บทที่3 ดีขึ้น

2903 Words
บทที่3 ดีขึ้น เช้าวันต่อมา ฉีหรานก็ยังคงตื่นเช้าเป็นปกติ นางยังเตรียมต้มข้าวเพื่อละลายเป็นโจ๊กอีกครั้ง เพราะหญิงสาวมีประสบการณ์แล้ว เริ่มจากต้มน้ำจนเดือด ใส่ข้าวลงไปเหมือนต้มข้าวต้ม จากนั้นก็ใช้ช่วงเวลานี้เก็บเห็ดลงตะกร้า เมื่อหม้อเดือดก็รินน้ำออกแล้วเริ่มเคี่ยวโจ๊ก ทำอย่างนี้ดีกว่าไม่ต้องระวังข้าวติดหม้อตั้งแต่แรก ส่วนน้ำข้าวจะถูกใช้เป็นซุปถ้วยเล็กๆให้บิดา แม้ว่าฉีหรานจะโกรธพ่อของนาง แต่เขายังคงเป็นพ่อและลูกต้องกตัญญู ไม่ต้องพูดถึงความผิดของบิดาคือการละเลย ตอนนี้เขาไม่โดนนางเซี่ยหลอกอีกแล้ว ฉีหรานไม่ต้องกังวลว่าพ่อจะละเลยตัวเองอีก ต้องบอกว่าการพูดคุยเปิดอกกันเมื่อวันก่อนช่วยได้มากจริงๆ เมื่อได้ร้องไห้กับครอบครัว ทั้งครอบครัวก็กลับมาสนิทใจอีกครั้ง ถ้าวันไหนไม่ต้องเข้าเมืองการจัดวางกำลังคนจะเป็นสามต่อสี่ สามคนทำงานในทุ่ง สี่คนขึ้นเขา ในที่นี้ไม่ได้รวมฉีหรานในแรงงาน นางสามารถทำอะไรก็ได้อย่างอิสระ แน่นอนฉีหรานเลือกขึ้นเขาด้วย หลังอาหารเช้าก่อนเริ่มงานหญิงสาวยังได้สอนพี่ชายสานตุ๊กตาตัวเล็กๆทุกวัน พวกเขาเรียนรู้เร็วมาก และทึ่งที่น้องสาวออกแบบสัตว์เล็กๆได้มากมายจากการสานไม้ไผ่ บ่งบอกว่านางให้ความสำคัญกับงานนี้จริงๆ แน่นอนงานสานสัตว์ตัวเล็กๆยังไม่มีคำขอแลกเปลี่ยนจำนวนมาก ดังนั้นมันจะถูกขอให้สานเพียงวันละตัวเท่านั้น เหล่าพี่ชายไม่ถือว่าเป็นงานด้วยซ้ำ มาพูดถึงการแบ่งกำลังคนต่อ หากเป็นวันที่ต้องเข้าเมืองจะเป็นพี่ใหญ่กับพี่สามไป คนงานในทุ่งจะเป็นสองคนเสมอ พี่ห้าและหกจะขึ้นเขาเสมอ ส่วนพี่สองและพี่สามจะกลายเป็นแรงงานอิสระ หากวันไหนของจะขายเยอะก็ไปในเมือง ถ้าไม่ได้ไปในเมืองก็ทำงานที่ทุ่ง ตอนนี้ห้าและหกยังไม่เติบโตพอจะเวียนงานได้ จึงใช้แผนนี้ก่อนและจะเปลี่ยนแปลงในอนาคต ฉีหรานรู้สึกว่าแผนนี้ก็ใช้ได้ แต่อีกไม่เกินสองปีบ้านจะเริ่มขายข้าวได้แน่นอน จากนั้นทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนแปลงใหม่อีกครั้ง ตอนนั้นน้องคนที่หกก็ยังโตไม่พออยู่ดี ฉีหรานยังจำได้ว่าชีวิตก่อนหน้าน้องหกเรียนเก่งพอสมควร แต่หากเขาได้เรียนตั้งแต่ยังเด็กคงดีกว่านี้ เมื่อคิดได้ดังนั้นก็เริ่มวางแผนส่งน้องหกเข้าเรียน แน่นอนพี่ใหญ่เคยคิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่หลังจากท่านแม่เสียชีวิต