บทที่10 บ้านเซี่ยโฉมใหม่
ในหมู่บ้านต้นท้อแห่งนี้ บ้านฉีถือว่ามีบ้านใหญ่โตและแข็งแรงที่สุด เหนือกว่าหัวหน้าหมู่บ้านด้วยซ้ำ แต่เพราะความทุกข์ยากในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากต้องดูแลถุงยาอย่างนางฉีหนิง ทำให้ชาวบ้านล้วนมองเห็นว่าพวกเขายากจนถึงเพียงใด
แต่ตอนนี้ทุกสิ่งเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่ครึ่งปีก่อน นับตั้งแต่ต้นฤดูใบไม้ผลิมา บ้านฉีก็เริ่มขยับทำอะไรที่มีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ ต่อมายังมีโอกาสได้ติดต่อค้าขายกับเครือข่ายทหารเกษียณของนายฉี ตอนนี้ถือว่าบ้านฉีถูกมองเป็นคหบดีเล็กๆในหมู่บ้านไปแล้ว
ทุกๆวันมักจะมีหญิงสาว หญิงม่ายเดินผ่านหน้าบ้านฉีบ่อยครั้ง บ้างมองเด็กหนุ่มบ้านฉีที่ยังโสด บ้างมองหาโอกาสจะสานสัมพันลับๆกับนายฉีหยง
เพราะเป็นยุคแห่งสงคราม มีหญิงหม้ายมากมายถูกทิ้งไว้ที่บ้านสามี ล้วนแล้วลำบากทุกหนแห่ง มีหญิงหม้ายบางกลุ่มที่ใช้รูปร่างหน้าตาที่ยังสะสวยเพื่อหากินอย่างลับๆ หรือขายตนเป็นอนุภรรยาของคหบดีหรือคนร่ำรวย
แม้ชาวบ้านจะเชื่อเรื่องผัวเดียวเมียเดียว แต่ก็ไม่ใช่ว่าบุรุษทุกคนจะซื่อสัตย์ หากมีของราคาถูกมาให้ลิ้มลอง ส่วนใหญ่ล้วนเลือกจะลิ้มลองแม้ต้องเสี่ยงโดนเมียแก่ที่บ้านทุบหัวก็ตามที
“ข้าจะเอาเลือดหัวเจ้าออก” เสียงคำรามลั่นหมู่บ้านดังขึ้นแต่เช้า
ฉีหรานจับแขนเสื้อพี่ชายคนรองเอาไว้เมื่อจู่ๆคู่สามีภรรยาก็ตีกันวิ่งหนีมาทางกลุ่มของพวกตน นี่คงเป็นอีกคู่ที่โดนแม่หม้ายนิสัยไม่ดีในหมู่บ้านปั่นหัวเป็นแน่
“อาหรานหลบก่อนเถอะ” ฉีเมิ่งพี่ชายคนที่สาม มีนิสัยชอบคิดในแง่ร้ายและขี้ระแวงรีบดึงน้องสาวให้พ้นทางคนตีกันทันที ขณะที่ฉีเล่อรู้ตัวรีบเอาร่างเข้าไปบังน้องสาวเอาไว้ ปล่อยให้ทั้งคู่วิ่งไล่ตามกันเข้าไปในหมู่บ้าน
ไม่นานหญิงสาวท่าทางลับๆล่อๆก็เดินออกมาจากชายป่า พอเห็นพี่น้องฉีก็รีบปิดหน้าวิ่งหนีไปทันที ฉีหรานครุ่นคิด นั่นเป็นมารดาของ ‘ฉินเยี่ยเอ๋อร์’ ที่โด่งดังนี่นา
จำได้ว่าสุดท้ายมารดาของฉินเยี่ยเอ๋อร์ หลังจากเล่นชู้กับผู้ชายไปทั่วก็ถูกเมียคนหนึ่งของผู้ชายที่นางไปยั่วยวนทุบจนหัวแบะ กลายเป็นข่าวใหญ่ทีเดียว แม้ไม่ตายตอนนั้นแต่ก็เจ็บป่วยติดเตียงให้บุตรสาวคนเล็กดูแลอยู่ครึ่งปีก่อนตายจากไป
ส่วนบุตรสาวคนโตมีนิสัยไม่ต่างจากผู้เป็นแม่ ดีกว่าตรงที่นางยังบริสุทธิ์จนไปต้องตาเ*******ูผู้หนึ่งในเมือง คนผู้นั้นพอมีอำนาจและเงินทองอยู่บ้างสุดท้ายจึงแต่งเป็นเมียคนที่ห้า ถามหาเมียคนก่อนๆไม่ถูกหย่าออกไปก็ถูกตีจนตาย อยู่กับตาเฒ่าเพียงครึ่งปีก็ตายจากไปเช่นกัน
ทิ้งฉินเยี่ยเอ๋อร์ผู้แข็งแกร่งเอาไว้ น่าเสียดายเพราะไม่มีครอบครัวหนุนนำ สุดท้ายจึงถูกบัณฑิตคนหนึ่งหลอกแต่งงาน หลอกให้ทำงานหนัก จนถึงขายสินเดิมส่งเขาเรียนจนจบ ด้านบัณฑิตหนุ่มไปสอบเป็นขุนนาง พอสอบติดกลับทิ้งฉินเยี่ยเอ๋อร์ไว้ที่บ้าน
ที่น่าแค้นใจมากกว่าคือ ครอบครัวบัณฑิตผู้นั้นวางแผนไว้อย่างดี พวกเขาให้นางดื่มยาที่ทำให้ไม่ตั้งครรภ์อยู่นานสองปีจนฉินเยี่ยเอ๋อร์กลายเป็นหมัน สุดท้ายฉินเยี่ยเอ๋อร์ทนความเจ็บปวดและเจ็บใจไม่ไหว ตกตายไปในปีที่ฉีหรานถูกแม่ลูกพาขึ้นเขาไปซ่อนพอดี
จำได้ว่าตอนนั้นฉินเยี่ยเอ๋อร์ยังใจดีมาชี้แนะให้นางรีบๆแต่งงานหนีจากมือแม่ลูกเซี่ย ทั้งยังมอบปิ่นหยกสมบัติชิ้นสุดท้ายให้นาง
‘พี่เยี่ยเอ๋อร์’ คือคำเรียกที่ฉีหรานใช้เรียกอีกฝ่าย
“พี่รอง ท่านจำฉินเยี่ยเมื่อชาติก่อนได้หรือไม่” ฉีหรานเดินเงียบมาตลอดทาง ก่อนถึงเขาตะวันตกไม่นานนางก็เอ่ยปากขึ้นมา
เมื่อวานท่านพ่อและพี่ห้านอนเฝ้าโกดัง พี่ใหญ่ถูกสั่งให้อยู่บ้านเพื่อดูแลภรรยาสามวัน ตอนนี้จึงมีเพียงฉีเล่อพี่รองเท่านั้นที่โตสุดในกลุ่ม
“ข้าไม่แน่ใจ…ข้าไม่ค่อยรู้จักพวกผู้หญิงนัก”
“ครั้งก่อนท่านแต่งกับหมิ่นฮวา จากหมู่บ้านต้นไผ่นี่ หากไม่รู้จักพวกผู้หญิงพี่ชายจะไปเจอผู้หญิงจากหมู่บ้านห่างไกลได้อย่างไร ท่านอย่าหลอกเด็กเลย” ฉีหรานยิ้มเจ้าเล่ห์มองพี่ชาย นางพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายมีความลับดำมืด คงเป็นคนเดียวที่เคยเที่ยวผู้หญิงในบ้าน
ฉีเล่อกลอกตาล่อกแล่กผิดปกติ เขาพยายามทบทวนความทรงจำ ก่อนเบิกตากว้างเล็กน้อย
“เจ้าหมายถึงฉินคนเล็กที่ปากจัดนั่นใช่มั้ย ให้ตายเถอะอาหราน ทำไมพี่ต้องจำนางได้ เจอหน้าทีไรก็เอาแต่ชี้นิ้วตัดสินข้า หืม…”
จู่ๆฉีเล่อก็มีความทรงจำหนึ่งผุดขึ้นมา เขาจำได้ว่าฉินเยี่ยผู้นั้นเคยมาเยี่ยมและนำข้าวมาส่งให้น้องสาวตนสองสามครั้ง เมื่อตอนที่นางถูกสั่งลงโทษ กักขังไว้ที่ห้องเก็บฟืนหลายรอบ
“แต่นางก็เป็นคนดี และเป็นสหายของเจ้าเมื่อครั้งก่อนใช่หรือไม่”
ฉีหรานพยักหน้าเบาๆ ฉินเยี่ยไม่ใช่สหาย แต่อาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้มีพระคุณ อาจเพราะนางยังเด็กมากซ้ำยังมีชีวิตที่ไม่ดี เมื่อบังเอิญพบฉินเยี่ยที่ท่าน้ำหมู่บ้านบ่อยๆเวลาไปซักผ้า อีกฝ่ายจึงให้เอ็นดู เพราะฉินเยี่ยไม่มีบุตร
เมื่อเทียบอายุแล้วฉินเยี่ยอายุน้อยกว่าพี่รองหนึ่งปี มากกว่าพี่สามหนึ่งปี หากฉีหรานอยากได้ใครเป็นพี่สะใภ้ก็คงต้องเป็นฉินเยี่ยคนนี้ …เพียงแต่…
ที่นางไม่เลือกฉินเยี่ยมาเป็นพี่สะใภ้คนโต เพราะครอบครัวของนางมีปัญหา หากผ่านปีนี้ไปได้ ฉินเยี่ยก็จะหลุดพ้นจากครอบครัวตัวปัญหาเสียที
ถามว่ารู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทำไมจึงไม่คิดช่วยนางฉินมารดาของฉินเยี่ย นั่นเพราะแม้ช่วยมาแล้วจะรับรองได้อย่างไรว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก ในเมื่อสุดท้ายนางฉินก็ยังไปเล่นชู้กับสามีชาวบ้านไปทั่ว ไม่คนใดก็คนหนึ่งต้องอยากตีนางจนหัวแบะอีกเป็นแน่ แม้ช่วยได้ครั้งหนึ่ง ก็ใช่ว่าจะช่วยได้ทุกครั้ง
นางคงต้องปรึกษาเรื่องนี้กับท่านพ่อ แม้ไม่สามารถรับเป็นพี่สะใภ้ได้ ก็ต้องการตอบแทนบุญคุณของพี่เยี่ยเอ๋อร์ หากมีท่านพ่อแนะนำนางย่อมได้สามีที่ดีกว่าชาติก่อนอย่างแน่นอน
“เจ้าถามหานางทำไมกัน เพราะเห็นนางฉินงั้นหรือ” ฉีเมิ่งถามน้องสาวอย่างสงสัย
“พี่สาม ท่านคิดว่าพี่เยี่ยเอ๋อร์เป็นยังไง” คราวนี้ฉีหรานหันไปถามพี่ชายคนที่สามของตัวเองบ้าง ฉีเมิ่งมีนิสัยขี้ระแวงและชอบคิดในแง่ร้ายเสมอ แต่แท้จริงแล้วเป็นคนมีสติปัญญาผู้หนึ่ง บ่อยครั้งที่บ้านสกุลฉีรอดพ้นจากอันตรายมาเพราะความขี้ระแวงของเขา
“ข้าไม่เคยเห็น เอาไว้เห็นแล้วจะบอก” ไม่แปลกที่ฉีเมิ่งจะตอบเช่นนี้ ในสายตาเขาตั้งแต่ชาติก่อนก็มีเพียงครอบครัว แม้จะแต่งงานมาแล้วแต่ก็ไม่มีบุตรสักคน
‘พี่สาม ท่านมันเป็นสามีที่ไม่ได้เรื่อง’ ฉีหรานลอบดุพี่ชายในใจ หากให้เลือกระหว่างตัวบกพร่องด้านอารมณ์อย่างพี่รอง กับตัวบกพร่องด้านการใช้ชีวิตอย่างพี่สาม นางขอเลือกพี่รองเป็นพี่เขยดีกว่า
เอ๊ะ…ทำไมมันจึงแปลกๆ ไม่ใช่นางเป็นน้องของฉีเล่อหรอกหรือ หึหึ
“ท่านพ่อ พี่ห้า” ฉีหรานโบกมือให้สองพ่อลูกในทุ่ง พวกเขาลงทุ่งแต่เช้า วันนี้เจ้า ‘อู่’ วัวตัวโตถูกจูงมาใช้งานที่เขาตะวันตก โดยเจ้า ‘ลิ่ว’ วัวอีกตัวต้องเฝ้าอยู่ที่บ้าน
ตอนนี้เห็ดป่าถูกส่งเข้าระบบทั้งหมดหากหาได้ เพราะฝนเว้นช่วงทำให้หาเห็ดได้น้อย ลำพังลูกค้าประจำในระบบแลกเปลี่ยนก็หาเห็ดมาไม่พอขายแล้ว จึงไม่ได้แบ่งไปขายในเมืองอีก
ส่วนจินก็เติบโตขึ้นอย่างงดงามนี่เพิ่งผ่านมาสามเดือนเท่านั้น เพียงแต่มันดูจะโตช้ากว่าที่ระบบบอก ตอนนี้เข้าเดือนที่สามแล้วยังไม่ถึงขนาดที่สามารถตัดใบและลำต้นไปขายได้เลย
ฉีหรานแยกกับพี่ชายไปเดินตรวจสวนจิน ระบบสันนิษฐานไว้ว่าพอเข้าใบไม้ร่วงจินพวกนี้จึงจะเติบโตอย่างพรวดพราด นางจะตัดใบมันไม่ทันด้วยซ้ำ อาจถึงขนาดต้องตากแห้งไว้ขายในฤดูหนาว เพราะจินชอบอากาศหนาวเย็น
และเมื่อเข้าใบไม้ผลิจึงจะสามารถขุดจินขายได้ จินต้นใบไม้ผลิเป็นช่วงที่มีสารอาหารสะสมไว้มากที่สุด ตามคำพูดของระบบ ซึ่งฉีหรานเชื่อทุกคำพูดของระบบ ในชีวิตนี้มีเพียงระบบที่นางไว้ใจอย่างเต็มที่
‘อีกเดือนเดียวก็เข้าใบไม้ร่วงแล้ว เดือนหน้าคงเริ่มตัดใบจินไปขาย และตัดต้นจินมาตากแห้งไว้ได้’
[ต้นจินยังสามารถนำไปตากแห้งบดผสมกับผงไม้หอมเพื่อทำเป็นกำยานจุดไล่ยุงได้ ข้าแอบนำสูตรทำมาฝากท่าน]
‘ขอบคุณมากนะระบบ’ ฉีหรานยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางกำลังคิดอยู่ว่าจะสามารถทำต้นจินไล่ยุงที่เคยคุยกับระบบได้ยังไง นางช่างโชคดีจริงๆที่มีระบบ
ตอนนี้บ้านฉีกำลังจะย้ายคอกไก่มาไว้ตีนเขาตะวันตก กำลังคนส่วนหนึ่งจึงถูกพาเข้าป่าไปตัดไม้ไผ่ คาดว่าคอกไก่จะสร้างเสร็จก่อนเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงอย่างแน่นอน
ครอบครัวฉีกลับบ้านไปกินข้าวเย็น และคืนนี้จะเป็นพี่ชายคนที่สองและสามที่เวียนไปนอนเฝ้าโกดังที่ตีนเขาตะวันตก การเวียนทำงานเช่นนี้ทุกคู่รับผิดชอบที่หนึ่งสัปดาห์ แล้วจึงเวียนไปคู่ใหม่
ฉีหรานที่ช่วงนี้ไปนอนเฝ้าท่านแม่ในห้องนอนหลัก จึงต้องถูกท่านพ่อไล่กลับห้องนอนเสียแล้ว
.
ในห้องนอนของพี่ชายคนโตฉีหรง เขากอดภรรยาไว้ด้านหลังหลวมๆ มองใบหน้ากังวลของนางด้วยความเป็นห่วง
“อาฉิน เจ้ากังวลอะไรบอกพี่ได้หรือไม่”
“พี่หรง ข้า…” เซี่ยฉินเม้มปากไว้เล็กน้อย นางเดินกลับไปนั่งลงบนเตียง โดยมีสามีคอยตามอยู่เคียงข้าง นางช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้แต่งงานกับฉีหรง อีกทั้งยังมีพ่อแม่สามีที่ดี
แต่ทำไมพี่สาวของนางที่อยู่กับพ่อแม่ของตน จึงไม่ได้รับการดูแลที่ดีเช่นนี้บ้าง คิดแล้วก็ยิ่งเศร้าในใจมากขึ้น
“เจ้ากังวลเรื่องบ้านเซี่ยอีกแล้วหรือ” หลังได้ข่าวว่าบุตรสาวท้อง แม่เซี่ยก็รีบเข้ามายินดีด้วยใบหน้าที่ไม่ดีนัก ทั้งยังพยายามถามเคล็ดวิธีของบุตรสาวคนเล็กเพื่อให้บุตรสาวคนโตนำไปใช้บ้าง
เซี่ยฉินกลับไม่สามารถตอบมารดาได้ เพราะนางไม่ได้ทำอะไรเลย แค่…ทำไปตามปกติ แต่แม่เซี่ยกลับกล่าวว่านางอกตัญญูลืมบุญคุณของพี่สาวและสกุลเซี่ย
นั่นทำให้เซี่ยฉินกังวลมากขึ้นไปอีก เพราะแต่เดิมเมื่อรู้ว่าตนเองตั้งครรภ์ นางก็คิดถึงพี่สาวอยู่เสมอ
“พี่หรง พี่สาวของข้านางเป็นคนดี ท่านพ่อท่านแม่ก็เพียงแค่กังวลที่นางไม่ตั้งครรภ์เสียทีเท่านั้น ท่านอย่าได้รังเกียจพวกเขาเลยนะเจ้าคะ”
“ข้าเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจเช่นกัน อาฉินเจ้าอาจมองว่าบ้านข้ามีลูกชายเยอะเพราะเป็นกรรมพันธุ์ แต่จริงๆแล้วเป็นเพราะท่านพ่อท่านแม่ขยัน…เอ่อ เอาเป็นว่า…ไม่ใช่อย่างที่คนคิดกัน” ฉีหรงเกาแก้มอย่างเขินอาย
แม้แต่งงานมาสองรอบแล้วแต่เขาก็ยังเขินอายต่อหน้าภรรยาคนนี้ กับภรรยาคนเดิมเหมือนทำไปตามหน้าที่ แต่กับเซี่ยฉินเขารู้สึกหัวใจเต้นแรงเวลาอยู่กับนาง นี่คือความรู้สึก ‘รัก’ เหมือนบิดามารดามีต่อกันใช่หรือไม่
“อาฉินเจ้าเห็นหรือไม่ ท่านแม่ป่วยหนักหลังคลอดน้องเจ็ด แม้บ้านเราจะเรียกน้องหก…นั่นเพราะนับตามเพศ แต่แท้จริงท่านแม่มีบุตรเจ็ดคนได้ก็เพราะสุขภาพแข็งแรงมากเมื่อยังสาว”
“แต่สุดท้ายนางก็ยังเจ็บป่วยหนักและอ่อนแอทรุดโทรมลงเรื่อยๆหลังคลอดน้องเจ็ด เจ้าเข้าใจหรือยังว่าการมีลูกสำหรับหญิงสาวไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนแรกข้ายังคิดว่าจะยังไม่มีบุตรในช่วงสองสามปีนี้ เพราะเกรงว่าจะกระทบสุขภาพของเจ้า”
เซี่ยฉินหยักหน้าด้วยความเขินอาย นางไม่เข้าใจมากนักว่าสามีทำอะไร แต่ฉีหรงรู้ตัวดี เขาเคยมีภรรยามาก่อนแล้วในชาติก่อนย่อมรู้วิธีคุมกำเนิดด้วยตนเอง เขาระมัดระวังแต่กลับเผลอไผลไปเสียหน่อยในคืนแรก
หากเซี่ยฉินคลอดบุตรคนนี้ออกมา ครั้งหน้าเขาคงต้องระวังกว่านี้ ไม่ใช่ไม่อยากมีลูก แต่ฉีหรงให้ความสำคัญกับสุขภาพของภรรยามากกว่า เขาอยากให้นางอยู่กับตนไปนานๆมากกว่าให้หญิงสาวหักโหมคลอดบุตรแล้วต้องล้มป่วยเหมือนมารดา
“แต่เด็กคนนี้ก็มาและข้ายินดีอย่างยิ่ง ท่านพ่อและท่านแม่ล้วนยินดี แต่ที่ข้าจะพูดคือตระกูลเซี่ยต้องใส่ใจสุขภาพพี่ภรรยามากกว่านี้ ท่านหมอยังบอกว่าร่างกายของอาฉินไม่สามารถทำงานหนักในช่วงสี่เดือนแรกนี้ได้ เช่นนั้นพี่ภรรยาที่ทำงานหนักมากจะมีบุตรได้ง่ายๆอย่างไรกัน”
เซี่ยฉินได้ยินอย่างนั้นก็มีสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนโดนสามีหยอกเย้าจนนางอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย
“อย่าคิดมากเลย หากเจ้ากังวลมาก พรุ่งนี้ข้าพาไปเยี่ยมท่านพ่อตา จะช่วยเกลี้ยกล่อมให้ท่านแม่ยายพาพี่ภรรยาไปหาหมอดีหรือไม่ จะได้รู้เสียทีว่ามีปัญหาอะไรกันแน่ทำให้นางไม่ตั้งครรภ์”
“ท่านแม่ไม่ยอมแน่” เซี่ยฉินก้มหน้าด้วยความลำบากใจ “พี่เขยแม้เกียจคร้านไปบ้าง แต่เขา…ไม่ได้ตั้งใจตีท่านจนเจ็บหนัก”
“ข้ารู้ แต่พี่ภรรยา เป็นพี่สาวของเจ้า ข้าไม่อาจปล่อยให้เจ้ากังวลได้ หากพี่น้องของข้าต้องเผชิญเรื่องราวเหมือนกัน ข้าย่อมกังวลใจอย่างมาก”
“พี่หรงจะให้น้องชายแต่งออกงั้นหรือ”
“ข้าหมายถึงอาหราน” ฉีหรงไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม แต่เมื่อมาอยู่ในบ้านฉี เซี่ยฉินก็ได้รู้ว่าน้องสาวของสามีถือว่าเป็นใหญ่ในบ้านทีเดียวแม้นางจะเด็กมากก็ตามที
อาหรานอายุน้อยกว่านางถึงเก้าปี อายุน้อยกว่าสามีนางอย่างฉีหรงถึงสิบปี ปีนี้ฉีเล่อน้องรองอายุสิบห้า ฉีเมิ่งน้องสามอายุสิบสาม ฉีมู่น้องสี่อายุสิบสอง ฉีปิงน้องห้าอายุสิบหนาว และฉีปั๋วน้องหกอายุห้าหนาวเท่านั้น แต่คนสกุลฉีกลับขยันขันแข็งกระทั่งน้องเล็กยังช่วยงานที่บ้านได้
“พี่หรงอย่าคิดมาก ท่านพ่ออาจเลือกให้น้องสาวแต่งสามีเข้าบ้านแทนที่”
“...” ฉีหรงไม่ตอบว่าต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว เขาปลอบภรรยาอีกหลายคำว่าพรุ่งนี้จะพานางกลับบ้านเดิมไปเยี่ยมพ่อตาเพื่อแจ้งข่าวดี และช่วยเหลือพี่สาวภรรยาอีกด้วย
บ้านฉีเงียบสงบในช่วงค่ำจนถึงเช้า เช้าจนถึงค่ำ อาจกล่าวได้ว่าบ้านฉีแม้มีคนอยู่มากแต่กลับไม่เคยมีเรื่องให้วุ่นวายปวดหัว ซ้ำยังปรองดองกันมากจนน่าแปลกใจ