วันต่อมา ฉีหรานเรียกฉีปั๋วและฉีปิงไปด้วยกันที่ริมแม่น้ำลำธาร จากนั้นก็พาพวกเขาขุดไส้เดือนมาเก็บไว้เป็นๆ ขณะก้มๆเงยๆเพื่อขุดดิน ฉีปิงก็อดที่จะถามไม่ได้
“อาหรานเราหาหนอนดินมากขนาดนี้ เจ้าจะตกปลากี่วันจึงหมด”
ฉีหรานส่ายหน้าทันที
“พี่ห้า นี่เป็นอาหารไก่” ระบบได้แนะนำอาหารเสริมของไก่ให้ ที่ดีที่สุดคือหนอนซึ่งอยู่ในสวนแต่ก็มีจำนวนน้อยนิดเกินไป ต่อมาระบบจึงบอกว่าดินในยุคนี้อุดมไปด้วยไส้เดือน หากนำมาเลี้ยงให้ขยายพันธุ์เร็วๆและให้เป็นอาหารไก่ก็ดี ขี้ไส้เดือนยังใช้เป็นปุ๋ยได้อีกด้วย
ฉีหรานจึงตัดสินใจเลี้ยงไส้เดือนทันทีตามคำแนะนำของระบบ ก่อนอื่นก็ต้องใช้ถังไม้ที่มีฝาปิดและเจาะรูตรงกลาง หญิงสาวได้ให้พี่ชายเตรียมไว้แล้ว มันยังถูกทาด้วยยางไม้ที่ระบบแนะนำว่าไส้เดือนไม่ชอบและจะไม่เจาะเนื้อไม้แน่นอน
จากนั้นก็เตรียมไส้เดือนเป็นๆ ส่วนอาหารคือใบไม้ใบหญ้าทุกชนิด เลี้ยงเพียงสองเดือนก็จะได้มูลไส้เดือนสำหรับเป็นปุ๋ยแล้ว ขณะที่ตัวไส้เดือนสามารถนำไปเป็นอาหารไก่ได้
“เช่นนั้นก็ขุดเยอะๆเถอะ”
เมื่อเด็กๆบ้านฉีหมอบอยู่รอบๆลำธาร ไม่นานพี่สะใภ้และผู้หญิงที่มาซักผ้าก็สงสัยว่าพวกเขาทำอะไรกัน หลังจากได้รับคำตอบพวกเขาก็ได้รู้ว่าบ้านฉีมีโรงเลี้ยงไก่แล้วตอนนี้
ต้องรู้ก่อนว่ายุคนี้ผู้คนยากจนมากเพราะภาษีมีราคาแพงเกินไปเนื่องจากบ้านเมืองยังอยู่ในภาวะสงคราม ในแต่ละหมู่บ้านนอกจากจะเคยมีฐานะมาก ส่วนใหญ่ไม่ได้เลี้ยงไก่เองแล้ว
ดังนั้นหลายวันถัดมาข่าวนี้จึงกระจายทั่วหมู่บ้าน มีพี่สะใภ้บางคนที่สนิทสนมกันมาถามเอาจากฉีหนิง หลังจากนั้นก็รู้ว่ามีไก่สาวสามตัว ไก่โต้งหนึ่งตัว และลูกเจี๊ยบเล็กๆอีกสิบกว่าตัว ครอบครัวฉีถูกมองในแง่ดีมากขึ้น ตอนนี้จึงมีแม่สื่อเริ่มเดินเหยียบประตูบ้านแล้ว
สองสามวันต่อมาฉีหยงตัดสินใจเด็ดขาด ส่งแม่สื่อไปยังบ้านของเซี่ยฉิน หมู่บ้านต้นท้อมีนามสกุลเซี่ยทั้งหมด มีเพียงคนที่ย้ายมาไม่ถึงสิบครอบครัวที่ไม่ใช่เซี่ยแต่เข้าร่วมปรองดองได้อย่างง่ายดาย
เมื่อบ้านของเซี่ยฉินรู้ก็ลังเลเล็กน้อย ยุคนี้วัฒนธรรมยังไปไกลมากจนระบบแปลกใจ ปรากฎว่าไม่ต้องพูดคุยกันเองก่อนหรือดูตัว แต่สามารถส่งแม่สื่อไปได้โดยตรง ยุคสมัยนี้คล้ายกับยุคที่หญิงสาวท่องสามเชื่อฟังสี่จรรยาในโลกที่ระบบจากมา
แต่ที่ต่างออกไปคือเด็กสาวไม่ได้ถูกจำกัดไว้ด้วยสามเชื่อฟังสี่จรรยา พวกนางมีอิสระไปไหนมาไหนได้ แต่ชื่อเสียงยังต้องรักษาเอาไว้ เด็กๆไม่ได้พบเจอหน้ากันเว้นแต่ฝ่ายชายหนุ่มไปช่วยงานบ้านสะใภ้หลังตกลงกันได้
เป็นผู้ใหญ่ที่พูดคุยทั้งหมด วันต่อมาหลังแม่สื่อมาที่ประตู นางเซี่ยก็แวะมาที่หน้าประตูบ้านฉี นางยังประหลาดใจเมื่อนางฉีหนิงพาไปดูโรงเลี้ยงไก่