ท่านพ่อก็ต้องหยิบเงินเก็บนั้นไปแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต่อมาก็เป็นพี่ใหญ่ที่ต้องแต่งงานก่อนอายุยี่สิบ ทำให้การเรียนของฉีปั๋วล่าช้าไปอีกหลายปีกระทั่งสิบสองหนาวถึงเข้าเรียนได้ ฉีหรานไม่ได้รีบร้อนขึ้นเขาไปพร้อมพี่น้อง นางหยิบเหง้าจินที่เหลือไปยังสวนหลังบ้าน มองหามุมดีๆและเริ่มปลูกจินเอาไว้ หากสามารถปลูกได้ อาจนำไปปลูกในไร่ของครอบครัวด้วย ฉีหรานยังต้องการให้พ่อและพี่ชายทำปุ๋ยคอกที่ระบบกล่าวถึง แต่ต้องใช้มูลไก่จำนวนหนึ่ง บ้านไม่ได้เลี้ยงไก่ในตอนนี้เรื่องนี้จึงต้องยกเลิกไปก่อน หญิงสาวจำได้ว่าบิดากำลังจะสร้างบ้านเล็กๆที่ตีนเขา ในพื้นที่รกร้างซึ่งพวกเขากำลังบุกเบิก ตรงนั้นสามารถสร้างเล้าไก่เพิ่มได้ แต่ตอนนี้เลี้ยงไก่ไว้ในลานหลังบ้านก่อนจะดีกว่า พอไก่มีมากค่อยย้ายไปบริเวณนั้น ฉีหรานปัดดินออกจากมือ มองสองสามหลุมที่ฝังเหง้าจินเอาไว้ หวังว่ามันจะเติบโตได้ดี นางยังหยิบไม้มาปักล้อมเอาไว้ เพื่อจะได้บอกไม่ให้พี่ชายรดน้ำมากเกินไป จินไม่ชอบน้ำเท่าไหร่ระบบบอกเช่นนั้น ทุกอย่างเรียบร้อย ฉีหรานเข้าไปคุยกับมารดาเล็กน้อย ก่อนจะหยิบเหลียงและตามพี่น้องขึ้นเขา พวกเขามักจะอยู่บริเวณตีนเขา เมื่อคำนวนจากช่วงเวลาฉีหรานก็คาดเดาจุดที่พวกเขาอยู่ ก่อนจะตะโกนเรียกพี่คนที่ห้า “พี่ห้า อยู่นี่หรือไม่” เรียกสองสามครั้งหากไม่ตอบกลับก็เดินต่อไป กระทั่งเดินไปครั้งที่สามจึงพบพี่ชายและน้องชาย ฉีหรานมองพวกเขา นอกจากพี่ห้าฉีปิงวันนี้ยังมีพี่สามฉีเมิ่งด้วย เขามักจะระมัดระวังแมลง พืช สัตว์ทุกตัวล้วนแต่มีพิษในสายตาเขา “พี่สามท่านไม่ได้อยู่บุกเบิกที่ดินหรือ” ฉีหรานถามขณะเก็บเห็ด วันนี้นางไม่ได้ให้ระบบสแกน ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ระบบยังช่วยชี้บอกจุดที่เกิดของหญ้าเลือด และหญ้าบางชนิดที่แลกเปลี่ยนได้แต้มเล็กๆน้อยๆ “ไม่ พรุ่งนี้พี่ใหญ่จะไปเมืองอีกครั้ง เห็ดที่เก็บเมื่อวานจะได้ไม่เสียเปล่า ท่านพ่อเห็นด้วยจะเปลี่ยนเข้าเมืองวันเว้นวันแทนที่” ปกติบ้านจะไม่ค่อยเข้าเมือง แต่เร็วๆนี้เนื่องจากฉีหรานไม่ได้ทำงานในบ้าน นางเก็บเห็ดได้มากเกินกิน ไม่แปลกที่จะนำไปขายในเมืองมากกว่าปล่อยให้มันเน่าเสียของ “พี่ใหญ่จะเข้าเมืองพรุ่งนี้หรือไม่” ฉีหรานนึกถึงราคาข้าวขาวในเมืองก่อนจะส่ายหน้า ตอนนี้บ้านยากจนเกินไป หากขายข้าวขาวจะเป็นเป้าสายตา นางตัดสินใจว่าจะรอก่อนอย่างใจเย็น บ้านฉียังคงบุกเบิกพื้นที่รกร้าง ปกติชาวบ้านน้อยคนที่จะไปแถวตีนเขาตะวันตก ดังนั้นกว่าจะรู้ว่าบ้านฉีบุกเบิกที่ดินก็ผ่านไปหลายวันแล้ว . ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์หลังจากมารดาเริ่มกินยาที่ลูกสาวนำมาให้ นางฉีหนิงรู้สึกหายใจง่ายขึ้นและแปลกใจมาก ถึงกับคิดว่าเป็นสัญญาณชีพก่อนตายด้วยซ้ำ ทำเอาฉีหรานร้องไห้งอแงออกมาทันที โชคดีคืนนั้นฉีหยงยังเกลี้ยกล่อมภรรยาได้ ว่าอาจเป็นเพราะเปลี่ยนยา ยานี้ดีฉีหรานต้องแลกเปลี่ยนด้วยไม้ไผ่สานจำนวนมากย่อมให้ผลดี สุดท้ายพวกเขาก็ไม่ซอกแซกเรื่องนั้น โดยเฉพาะเมื่อนางฉีหนิงถูกสามีเตือนทางสายตา ฉีหรานไม่ได้ต้องการปิดบังความลับจากมารดา แต่มารดาอ่อนแอเกินไปหากรู้อาจตกใจหรือดีใจเกินไปได้ ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ ดังนั้นจึงไม่ได้บอก ฉีหยงและคนอื่นๆก็คิดเช่นกัน ฉีหนิงรู้เสมอว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นแต่นางไม่ได้ถาม เร็วๆนี้บรรยากาศของบ้านอบอุ่นขึ้น ความกดดันบนบ่าของสามีลดลงอย่างเห็นได้ชัด ลูกสาวลูกชายดูเหมือนจะเติบโตขึ้นภายในคืนเดียว ทำให้ผู้เป็นแม่พอใจมาก เมื่ออารมณ์ดีและมั่นคง สุขภาพร่างกายก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเมื่อผ่านไปหนึ่งเดือน ฉีหนิงก็ตัดสินใจลงจากเตียงเป็นครั้งแรกในรอบสามปีนอกจากการขับถ่าย นางยังเดินไปได้ถึงหน้าประตูห้องโดยไม่หอบหายใจเหนื่อย แต่ก็ยังหลั่งเหงื่อออกมาเล็กน้อย สุดท้ายจึงนั่งลงข้างหน้าต่างและมองออกไปรอบๆด้วยความสนใจ อีกไม่นานคงสามารถเดินออกจากบ้านได้จริงๆ แค่คิดฉีหนิงก็มีความสุขแล้ว แน่นอนข่าวดีเช่นนี้ทำให้ทุกคนมีความสุข ตลอดเดือนที่ผ่านมาพ่อและลูกชายแบ่งเงินส่วนตัวตลอด ฉีหรงริเริ่มที่จะเรียกพี่น้องมา รวบรวมเงินเพื่อซื้อเนื้อชิ้นหนึ่ง ให้น้องสาวตุ๋นเปื่อยๆสำหรับฉลองกับมารดา ด้วยเหตุนี้บ้านฉีจึงเปิดโต๊ะทานอาหารในบ้านอีกครั้งหนึ่งในมื้อเย็นของวันนั้น ฉีหรานพึงพอใจมากที่ครอบครัวดำเนินไปเรียบง่ายเช่นนี้ ใครจะคิดว่าในหมู่บ้านจะมีข่าวลือแปลกๆออกมา ฉีเล่อที่กำลังกลับจากพื้นที่รกร้างพร้อมพ่อและน้องชายทุบตีชาวบ้านทันที “นางฉีกำลังจะตายหรือไม่ เมื่อวันก่อนข้าเห็นครอบครัวเตรียมอาหารมื้อสุดท้ายให้นางแล้ว” “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นอาหารมื้อสุดท้าย” “นั่นเพราะบ้านนี้ยากจนมาหลายปี วานนั้นกลับซื้อเนื้อชิ้นโต ไม่ใช่มื้อสุดท้ายแล้วจะเป็นอะไร” “ข้ายืนยันได้ วันนั้นข้าเดินผ่านบ้านฉีหลังกลับจากทุ่ง พบว่ามีกลิ่นเนื้อหอมฟุ้ง ดูเหมือนจะใส่จินลงไปด้วย หากไม่ใช่อาหารมื้อสุดท้ายเหตุใดจึงดีขนาดนั้นเล่า จินราคาตั้งเท่าไหร่ ชาวบ้านธรรมดายอมจ่ายได้ที่ไหนกัน” ทันใดนั้นฉีเล่อที่ผ่านมาก็หยิบไม้และไล่ตีผู้คนทันที ฉีหยงก็คว้าเขาไว้ไม่ทัน ปากของฉีเล่อยังกล่าวสบถมากมาย “ใครจะตาย แม่เจ้าสิตาย แม่ข้าดีขึ้นจึงฉลอง อาหารมื้อสุดท้ายของมารดาเจ้าสิ” กิตติศัพท์ความใจร้ายของฉีเล่อกระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็มีข่าวว่านางฉีจะตายจริงๆ เมื่อฉีมู่ทั้งร้องไห้ทั้งหยุดพี่ชาย ฉีเล่อยังน้ำตาไหลอาบหน้าเช่นกันเมื่อเห็นน้องชายร้องไห้ แต่เดิมบ้านฉียากจนที่สุดในหมู่บ้าน แต่เพราะเร็วๆนี้พวกเขากำลังบุกเบิกพื้นที่รกร้าง แม้ต้องจ่ายภาษีแต่ภาษีสองปีแรกจ่ายเพียงครึ่งเดียว แทบจะเป็นการละเว้นเมื่อเทียบกับอัตราปกติ ดังนั้นหญิงม่ายบางคนจึงต้องการแต่งงานเข้าตระกูลฉี เพราะอย่างน้อยก็มีพ่อที่แข็งแกร่งและลูกชายมากถึงหกคน เมื่อข่าวว่านางฉีกำลังจะล้ม และนายท่านฉีหยงต้องแต่งงานใหม่ดังขึ้นในหมู่บ้าน แม่ม่ายหลายคนก็เริ่มเดินผ่านประตูบ้านฉีมากขึ้น บ้างก็ไปที่ตีนเขาตะวันตกในตอนกลางวันโดยตรง แน่นอนหนึ่งในนั้นมีนางเซี่ยรวมอยู่ได้ แต่น่าแปลกที่นางเซี่ยมักจะพบเจอเรื่องราวให้อับอายโดยไม่ตั้งใจครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะตระกูลฉีหยุดข่าวลือไม่ได้ จึงได้แต่ปล่อยไป เขายังเคยเชิญให้หัวหน้าหมู่บ้านมาดูนางฉีหนิง แต่แม้หัวหน้าหมู่บ้านกลับไปพูดก็ไม่มีใครเชื่ออยู่ดี ด้วยเหตุนี้ฉีหรานจึงพบ ‘ว่าที่แม่เลี้ยง’ จำนวนหนึ่งบนท้องถนนทุกวัน ไม่ใช่แค่นาง แต่พี่ชายน้องชายล้วนแต่โดนหยุดไว้กลางทางและพูดคุยผูกมิตรทั้งสิ้น ฉีหรานไม่ได้สนใจเรื่องราว ในช่วงหลังมานี้แต้มหายากเกินไป พืชที่ตีนเขาไม่มีที่หายากอีกแล้ว นางต้องการเข้าไปลึกขึ้นแต่ก็รู้ว่าพ่อและพี่ชายจะไม่อนุญาต จึงได้แต่กลับไปอยู่บ้านและเรียนรู้งานเย็บปักกับมารดาเท่านั้น ฉีหรานยังดูแลบ้านมากขึ้น งานซักผ้าถูกรับกลับมาทำ พี่ชายและพ่อจะได้ไม่ถูกผู้หญิงและพี่สะใภ้ในหมู่บ้านหัวเราะเวลาไปซักผ้าที่ท่าน้ำ หญิงสาวยังคอยดูแลจินในสวนหลังบ้านเสมอ มันเติบโตได้ดีพอสมควร แต่ดูเหมือนจะโตช้าลงเมื่ออากาศเริ่มร้อน เลยสงสัยว่าจินชอบอากาศหนาวเย็นหรือไม่ แน่นอนระบบช่วยได้ มันตอบว่า [ใช่] ทันที โชคดีที่พื้นที่นี้มีอากาศหนาวเย็นเล็กน้อยตลอดปีแม้ในหน้าร้อนจึงสามารถปลูกจินได้ หากอยู่ในพื้นที่ที่ร้อนมาก จินจะไม่โตแน่นอน ฉีหรานยังได้รู้ราคาของจินหลังจากพี่ชายถามกลับมา จินสามารถขายได้ทั้งแบบแห้งและแบบสด ผู้คนในพื้นที่ร้อนกว่าต้องการแบบแห้ง ผู้คนในเมืองชอบใช้แบบสดมากกว่า และจินที่ใช้ตากแห้งต้องแก่แล้ว ส่วนจินที่กินในเมืองจะขายได้ทั้งต้นทั้งใบ เริ่มขายใบได้เมื่อจินอายุได้สองเดือน ใบจินก็เป็นที่ชื่นชอบมากในเมืองเช่นกัน ฉีหรานพบว่าเวลาเติบโตของจินมากกว่าที่ระบบบอกเล็กน้อย กว่าใบจินจะโตพอจะขายได้โดยไม่มีผลกระทบต่อการเจริญเติบก็ก็เกือบสี่เดือนแล้ว แต่นั่นเป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้เรื่องราวข่าวลือของบ้านฉีไม่เข้มข้นเท่าเดิม เมื่อนางฉีหนิงได้ยินข่าวนี้ในหู ครึ่งเดือนต่อมาหญิงสาวก็เดินไปนั่งที่หน้าประตูบ้าน มองผู้คนเดินผ่านไปมาและกล่าวทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ด้วยเหตุนี้หญิงม่ายทั้งหลายก็ไม่หน้าหนาพอจะไล่ตามฉีหยงอีกต่อไป พวกนางยังเข้าไปพูดถามวิธีการฟื้นตัวของนางฉีหนิง ก่อนจะรู้ว่ายาที่เปลี่ยนเทียบใหม่ได้ผลเท่านั้น รวมกับแรงใจที่จะอยู่รอด ทำให้นางฟื้นตัว ชาวบ้านจึงไม่พูดเรื่องนางฉีหนิงอีกต่อไป เพื่อนบ้านที่ดีบางคนยังนำไข่มาเยี่ยมและกล่าวแนะนำลูกสาวหลานสาวที่อายุพร้อมออกเรือนให้กับฉีหรง ฉีหนิงเพียงยิ้มรับ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่ชาวบ้านรู้อยู่ในใจ ในท้ายที่สุดฉีหนิงยังไม่ได้มองหาลูกสะใภ้ ฉีหยงจะรู้เรื่องผู้คนในหมู่บ้านและหมู่บ้านข้างเคียงมากกว่านางที่นอนป่วยมาหลายปี ปล่อยให้พ่อและลูกชายจัดการเรื่องสะใภ้คนโตก็ไม่เป็นไร ฉีหรานกลับไม่เห็นด้วย เมื่อเห็นชาวบ้านมาพูดคุยกับมารดา นางอยู่ข้างมารดาเสมอจึงเริ่มจดรายชื่อเหล่านั้นไว้ในใจ เย็นวันนั้นฉีหรานจึงแอบคุยกับบิดา สองพ่อลูกนั่งอยู่ท่าน้ำหลังบ้านและทำทีเป็นตกปลาขณะพูดคุยกัน “ท่านพ่อวันนี้มีชาวบ้านมาที่หน้าประตูและพูดคุยเรื่องพี่สะใภ้คนโตจำนวนหนึ่ง ข้าได้จดชื่อบางคนที่คุ้นเคยเอาไว้แล้ว คราวนี้เรามาดูกันเถอะว่าจะเลือกใครมาเป็นพี่สะใภ้คนโตดี” ฉีหยงเข้าใจและไม่ตำหนิลูกสาว ในฐานะน้องสาวนางไม่ควรยุ่งกับการแต่งงานของพี่ชาย พี่ชายคนโตก็เหมือนบิดา แต่ไม่ใช่สำหรับฉีหราน และฉีหยงก็มีความทรงจำจากชีวิตก่อนเช่นกัน “ว่ามาดูเถอะ” “พี่สะใภ้...” ฉีหรานเริ่มพูดถึงพี่สะใภ้ที่นางเคยได้ยิน มีทั้งคนที่ขยันแข็งแรงให้บุตรได้มากแต่มีนิสัยกินเยอะและทำอาหารไม่อร่อย หรือคนที่งดงามเรียบร้อยจัดการงานบ้านได้ดีแต่มีบุตรชายเพียงคนเดียว แต่ละคนล้วนมีข้อเสียของตัวเอง อย่างเช่นพี่สะใภ้คนหนึ่งในหมู่บ้านข้างเคียง สวย น่ารัก ทำอาหารอร่อย แต่มีบุตรยาก เพราะครอบครัวสามีมีลูกหลายคน จึงไม่ค่อยบำรุงนางตอนตั้งครรภ์ สุดท้ายผ่านไปเกือบสิบปีก็มีลูกสาวคนเดียว แต่ฉีหรานมองว่าเป็นผลมาจากขาดการดูแลที่ดี ส่วนอีกคนหนึ่งน่ารัก ทำอาหารได้ ขยันและซื่อสัตย์ แต่มีพี่น้องเยอะและครอบครัวก็ไม่ดีเท่าที่ควร บ้านฉีของนางจะค้าข้าวในอนาคตไม่ควรเป็นดองกับบ้านสะใภ้ที่มีนิสัยเห็นแก่ตัว ทั้งสองคนช่วยกันสรุปคนที่ฉีหรานจดมาออกมาเพียงสองคน นั่นคือคนที่นิสัยไม่มีปัญหา และครอบครัวไม่มีปัญหา ท้ายที่สุดแล้วบ้านฉียังต้องเจริญเติบโตไปมากกว่านี้ หากแต่งงานกับบ้านสะใภ้ที่ไม่ดี อาจมีปัญหาได้ ดังนั้นจึงมองไปถึงพื้นหลังของพวกนางด้วย จากห้าหกคนจดออกมาเพียงสองคน ในรุ่นน้องหญิงสาวรอบๆมีที่ดีที่สุดเพียงสองคนเท่านั้น ฉีหยงตั้งใจจะถามความชอบของบุตรชายเสียก่อน เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาประหยัดเงินค่ายาของภรรยาไปได้มาก บ้านฉีมีเงินเก็บมากขึ้น ไม่ลำบากอะไรหากต้องการแต่งงานในปีหน้า ตอนนี้ก็คุยกับบ้านสะใภ้เอาไว้ก่อน อย่างไรก็ยังเด็กกันมาก บ้านสามีที่ดีส่วนใหญ่แต่งลูกสะใภ้หลังช่วงยุ่งจากงานในทุ่ง หนึ่งคือมีอาหารมากมายมาเลี้ยงแขกเหรื่อ อีกเหตุผลเพราะเมตตาต่อสะใภ้ใหม่ในครอบครัว ไม่ใช่แต่งสะใภ้มาช่วยงานในครอบครัวอย่างเดียว ฉีหรานเห็นด้วยกับท่านพ่อเรื่องนี้ นางจึงปล่อยให้พ่อและพี่ชายจัดการด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตามหญิงสาวคุ้นเคยก็พี่สะใภ้และผู้หญิงในหมู่บ้านทุกรุ่นเนื่องจากการแต่งงานของพี่น้องในครอบครัว ดังนั้นจึงเสนอตัวเลือกให้บิดาเท่านั้นไม่ได้ช่วยเขาตัดสินใจ ไม่ถือว่าผิดประเพณี และไม่ได้รู้สึกผิดในใจ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD