ ฉันนึกในใจ “เอ่อ แล้วแม่จะรอดู แต่ตอนนี้เอาอาหารนี้ไปเก็บได้แล้ว แม่จะได้กลับบ้าน” แม่หลินไม่อยากอยู่ทะเลาะกับลูกสาว จึงขอตัวกลับ ด้านฉันมองอาหารที่แม่เอามาให้แล้วก็ปวดใจ แม่เอาแต่ของดีๆ มาให้ แต่ที่บ้านหลินแทบจะขุดหัวมันป่ากินกัน ไหนจะหลานๆ อีกพวกเขาคงผอมแห้งมาก “แม่รอเดี๋ยวนะ” เธอบอกแม่ แล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องนอนเห็นลูกสาวกำลังห่มผ้าให้น้องชายอยู่เพราะ ลี่หมิงชอบนอนดิ้นถีบผ้าห่ม ฉันเดินผ่านเตียงไปที่ตู้เสื้อผ้าเปิดตู้แล้วหยิบกล่องใส่เงินขึ้นมาดู ฉันยังไม่ได้สำรวจเลยว่าเงินตอนนี้มีเท่าไหร่ พอตรวจนับดูแล้วตอนนี้เธอมีเงิน 300 กว่าหยวน ซึ่งถือว่ามากมายเลยในยุคนี้ แต่สำหรับฉันมันไม่พอ ต้องหาเพิ่ม! ฉันหยิบเงินมา 40 หยวน แล้วเดินออกจากห้องไปยังห้องครัวเอาเนื้อติดมันที่ขอให้ทางร้านหั่นเป็นชิ้นให้ออกมาจากมิติ ซึ่งชิ้นนี้หนักประมาณ 2 จิน หรือ 1 กิโลกรัม จากนั้นก็เอากระดาษไขที่ซื้อเผื่อไว้เวลาเอาของไปขายออกมาห่อเนื้อ ด้านแม่หลิน เมื่อเห็นลูกสาวเดินถือตะกร้าออกมาหา นางก็ลุกขึ้นยืน แต่ก็ทำหน้างง เมื่อในตะกร้ายังมีของกินที่นางเอามาให้ลูกสาว นางจึงถาม “อะไร” “นี่เงิน 40 หยวน ค่าอาหารที่ผ่านมาที่แม่เอามาส่ง ส่วนนี่เป็นเนื้อ แม่เอากลับไปทำให้หลานๆ กินนะ และของกินพวกนี้แม่ก็เอากลับไปด้วยนะ ต่อไปนี้แม่ก็ไม่ต้องเอาของกินดีๆ แบบนี้มาให้หนูอีก แม่เก็บไว้ให้บ้านหลินกินนะ” ฉันไม่ยอมตอบคำถามของแม่ แต่เอาเงินใส่มือแม่ และเอาห่อเนื้อใส่ในตะกร้าของแม่ด้วย “เอามาให้แม่ทำไม เก็บไว้ให้ลี่เหมยกับลี่หมิงกินเถอะ เงินนี่ก็ด้วย” แม่หลินมองเงินกับเนื้ออย่างตื่นตะลึง ฉันเข้าใจท่าทีของแม่ เพราะเธอรู้ว่า ในยุคนี้เงิน 40 หยวนนี่คือเงินเยอะมาก แล้วเนื้อนี่อีก ซึ่งถ้าไปกินร้านอาหารคงจะราคาเป็นหมื่นแน่ “โธ่...แม่ หนูมีให้ลูกฉันกินน่า แม่เก็บไว้เถอะ หนูอยากให้แม่ ถือว่านี่เป็นความกตัญญูของหนูครั้งแรกที่แสดงกับแม่ก็แล้วกัน ส่วนลูกทั้งสองของหนู หนูสัญญาว่าจะรักลูกให้เท่าๆ กันและไม่รังแกลี่เหมยอีก” ฉันพยายามปรับเสียงไม่ให้สั่นเครือ และคอยเช็ดน้ำตาออกจากเบ้าตาไม่ให้แม่เห็น “นะ นี่แกคิดได้แล้วเหรอซูซู” แม่หลินมองหน้าลูกสาวแล้วร้องไห้ด้วยความสับสน “แม่ อย่าร้องสิ” ฉันบอกแม่ แต่ฉันกลับห้ามน้ำตาของตัวเองไม่ได้ ฉันก็ร้องไห้เหมือนกัน ชาติที่แล้วนอกจากจะทำผิดกับสามีและลูกๆ แล้ว กับครอบครัวเดิมและครอบครัวสามีฉันก็ทำผิดกับพวกเขาไม่ต่างกัน “มะ แม่ดีใจที่แกคิดได้ ฮึก” แม่หลินสะอื้นไห้ผสมเสียงพูด พร้อมเช็ดน้ำตาออกจากแก้มสองข้าง “หนูรู้ว่าหนูทำผิดต่อทุกคน จากนี้ไปหนูจะดีกับทุกคนให้มากๆ แม่รอดูเถอะ” ฉันเช็ดน้ำตาแล้วเข้าไปจับมือแม่ บอกแม่ด้วยการโอบกอดแม่ “อื้ม แม่จะรอดู งั้นแม่กลับก่อนล่ะ แกจะได้ดูแลลูกแก ส่วนอาหารนี่เก็บไว้เถอะ แม่ทำมาให้แล้ว” แม่หลินเห็นสายตามุ่งมั่นของลูกสาวแล้วก็ไม่ได้อยากขัด นางยิ้มทั้งน้ำตาแล้วเอ่ยลาลูกสาวเพื่อจะเอาเรื่องราวไปเล่าให้คนที่บ้านฟัง ทุกคนจะต้องยินดีมากแน่ๆ “ขอบคุณนะแม่” ฉันผละออกจากอ้อมแขนของแม่หลิน แล้วเดินจูงมือกันไปยืนตรงหน้าประตูบ้าน “แม่กลับก่อนนะ วันหน้าจะมาหาใหม่” แม่หลินยื่นมือลูบแก้มของลูกสาว “เดี๋ยวค่ะแม่ ที่นอนนี้ถ้าแม่ไม่เอาให้ใคร แม่บอกให้พี่ใหญ่มาเอาไปใช้ต่อสิ ของยังดีอยู่เลยนะ” ฉันเห็นที่นอนกองอยู่ข้างบ้าน ก็นึกได้ว่าพี่ชายใหญ่ไม่ได้เปลี่ยนฟูกนอนมานานแล้วตั้งแต่แต่งพี่สะใภ้เข้ามา ตอนนี้พี่ชายทั้งสองของเธอก็มีลูกแล้ว และพี่สะใภ้ใหญ่ก็มาตั้งท้องอีกได้ 7 เดือนแล้ว ส่วนพี่สะใภ้รองก็ท้องเหมือนกันประมาณ 4 เดือนแล้ว ส่วนลูกคนแรกของพี่ชายใหญ่อย่างหลินเทียน ตอนนี้ก็น่าจะอายุ 7 ขวบ ส่วนลูกสาวของพี่ชายรอง หลินซินอี๋ก็น่าจะอายุ 6 ขวบแล้ว วัยกำลังกินและโตเลย “เดี๋ยวแม่จะบอกให้พี่เขามาเอานะ” แม่หลินบอกลูกสาว แล้วเดินไปยังรั้วหน้าบ้าน ซึ่งฉันก็เดินไปส่งแม่หลิน ฉันยืนมองแม่เดินห่างออกไปไกลแล้ว ฉันก็เดินกลับเข้าไปในบ้าน และช่วงที่จะเข้าไปในห้องครัวนั้น ฉันก็ต้องหยุดเดินเมื่อเห็นลูกสาว “ลี่เหมยมีอะไรรึลูก” “คือว่า...” ลี่เหมยไม่กล้าอ้าปากหาว เพราะกลัวแม่ดุว่าขี้เกียจสันหลังยาว เด็กน้อยกลั้นไว้จนหน้าตาแดงก่ำ ด้านฉันรีบนั่งคุกเข่าตรงหน้าลูก แล้วจับหน้าแกให้เงยขึ้น หัวใจของเธอแตกละเอียดอีกครั้งเมื่อเห็นดวงตาแดงก่ำและอาการสะลึมสะลือของลูกสาว ‘นี่หลินซูมี่คนก่อนคงจะทรมานลูกสาวไม่ให้นอนกลางวันสินะ’ ฉันคุยกับตัวเองในใจ “จะนอนกลางวัน ทำไมไม่นอนกับน้องบนเตียงละลูก” ฉันถามลูกสาว “หนูไม่กล้านอนค่ะ หนูตัวเหม็นสกปรกด้วย” ลี่เหมยก้มหน้ามองพื้นแล้วตอบเสียงเศร้า “ลูกแม่” คำพูดของลูกสาวช่างบาดหัวใจของมาก ฉันกะพริบตาหลายครั้งไม่ให้น้ำตาไหล แล้วดึงแกเข้ามากอด “แม่จ้า อย่าค่ะ หนูตัวเหม็น” ลี่เหมยขัดขืนเล็กน้อย เมื่อแม่กอด “เมื่อวานแม่ซื้อเสื้อผ้ามาให้ลี่เหมยด้วยนะ อยากได้ไหม” คำพูดและอาการหวาดกลัวกลัวแม่ดุหรือตีของหนูน้อย ทำให้ฉันต้องหายใจทางปากอย่างยากลำบาก ฉันมองชุดของลูกสาวแล้วก็ปวดใจ เพราะชุดที่ลูกสาวใส่นี่คือชุดที่ย่าซื้อให้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่ด้วยความที่ไม่ได้กินอาหารดีๆ ทำให้ร่างกายเด็กน้อยแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลย สามารถใส่ชุดเดิมได้ อีกอย่างลี่เหมยมีแค่ 2 ชุด และสภาพไม่ต่างกันเลย “เสื้อใหม่เหรอ” ลี่เหมยเงยหน้ามองแม่ ถึงแม้จะยังไม่เห็นเสื้อผ้าตัวใหม่ แต่เด็กน้อยตื่นตระหนกดวงตาประกายแวววับกับคำว่าชุดใหม่ “ใช่ อยากได้ไหม” ฉันถามลูกสาวเสียงไพเราะ “อยากได้ค่ะ” ลี่เหมยพยักหน้างึกๆ เหมือนไก่จิกเม็ดข้าว “งั้นไปอาบน้ำกัน แม่จะต้มน้ำอุ่นให้อาบ” ฉันลุกขึ้นยืน แล้วแบมือให้ลูกจับ ต่อไปนี้ฉันจะเป็นคนเข้าหาลูกและให้ความรักความเอาใจใส่ลูกสาวมากกว่านี้ “อาบน้ำอุ่นได้เหรอคะ” ลี่เหมยยิ่งทำตาโต เงยมองหน้าแม่ ไม่อยากเชื่อเลยว่าวันนี้ช่างเป็นวันที่ดีของเธอ ได้กินอาหารดีๆ ได้กอดแม่และแม่จะต้มน้ำอุ่นให้อาบอีก “ได้สิ แม่จะอาบให้นะ และจะสระผมให้หนูด้วยเอาไหม” ฉันถึงอยากจะร้องไห้ เมื่อเห็นอาการตื่นเต้นดีใจของลูก ฉันรู้ว่าหลินซูมี่คนก่อนไม่เคยทำอะไรให้ลูกสาวเลย แม้แต่ตัดเล็บมือฉันคนก่อนก็ไม่เคย “แม่จะอาบน้ำให้หนูเหรอคะ” ลี่เหมยถามเสียงสั่นเครือ “ใช่ แต่มีข้อแม้นะ” ฉันลูบหัวลูกสาว “ข้อแม้อะไรคะ” ลี่เหมยถามแม่ ทั้งที่ยังแหงนหน้ามองแม่ “ลี่เหมยสัญญากับแม่ก่อนสิ ว่าจะเป็นเด็กดี ไม่ดื้อ แล้วก็จะเชื่อฟังแม่” ฉันโน้มตัวลงจูบจมูกเล็กของแก “หนูจะเป็นเด็กดีค่ะ” ยิ้มของแม่ ทำให้ลี่เหมยพยักหน้ารัวๆ “เด็กดี งั้นนั่งรอแม่อยู่ที่นี่นะ แม่จะไปเอาเสื้อผ้ามาให้ แล้วพาไปอาบน้ำ จะได้นอนกับน้องไง ดีมั้ย” ฉันพาลูกสาวไปนั่งในห้องนั่งเล่น และก่อนที่ฉันจะเข้าไปในห้องนอนนั้นก็หอมแก้มมอมแมมของลูกอีกครั้ง “ค่ะ” ลี่เหมยเชื่อฟังแม่ นั่งไม่ขยับตัว ดวงตาใสแป๋วมองแม่เดินเข้าไปในห้องนอนใหญ่ ด้านฉันเมื่อลับตาลูกสาวแล้ว ฉันก็เอาชุดออกจากมิติมาดู เลือกชุดที่ลูกสาวน่าจะใส่ได้ออกมา 3 ชุด ฉันจะเปลี่ยนชุดใหม่ให้ลูกทั้งหมด ส่วนหน้าหนาวที่จะถึง ฉันจะถักไหมพรมทำเสื้อกันหนาวให้ลูกๆ ใส่คนละ 2 ตัว แม้จะอยากให้ลูกมีชุดสวยๆ ใหม่เยอะๆ แต่ฉันก็ทำไม่ได้มันจะผิดสังเกตเกินไป เพราะผ้าในยุคนี้ไม่ได้หาง่ายๆ เลย แม้ว่าเธอจะมีชุดถึง 7 ชุดในตู้ก็เถอะ!... สิบนาทีต่อมา… ฉันถือเสื้อผ้าใหม่เดินเข้าไปหาลูกสาว แล้วเอาชุดทาบที่ตัวแก พร้อมถามว่า “สวยมั้ย” “สวยจังค่ะ” เด็กน้อยพยักหน้ารับ แล้วยิ้มเห็นฟันอย่างไร้เดียงสา “แม่ให้ลูกสามชุด ส่วนชุดเก่าแม่จะเอาไปทิ้ง ใส่ชุดใหม่ดีกว่าเนอะ” ฉันบอก แล้วลูกสาวก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ฉันพาลี่เหมยไปอาบน้ำแล้วพาเข้ามาแต่งตัวในห้อง ทาแป้งเด็กที่เธอเอาออกมาจากมิติให้ลูกสาวจนหอมฟุ้ง แล้วอุ้มแกไปนอนกับลูกชายที่หลับอุตุอยู่บนฟูกนุ่ม “นอนนะเด็กดี” ฉันห่มผ้าให้เด็กทั้งสองแล้ว ฉันก็ก้มลงหอมที่หัวของลูกสาวตามด้วยลูกชายแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ค่ะ” ลี่เหมยถึงจะนอนตัวแข็ง ดวงตาแป๋วแหววมองแม่ทำนั้นทำนี้ให้ ช่างมีความสุขเหลือเกิน และลี่เหมยจะตักตวงความสุขวันนี้ไว้ให้มากที่สุด แม่กอด แม่หอมแม่ทำอาหารอร่อยให้กินและยังอาบน้ำสระผมให้และยังยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ลี่เหมยหลับตาจนน้ำตาปริ่มและยิ้มมีความสุขอยู่อยู่คนเดียว ภาวนาขอให้ตื่นขึ้นมาความสุขที่แม่มอบให้อย่าจางหายไปเลย…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD