บทที่9.2 ข่าวดี2

2456 Words
ก่อนหมดฤดูเก็บเกี่ยวช่วงหน้าร้อนฉีหรงก็เข้าเมืองอีกครั้งหนึ่งเพื่อขายข้าวขาวอีกเกวียนให้กับร้านขายธัญพืชเจ้าประจำตามสัญญา และบอกกล่าวคำตอบของคำถามก่อนหน้านี้ เจ้าของร้านดูยินดีมาก เมื่อเขาชวนชายหนุ่มฉีไปดื่มด้วยกลับโดนปฏิเสธอย่างสุภาพ จึงได้แต่มอบไหสุราให้เป็นของฝากเท่านั้น ฉีหรานเห็นไหสุราแล้วตาเป็นประกายทันที จำได้ว่าระบบเคยพูดถึง ‘ตลาด’ เมื่อเพิ่มระดับถึงห้า ฟังชันส์ตลาดจะปรากฎขึ้น ตลาดนั้นสามารถใช้แลกเปลี่ยนสิ่งของได้โดยตรง ระบบจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับข้อตกลงระหว่างคู่ค้า แต่ระบบเคยพูดถึงตลาดและยกตัวอย่างให้นางฟังในชีวิตก่อนหน้า สิ่งของที่มีเอกลักษณ์ประจำตัวเช่นงานฝีมือ อาหารและเครื่องดื่ม เหมาะสำหรับขายในตลาดมากกว่าเพราะสามารถเจรจาเพื่อเพิ่มมูลค่าได้ แปลว่าแต้มที่ได้มากกว่าที่ระบบกำหนด ดังนั้นฉีหรานจึงตัดสินใจว่าจะต้องฝึกหมักสุรา หากเป็นสุราที่มีเฉพาะบ้านนางหมักได้ ย่อมมีค่าไม่ว่าจะแลกเปลี่ยนหรือขายให้ผู้คน ฉีหยงรู้เรื่องนี้ดี เมื่อลูกสาวเสนอมาเขาก็ตอบรับ ฉีหรานยังมีเวลาอีกมากเพื่อเรียนรู้ ให้นางได้ทดลองทำสิ่งที่ต้องการ เพื่อดูว่าต่อไปในภายภาคหน้านางจะทำสิ่งใดดีกว่า เขาไม่เคยคิดกำหนดกรอบให้บุตรชายหญิงเลย ฉีหรงกลับมาจากเมืองในคราวนี้ซื้อผ้ามาหลายผืน สองพับสำหรับแม่และลูกสาวตัดเพื่อใส่ก่อนเข้าฤดูหนาว เป็นผ้าเนื้อกลางๆ สามารถสวมใส่ได้สบายผิวกว่าผ้าหยาบในปัจจุบัน สามพับสำหรับตัดเสื้อผ้าฤดูหนาวของทั้งครอบครัว เนื้อผ้ามีความหนาแต่ยังดีกว่าที่เคยซื้อมา ต้องบอกว่าบ้านฉีพัฒนาขึ้นแล้วจริงๆ ฉีหรงยังคงขอบคุณน้องสาวในใจ เขาตั้งใจไว้ว่าจะต้องปกป้องนางไว้ตลอดไปในชีวิตนี้อย่างแน่นอน อีกสองพับสำหรับตัดชุดสวยงามให้ทุกคนในครอบครัว ตอนนี้ไก่ในบ้านยังไม่เพียงพอ ยิ่งเมื่อทำงานหนักก็ยิ่งรับรู้ความสำคัญของเนื้อสัตว์ แม้ได้กินเนื้อกระต่ายบ้างเพราะนับตั้งแต่บ้านฉีไปทำงานที่ตีนเขาก็ไม่มีชาวบ้านกล้าไปเดินดูกับดักของพวกเขาอีก แต่ถึงอย่างไรช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมาทั้งบ้านก็ทำงานหนักกันจริงๆ นอกจากสามคนที่เด็กกว่าผู้อื่น ผู้ชายทั้งบ้านล้วนแล้วแต่ลดน้ำหนักได้มากกว่าสี่จิน หมู่บ้านอยู่ใกล้เมืองยังมีข้อเสีย ไม่มีร้านขายเนื้อในหมู่บ้าน ดังนั้นจึงทำได้เพียงเลี้ยงไก่มากขึ้นเพื่อกินเนื้อและไข่เท่านั้น คราวนี้ฉีหรงกลับมาพร้อมไก่เต็มคันรถ เป็นที่สนใจของชาวบ้านอย่างยิ่ง เมื่อเข้ามาสอบถามก็รู้ว่าบ้านฉีลดน้ำหนักไปเยอะเพราะไม่เคยทำงานในทุ่งมาก่อน ดังนั้นฉีหยงจึงสั่งให้ซื้อไก่มาขุนคนทั้งบ้านก่อนเข้าฤดูเก็บเกี่ยวและต้องทำงานหนักอีกครั้ง คราวนี้ชาวบ้านแตกตื่นทันที ต้องรู้ว่าพวกเขาจะได้กินเนื้อเฉพาะเทศกาลสำคัญเท่านั้น โดยเฉพาะเนื้อไก่ หากเลือกได้ชาวบ้านมักจะเลี้ยงไก่ไว้กินไข่มากกว่า เด็กสาวในหมู่บ้านเริ่มเตรียมมองๆคนบ้านฉีที่อายุเท่าๆกับตนเองเอาไว้ เพราะอยากกลายเป็นลูกสะใภ้ของเศรษฐีในหมู่บ้าน แต่เรื่องนี้บ้านฉีไม่ได้สนใจ เนื่องจากมีคอกไก่รองรับอยู่แล้วจึงไม่เป็นอะไร คราวนี้บ้านฉีมีไข่กินคนละหนึ่งฟองทุกวันอย่างแน่นอน และมีอาหารจานเนื้อกินทุกๆสี่ห้าวัน ถือว่าอุดมสมบูรณ์มาก จนกระทั่งเดือนต่อมา จินถูกปลูกลงดินจนครบตั้งแต่ครึ่งเดือนแรก ครึ่งเดือนหลังหมดเวลาไปกับการสร้างบ้านและโกดัง บ้านฉีมีเวลาพักสิบวัน ก่อนจะเริ่มทำงานหนักอีกครั้ง ถึงอย่างนั้นระหว่างพักงานก็ยังไปทุ่งอยู่เสมอ แต่การเวียนกันนอนเฝ้าทุ่งได้เริ่มขึ้นหลังจากบ้านเสร็จสิ้น บ้านเล็กๆตีนเขามีหน้าต่างสองด้าน ประตูหันเข้าหาโกดัง นอกจากนี้เตียงยังดูดีทีเดียว มีเตาผิงเล็กๆเพื่อให้อยู่อาศัยได้ในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูใบไม้ผลิ ข้างบ้านยังมีเตาสำหรับทำอาหารกลางวัน บริเวณลานระหว่างบ้านกับโกดังมีโต๊ะไม้วางอยู่ ตรงนั้นมีต้นดอกกุ้ยซึ่งถูกฉีหรานแลกต้นกล้าออกมาปลูกเอาไว้ เป็นกล้าไม้ขนาดสองสามปีจึงสูงกว่าตัวคนแล้ว ด้านหลังบ้านเป็นลำธารที่ไหลผ่าน ลงไปด้านล่างเป็นทุ่งขนาดสิบกว่าหมู่ ครึ่งหนึ่งปลูกข้าวสาลีเพราะเป็นเพียงพื้นที่ไร่ ไม่ใช่ที่นา อีกครึ่งหนึ่งปลูกจิน เลยจากทุ่งไปสามารถมองเห็นถนนเส้นเล็กๆที่ผ่านตีนเขาได้ หากเดินตามถนนไปนิดเดียวเลี้ยวหัวโค้งก็เป็นภูเขาทางเหนือหลังบ้านแล้ว เรียกได้ว่าบ้านฉีเลือกสถานที่ได้พอดิบพอดีทั้งที่ไม่ได้วางแผนไว้ก่อน ต่อไปหากเช่าภูเขา ที่ตรงนี้จะอยู่ด้านข้างภูเขาอีกทางพอดี . ก่อนฤดูร้อนผ่านพ้นไป เสียงยินดีก็ดังขึ้นมาบ้านฉี เมื่อเซี่ยฉินที่แต่งงานเข้ามาได้เพียงสองเดือนกลับตั้งครรภ์แล้ว เช้าวันนั้นฉีหรานได้ยินเสียงพี่สะใภ้อาเจียนในครัวจึงเดินเข้าไปดู นางคุ้นเคยกับท่าทางเช่นนี้จึงนึกสงสัย เพราะในชีวิตก่อนก็เคยมีพี่สะใภ้มาก่อนแล้ว จึงรู้ว่าอาการอาเจียนยังสามารถเป็นสัญญาณการตั้งครรภ์ได้ด้วย “พี่สะใภ้ รู้สึกไม่สบายหรือเจ้าคะ” เซี่ยฉินเงยหน้าขึ้น