“แม่ฉีนี่คืออะไรหรือ” นางเซี่ยมองถังไม้ใหญ่สองสามถังด้านข้างโรงเลี้ยงไก่ มันยังอยู่ใต้ชายคา นางคิดว่านี่อาจเป็นอาหารไก่ที่ครอบครัวฉีสะสมไว้
นางฉีเปิดฝาถังออกทันที เมื่อเห็นตัวหนอนสีชมพูยุบยับ นางเซี่ยก็เกือบกรีดร้อง
“กลัวตกใจตาย! นี่มันอะไรหรือนางฉี” นางเซี่ยพยายามทำตัวสงบหันไปถามนางฉี
“นี่เป็นลูกๆทำกันเล่นๆ เลี้ยงหนอนด้วยใบไม้บนภูเขาหลังบ้าน และเอาไว้เป็นอาหารเสริมของไก่” นางฉีไม่ได้พูดเรื่องใช้ขี้ไส้เดือนเป็นปุ๋ย มันยากที่จะเชื่อเกินไป ทุกๆวันลูกสาวต้องมารดน้ำให้ไส้เดือนเช้าเย็น นางยังแปลกใจแล้วแปลกใจอีก
“อาหารไก่หรือ ดีดีไม่เปลืองอาหาร แต่เราใช้หนอนในสวนไม่พอหรือ” นางเซี่ยมองสวนที่ค่อนข้างเขียวด้วยความอิจฉา เพราะบ้านฉีอยู่นอกหมู่บ้านเล็กน้อย จึงมีพื้นที่รอบๆมาก หากอยากขยายบ้านก็ไม่ยาก
บ้านฉีมีคนเยอะในอนาคตต้องขยายบ้านแน่นอนเมื่อมีหลานๆ นางเซี่ยเริ่มคิดถึงข้อดีในใจ สุดท้ายก็มองอดีตถุงยาอย่างนางฉีหนิงที่เป็นข้อเสียใหญ่ในบ้านฉี ก่อนจะตัดสินใจกลับไปพูดคุยกับครอบครัวก่อน
นางฉีหนิงยิ้มส่งเพื่อนบ้านที่อาจจะเป็นครอบครัวสะใภ้ในอนาคต หลังจากส่งแล้วจึงกลับไปนอนกลางวันเพราะรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย
ฉีหรานกลับมาในตอนเที่ยงทุกวันเพื่อให้อาหารและยาแก่มารดา ตอนนี้โจ๊กกลายเป็นอาหารประจำของนางฉีหนิงไปแล้ว ฉีหรานยังทำโจ๊กได้ดีขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายจึงใช้วิธีค้างหม้อเอาไว้ห่างจากไฟเล็กน้อยเพื่ออุ่นตลอดเวลาและโจ๊กไม่เสียแม้อยู่ตลอดทั้งวัน
เมื่อลูกสาวกลับมา ฉีหนิงก็เล่าเรื่องแม่เซี่ยให้ฟัง พร้อมกับบอกนาง
“ในเมื่อบ้านนั้นมาดูสภาพบ้านเราแล้ว เราก็ไปดูบ้านเขาบ้างเป็นไรไป หยิบไข่สองสามฟองแล้วไปในวันพรุ่งนี้”
“ท่านแม่ ข้าควรพาพี่ใหญ่ไปด้วยดีหรือไม่”
“ยังตกลงกันไม่ได้ ไม่ต้องพาไปจะดีกว่า” ฉีหนิงตอบอย่างไม่ต้องหยุดคิด เรื่องแต่งงานของหนุ่มสาวเป็นเรื่องของผู้ใหญ่จริงๆ ในยุคนี้ เว้นแต่ลูกชายจะมีอำนาจมากในบ้าน แต่ที่นี่เห็นได้ชัดว่าฉีหรงไม่มีอำนาจนั้น
“ตกลงข้าจะไปกับพี่ห้าและน้องหก อ้างว่าไปช่วยงานในสวนบ้านนั้นเล็กน้อยและกลับมาก่อนเที่ยง”
ฉีหรานทำเช่นนั้นจริงๆ นางไปที่ประตูบ้านเซี่ยเพื่อช่วยงานเล็กน้อย หากเป็นบ้านที่คุ้นเคยกัน การช่วยเหลือในสวนหลังบ้านเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นการไปเยี่ยมที่หน้าประตูจึงไม่แปลก
บ้านเซี่ยยังมอบขนมปังธัญพืชหยาบให้เด็กๆทั้งสามกลับบ้านสามก้อน เมื่อถึงตอนเย็นฉีหรานก็มีใบหน้าที่ไม่ดีนักกลับมา หลังอาหารพ่อและพี่ชายจึงถามเพราะรู้อยู่แล้วว่าฉีหรานไปบ้านว่าที่สะใภ้
“เกิดอะไรขึ้นอาหราน บ้านว่าที่สะใภ้ไม่ดีหรือ” ฉีหรงกังวลกว่าคนอื่น เพราะนี่เป็นงานแต่งของตน
“ไม่เจ้าค่ะพี่ใหญ่ เพียงแต่บ้านนั้นเป็นปิตาธิปไตยเกินไป ชอบลูกชายมากกว่าลูกสาวอย่างชัดเจน ปฏิบัติต่อลูกเขยให้เกียจคร้านขณะที่ลูกสาวทำงานหนัก ดีที่พี่เซี่ยที่สองกำลังพูดเรื่องแต่งงาน งานของนางจึงเบาลงบ้าง”
ฉีหรงได้ยินเช่นนั้นก็ไม่พอใจ เขาได้ยินข่าวมาบ้าง แต่เรื่องที่ฟังยังห่างไกลจากการที่น้องสาวเล่าให้ฟัง บ้านนั้นดูแลลูกชายเหมือนหมู ขณะที่ลูกสาวถูกใช้เป็นแรงงาน ไม่แปลกเลยที่ว่าที่ภรรยาของเขาจะมีผิวสีเข้มกว่าหญิงสาวคนอื่นๆเล็กน้อย
“ทำได้อย่างไร นั่นไม่ใช่ลูกแท้ๆของเขาหรือ” นางฉีหนิงไม่แน่ใจนัก นางไม่ได้ชอบลูกชายมากกว่าลูกสาว แถมยังปลูกฝังไม่ให้ลูกชายคิดอย่างนั้นและเผยแพร่ความเชื่อต่อไปให้ลูกหลานในอนาคตด้วย ดังนั้นจึงไม่เข้าใจคนที่ชอบเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง
“ลูกแท้ๆไม่เหมือนลูกเขย บ้านนั้นดูแลลูกเขยดีจริงๆ” ฉีหรานถอนหายใจ เริ่มพูดว่าพวกเขาดูแลแตกต่างอย่างไร ให้กินข้าวมากกว่า ทำงานน้อยกว่า ตากแดดน้อยกว่า กล่าวว่าทำงานใช้แรงมากพอแล้ว
บ้านฉีไม่เข้าใจ อย่างไรก็ตามมันส่งผลให้ฉีหยงและฉีหนิงตัดสินใจใหม่ ตอนนี้บ้านยังไม่มีทุ่ง ไม่จำเป็นต้องเลื่อนการแต่งงานไปหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยว หากตกลงกันได้ต้องหาฤกษ์ยามที่ดีที่สุด
ไม่มีใครเข้าใจบ้านเซี่ยหากพูดถึง บ้านพวกเขามีลูกสาวเพียงสองคน ยังแต่งเขยเข้าตระกูลได้จึงไม่เป็นปัญหาที่จะสืบทอดตระกูลเพราะเขยก็มาจากสกุลเซี่ยเช่นกัน พวกเขายังเฝ้ารอที่จะรับหลานคนแรก น่าเสียดายแต่งงานมาเกือบสามปีแล้วยังไม่มีวี่แวว จึงเริ่มที่จะขุนลูกเขยด้วยความเชื่อ
หากฉีหรานรู้ความคิดของบ้านเซี่ยนางคงหัวเราะจนฟันหักแน่ การมีลูกไม่ใช่เพียงดูแลสุขภาพของคนเดียว ที่สำคัญคือหญิงสาวต้องแข็งแรงด้วยเพื่อให้บุตรจำนวนมากขึ้น
มีคำกล่าวที่ว่าลูกดูดพลังชีวิตครึ่งหนึ่งของแม่เมื่อเกิดมา ไม่แปลกที่นางฉีหนิงซึ่งมีบุตรเจ็ดคนจะเริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ กระทั่งล้มลงที่สุด ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นๆเลย มีลูกแค่สี่ห้าคนก็มากพอแล้วในครอบครัว
ระบบยังกล่าวว่ามีลูกมากทำให้ผู้หญิงเสียสุขภาพจริงๆ เว้นแต่เป็นคนที่้แข็งแรงมากๆและมีพันธุกรรมเป็นแฝดจึงไม่มีปัญหาเท่าใดนัก แต่การท้องเด็กแฝดในสมัยนี้ก็รอดยาก ดังนั้นจึงใช้มุมมองของคนในยุคเทคโนโลยีไม่ได้