ใบหน้านางซีดเซียว เพิ่งย้ายมาบ้านฉีได้ไม่ถึงสามเดือน ใบหน้างดงามกลับเริ่มมีน้ำมีนวล ผิวพรรณขาวขึ้นไม่น้อย ทำให้ความงามยิ่งงามกว่าเดิม ฉีหรานมองพี่สะใภ้จนเพลินตา ไม่แปลกใจเลยหากพี่ใหญ่จะชอบนาง คนก็สวยยังทำอาหารเก่งอีกต่างหาก นอกจากนี้ความขยันขันแข็งก็ไม่เป็นรอง ดีงามจริงๆ นิสัยยังดีอีกด้วย “อาหราน ข้ารู้สึกไม่ดีเล็กน้อยเมื่อตื่นขึ้น ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง” ว่าแล้วก็ใช้แขนเสื้อเช็ดมุมปากหลังบ้วนปาก ก่อนเดินไปหน้าเตา แต่ถูกน้องสาวหยุดไว้ก่อน “พี่สะใภ้ วันนี้ท่านพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ ไปอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่สักหน่อย” ฉีหรานยิ้ม และเริ่มทำอาหารเช้า ตอนนี้ยังเช้าตรู่ชายหนุ่มในบ้านยังไม่ตื่นแน่นอน ท่านพ่อก็ยังไม่ตื่นจึงไม่สามารถเข้าไปหาท่านแม่ได้ เซี่ยฉินทำอะไรไม่ได้นอกจากกลับไปนอนบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน ขณะเซี่ยฉินนอนเพลินๆ นางก็ถูกปลุกให้ไปกินอาหารเช้า รสมือของน้องสาวไม่ธรรมดา นางจึงไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกินของครอบครัวเลย ใครจะรู้ว่าหลังอาหาร ฉีหยงจะขอให้ฉีหรงเตรียมเกวียน “อาหรงวันนี้เจ้าเตรียมเกวียน พาลูกสะใภ้ไปหาหมอ” เซี่ยฉินได้ยินก็รีบปฏิเสธทันที “ท่านพ่อ ข้าไม่เป็นอะไรมาก ตอนนี้ได้พักผ่อนก็ดีขึ้นแล้ว” ถึงอย่างนั้นนางก็อดที่จะอบอุ่นใจไม่ได้ ดวงตาจึงเปียกชื้นขึ้นมาเล็กน้อย “ไปให้ท่านหมอดูหน่อยเถอะ” ฉีหนิงกล่าวกับลูกสะใภ้อย่างเมตตา แต่ยังมีความตื่นเต้นในใจ แน่นอนพ่อและแม่ฉีรู้เรื่องนี้จากฉีหรานแล้ว รอเพียงการยืนยันเท่านั้น ฉีหรงที่ไม่รู้ก็หันไปเกลี้ยกล่อมภรรยา “ฉินเอ๋อร์ไปพบหมอเถอะ หากพบเจออะไรจะได้แก้ไขได้ทันที สุขภาพสำคัญที่สุด” “ใช่พี่สะใภ้ ไปพบหมอก่อนเถิด เป็นอะไรก็ค่อยมาดูกันอีกที” เมื่อถูกคะยั้นคะยอมาก เซี่ยฉินก็ยอมแพ้ในที่สุด ขณะที่ฉีหรงอุ้มภรรยาขึ้นเกวียน ฉีหรานก็หยุดเขา ทำให้ทั้งสองเก้อเขินเมื่อฉีหรงยังอุ้มเซี่ยฉินไว้แนบอก ฉีหรานวิ่งเข้าห้องและหยิบหมอนออกมาใบหนึ่ง วางไว้บนเกวียนและให้พี่ชายวางพี่สะใภ้ลง ก่อนหาหมอนมารองไว้รอบๆอย่างดี “พี่ชายดูใส่ใจร่างกายพี่สะใภ้หน่อยเถอะ อย่าวิ่งเร็ว อย่าให้เกวียนกระเทือนมาก” “เข้าใจแล้ว ข้าจะระวัง เข้าเมืองครั้งนี้ต้องการอะไรหรือไม่” ฉีหรานครุ่นคิดก่อนสั่งซื้อสินค้าไม่มากยังวางเงินไว้สองตำลึงเงิน และมองพี่ชายขับเกวียนออกไป เกวียนเทียมวัวสองตัวมั่นคงกว่าตัวเดียวแน่นอน ผู้คนในหมู่บ้านล้วนมองตามด้วยความอิจฉา ฉีหรงจอดแวะรับผู้คนที่จะเข้าเมืองบ้างตามมารยาท แต่เพียงคนรู้จักไม่กี่คนเท่านั้นเพื่อไม่ให้เกวียนแออัดและเบียดภรรยา ผู้คนจึงไม่กล้าพูดอะไรมาก เมื่อมาถึงเมืองผู้คนก็แยกย้ายกันลงจากรถเกวียนทันที ฉีหรงจอดรถไว้หน้าประตูเมืองและเสียค่าดูแลสิบอีแปะ ก่อนเข้าเมืองไปตัวเปล่าพร้อมภรรยา เพราะท่านแม่ต้องตรวจสุขภาพจึงมีหมอประจำอยู่แล้ว โรงหมอแห่งนี้แม้เป็นเพียงโรงหมอเล็กๆ แต่หมอเฒ่าก็มีฝีมือทีเดียว เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้าน ฉีหรงพาภรรยามาถึงโรงหมอ รอเพียงครึ่งชั่วยามก็ถูกเรียกเข้าพบ วันนี้คนไข้มารอพบหมอมีมากกว่าปกติ ไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องรอนานปานนี้ เมื่อหมอเฒ่าจับชีพจรก็หัวเราะหุหุ แสดงความยินดีทันที “ยินดีด้วย นี่เป็นชีพจรมงคล ภรรยาเจ้ามีครรภ์แล้ว” ฉีหรงอ้าปากค้างจนแทบงับกรามไม่ได้ เขาอดไม่ได้จนต้องถามท่านหมออีกครั้ง “ท่านหมอ ว่าอย่างไรนะขอรับ” “เมียเจ้าท้องแล้ว เจ้าไม่ดีใจหรือเจ้าหนุ่มฉี” ใครใช้ให้ฉีหรงหัวแตกเมื่อไม่นาน หมอเฒ่าจึงจำเขาได้ “จริงหรือเจ้าคะ ท่านพี่...” เซี่ยฉินมองสามีอย่างตกตะลึง ก่อนน้ำตาไหลออกมา “ฉินเอ๋อร์ไม่ร้องๆ ดีหรือไม่เราจะมีลูกกันแล้ว” ฉีหรงเมื่อเห็นน้ำตาภรรยาก็หายตื่นเต้นทันที “ท่านหมอ เช่นนี้ข้าต้องทำอย่างไรบ้างขอรับ” ฉีหรงหันไปถามท่านหมอ ทำให้เซี่ยฉินกลับมาได้สติและตั้งตารอคำตอบเช่นกัน หมอเฒ่ามองพ่อแม่มือใหม่ก่อนจะมอบคำแนะนำดีดีให้มากมายเนื่องจากคุ้นเคยกันดี เขายังเขียนเทียบยาให้สองชนิดและคำเตือน “จำไว้ ช่วงสี่เดือนแรกอันตรายที่สุด อย่าให้ภรรยาทำงานหนัก ถือของหนัก ร่างกายเจ้ายังขาดพลังเล็กน้อย อาจเพราะทำงานหนักในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นช่วงนี้ระวังให้มาก ผ่านสี่เดือนไปได้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว” ฉีหรงจดคำพูดของท่านหมอไว้ในใจ วันนี้เขาพาภรรยาไปซื้อผ้าใหม่ให้นางตัดชุดเพื่อฉลองด้วยเงินส่วนตัว แม้หลังแต่งงานเซี่ยฉินจะเป็นคนเก็บเงิน แต่เงินก่อนหน้านี้เขาไม่ได้มอบให้ภรรยาจึงยังมีเก็บไว้บ้าง เซี่ยฉินยังเป็นภรรยาที่ดี ไม่ได้ข่มขู่เอาเงินทั้งหมดจากสามี ต้องรู้ว่ามีน้อยมากที่บ้านสามีจะยอมแบ่งเงินออกมาจำนวนมากเช่นนี้ ปกติแล้วเงินทั้งหมดมักอยู่ในกองกลางด้วยซ้ำ ดังนั้นนางจึงไม่ได้กดดันสามีมากนัก ฉีหรงยังพอใจในตัวภรรยามาก แต่งงานกันมาเกือบสามเดือนไม่มีข้อบกพร่องใดใดเลย ถึงจะหัวอ่อนไปบ้างแต่ก็สามารถพัฒนาได้ ต่อไปนางเป็นลูกสะใภ้คนโตต้องดูแลบ้านช่วยแม่สามีและน้องสาว หากอยู่ไปเรื่อยๆจะได้เรียนรู้จากท่านแม่และน้องสาวเขาเอง ฉีหรงคิดเช่นนั้นจึงอารมณ์ดีมากในวันนี้ เขาไม่ได้พาภรรยาเดินเที่ยวในเมืองมากเพราะกลัวว่านางจะเหนื่อย สุดท้ายจึงกลับบ้านด้วยมือที่เต็มไปด้วยข้าวของอีกครั้ง เพราะเกวียนมีของวางจึงไม่ได้รับใครกลับด้วย เมื่อกลับมาถึงบ้านฉีหรานก็เป็นคนแรกที่เข้ามาถาม “พี่ใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง” ฉีหรงเห็นเช่นนั้นก็เดาได้ว่าน้องสาวรู้อยู่แล้ว จึงพยักหน้าเบาๆ ขณะที่เซี่ยฉินเขินอายอยู่ข้างๆ ฉีหรานได้รับคำตอบที่พึงพอใจก็แย่งพยุงพี่สะใภ้เข้าไปในห้องหลักทันที ฉีหรงได้แต่ยืนหัวเราะเบาๆอยู่ตรงนั้น เขาไม่ได้เข้าไปหาพ่อแม่ทันที แต่ปลดเกวียนเทียมและพาวัวไปผูกไว้ในคอกก่อนจึงตามไปในห้องหลักด้วย วันนี้บ้านฉีจึงมีข่าวดีประกาศหลังมื้อเย็น ฉีหยงยืนขึ้นและหยิบน้ำหวานที่ฉีหรานชงขึ้นมา แจกจ่ายให้ลูกชายทุกคนคนละจอก “วันนี้เป็นวันดี พี่ชายและพี่สะใภ้เจ้าแต่งงานได้สองเดือนในที่สุดก็มีข่าวดีเสียที มาเถอะ ชนจอก” “ชนจอก” น้ำหวานที่ทำจากการต้นจินเคี่ยวกับน้ำตาล ทำให้ทุกคนรู้สึกอุ่นและหวานในอก พวกเขาจึงมีความสุขยิ่งขึ้นนอกจากรับรู้ข่าวดี เซี่ยฉินแม้จะเขินอายแต่ก็ยิ้มตลอดเวลา นางยังเคยสงสัยว่าตนเองอาจมีลูกยากเหมือนพี่สาวแล้วครอบครัวสามีจะรังเกียจ ใครจะรู้ว่าแต่งงานเพียงสองเดือนก็ป่องเสียแล้ว นั่นทำให้เซี่ยฉินกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับพี่สาว คนบ้านฉีไม่รู้ความกังวลของสะใภ้คนโต ฉีหรานกล่าวกับบิดา “ท่านพ่อ เช่นนี้บ้านเราจะเพียงพอหรือไม่ในภายภาคหน้ายังมีลูกชายของพี่รอง ลูกชายของพี่สามพี่สี่อีก” ฉีหยงก็ทำท่าคิดขึ้นมาเหมือนกัน คราแรกเพราะมีลูกชายเยอะเขาจึงสร้างบ้านหลังโต แต่ใครจะคิดว่าแค่นี้ยังไม่เพียงพอ หากลูกชายมีลูกชายอีกคนละคน บ้านก็ไม่พอให้อยู่อาศัยแล้ว “อาหรานคิดมากเกินไปแล้ว ยังอีกหลายปีกว่าจะถึงตอนนั้น ค่อยคิดกันอีกทีเถอะ” เมื่อถูกฉีหนิงเตือน ฉีหรานก็ยิ้มและเงียบไป แต่ในใจของนางและฉีหยงยังคงคิดเรื่องนี้ และฉีหนิงก็รู้ดี ใครใช้ให้ทั้งสองเป็นสามีและลูกของนางกันล่ะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD