บทที่11.1 วิกฤติ1

2433 Words
บทที่11 วิกฤติ (เดือน1-3ใบไม้ผลิ4-6ร้อน 7-8ใบไม้ร่วง 9-12หนาว ช่วงเวลาที่ย้อนมาคือต้นเดือน1) เข้าเดือนเจ็ด บ้านฉีรวมตัวกันตัดต้นและใบจินเพื่อส่งขายในเมืองรวมถึงร้านขายยา ส่วนหนึ่งถูกนำมาตากแห้งสำหรับให้ฉีหรานทดลองทำกำยานไล่แมลงที่นางได้สูตรจากระบบ ทั้งยังสามารถซื้อผงไม้หอมจากระบบได้อีกด้วย ความจริงไม้หอมมีราคาไม่น้อย ดังนั้นกำยานจึงเป็นของราคาแพงในยุคนี้ ขณะที่ในระบบใช้แต้มแลกไม่มากนัก ดังนั้นแม้ทำกำยานไล่ยุงออกมาก็คงยังขายไม่ได้ เพียงแต่ฉีหรานอยากลอง ‘แปรรูป’ ของที่มีในมือ และนำไปวางแลกเปลี่ยนในระบบดูเท่านั้น หากมีหนทางหาแต้มเพิ่มนางพร้อมจะทำ ตอนนี้บ้านฉีไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง ลำพังขายข้าวขาวก็พอมีกินมีใช้ไม่ลำบากแล้ว เป้าหมายสำคัญของพวกเขาจึงเป็นการหายามารักษาฉีหนิงผู้เป็นมารดาเท่านั้น ช่วงใบไม้ร่วงบ้านฉีจึงยุ่งอย่างมาก หลังจากสร้างโรงเรือนเลี้ยงไก่ไว้ที่ตีนเขาตะวันตก ก็ย้ายไก่ทั้งหมดไปไว้ที่นั่น รวมถึงสร้างโรงเรือนเลี้ยงไส้เดือนเพื่อนำปุ๋ยมูลไส้เดือนมาขุนดินตามคำแนะนำของระบบ ทำให้สิ่งก่อสร้างตีนเขาตะวันตกในเนื้อที่ของบ้านฉีมีเพิ่มขึ้น กระทั่งหัวหน้าหมู่บ้านยังต้องแวะมาดูในเช้าวันหนึ่งหลังช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงจบลง “ท่านฉี อย่าหาว่าข้าอยากรู้อยากเห็นเลย ท่านสร้างโรงเลี้ยงไก่ใหญ่โตถึงเพียงนี้ ข้าสนใจยิ่งนักจึงแวะมาดู” หัวหน้าหมู่บ้านมีสกุลเซี่ย เขามองไปรอบๆที่ดินอย่างแปลกใจ ไม่รู้มาก่อนเลยว่าที่ดินตีนเขาตะวันตกจะอุดมสมบูรณ์ถึงเพียงนี้ “หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวเกินไป เป็นเพียงกิจการเล็กๆของครอบครัวข้าเท่านั้น” ฉีหยงเดินแนะนำหัวหน้าหมู่บ้านง่ายๆ “ตรงนั้นเป็นกระท่อมไว้นอนเฝ้าทุ่ง ตรงนี้เป็นโกดังสำหรับเก็บข้าวที่สหายส่งมาค้าขายกับข้า ทางนี้เป็นโรงเรือนเลี้ยงไก่ และเลี้ยงไส้เดือน ไส้เดือนเป็นอาหารเสริมทำให้ไก่แข็งแรงอวบอ้วนมอบไข่ให้มากขึ้น” “ไส้เดือน หนอนดินพวกนี้ข้าเพิ่งรู้ว่าเลี้ยงได้เช่นกัน” “ข้าก็เพิ่งจะรู้ว่ามันดีก็ตอนที่ลองนี่แหละ ลองผิดลองถูกจึงรู้ ตอนนี้ก็ลองนำขี้หนอนดินไปโปรยในไร่ รู้สึกว่าดินจะดีขึ้นมากเมื่อทำเช่นนั้น หัวหน้าหมู่บ้านสามารถนำไปใช้ในหมู่บ้านได้” “จริงหรือ หากเป็นเรื่องจริงก็ถือเป็นเรื่องดี ทั้งได้อาหารไก่ ทั้งได้ไข่ แล้วยังได้ดินอุดมสมบูรณ์อีกต่างหาก” หัวหน้าหมู่บ้านไม่ได้เชื่อทั้งหมดแต่ก็รับคำไว้ก่อน “ข้าเองก็ลองผิดลองถูกมามาก บุตรสาวเห็นไก่จิกกินหนอนดินก็นำมันมาลองเลี้ยงดู พอเลี้ยงไปมันหนีก็นำยางไม้มาทา เลี้ยงไปแล้วตายก็เปลี่ยนอาหาร เลี้ยงได้ก็นำมาเลี้ยงไก่ ขี้หนอนดินตกลงบนดินไม่นานเห็นดินดูสมบูรณ์ยิ่งขึ้นก็นำมาลองใช้ขุนดิน ไม่คิดว่าจะใช้ได้ดีจริงๆ” “โอ้ ช่างเป็นสาวน้อยที่ช่างสังเกตเหลือเกิน” หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวชื่นชมหลายคำ ก่อนขอตัวกลับไป เรื่องที่นำไปเผยแพร่หรือไม่ ก็ต้องลองดูด้วยตนเองเสียก่อน จากนั้นอีกสองหรือสามปี การเลี้ยงไส้เดือนคู่กับไก่จึงแพร่หลายออกไป ชาวบ้านที่ทำตามล้วนมีความเป็นอยู่ดีขึ้น แม้ไม่ถึงกับร่ำรวยแต่ก็ไม่อดอยาก หลังส่งข้าวขาวเกวียนสุดท้าย ฉีหรงก็ซื้อเนื้อมาจำนวนมากตามคำสั่งของมารดา บ้านฉีเริ่มทำเนื้อตากแห้งเก็บไว้เป็นเสบียงในหน้าหนาว เกลือถูกใช้อย่างไม่ประหยัดเพราะสามารถแลกเปลี่ยนออกมาได้ในราคาถูกกว่าข้าวขาวเสียอีก เซี่ยฉินเห็นบ้านฉีใช้เกลือต่างน้ำเปล่าก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้พูดขัดแต่อย่างใด ตอนนี้อายุครรภ์ของนางเกินสี่เดือนแล้ว ต้องเข้าไปหาท่านหมอเฒ่าหลี่เมื่ออายุครรภ์ถึงห้าเดือนตามนัด ได้รับเทียบยาใหม่มาดื่ม ฉีหนิงยังไม่เลิกลงโทษสามีแต่ฉีหยงไม่มีท่าทีอย่างไรตามนิสัยของเขา เพียงเฝ้ารอให้ภรรยาหายโกรธเท่านั้น เพราะชาติก่อนเขามัวสนใจอย่างอื่นจนละเลยบุตรชายหญิงในบ้าน ปล่อยให้นางเซี่ยควบคุมและหลอกลวง ทำร้ายบุตรสาว สมควรแล้วที่ภรรยาจะโกรธ ฉีหรานยังคงเป็นลูกสาวคนโปรดของท่านแม่ เมื่อถึงรอบที่บิดาต้องไปนอนเฝ้าทุ่ง นางก็มักจะพาพี่สะใภ้ไปนอนเป็นเพื่อนมารดาจนพี่ใหญ่บ่นเป็นหมีกินผึ้งข้อหาแย่งภรรยาของเขาไป ต้นเดือนแปดบ้านฉีลงทุ่งอีกครั้งเพื่อเก็บเกี่ยวข้าวสาลี เข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงอย่างเต็มตัว ทุ่งข้าวสีทองถูกเก็บเกี่ยวอย่างช้าๆ ใช้เวลาเพียงสามวันข้าวก็หมดทุ่ง แต่งานยังไม่จบเท่านั้น เพราะไม่มีเครื่องโม่และสีข้าว จึงต้องเข็นเกวียนวัวไปในเมืองเพื่อแลกข้าวสาลีเป็นแป้งสาลีจากร้านธัญพืชใหญ่ๆ เนื่องจากรู้จักกับร้านธัญพืชอันดับสองในเมืองอยู่แล้ว บ้านฉีจึงไม่ต้องเร่หาแลกเปลี่ยนข้าวสาลีด้วยตนเอง ฉีหยงเปลี่ยนแป้งสาลีครึ่งหนึ่งเป็นแป้งขาว และขายให้ร้านค้าไปอีกครึ่ง ได้เงินมาก็นำไปซื้อผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์มาถนอมไว้กินช่วงฤดูหนาว บ้านฉีเตรียมรับมือกับหน้าหนาวไว้อย่างดี แต่เรื่องเหนือความคาดหมายมักเกิดขึ้นเสมอ ในค่ำคืนหนึ่งก่อนเข้าหน้าหนาวเต็มตัว ลมหนาวเริ่มพัดรุนแรงกระทั่งหญิงตั้งครรภ์อย่างเซี่ยฉินถูกห้ามไม่ให้ออกจากบ้าน แน่นอนว่าคนป่วยอย่างนางฉีหนิงเช่นกัน แค่กๆ! เสียงไอโขลกดังขึ้นต่อเนื่องจากฉีหรานรู้สึกผิดสังเกต นางรีบลุกจากเตียงจุดตะเกียงน้ำมัน และรีบมาดูมารดาที่อยู่ห้องด้านข้างทันที ก็อกๆ “ท่านพ่อ ข้าได้ยินเสียงท่านแม่ไอมากจึงมาดูหน่อย” “อาหราน ปลุกพี่ชายเจ้า เตรียมเกวียนเทียมเดี๋ยวนี้!” เสียงตะโกนจากในห้องทำให้ฉีหรานตัวแข็งทื่อ เสียงร้อนรนของบิดาทำให้ความกังวลที่เกาะกินจิตใจ ราวกับถูกกระตุ้น ตึก ตึก เสียงฝีเท้ามาจากอีกด้านพร้อมความวุ่นวายในบ้าน กลับไม่ทำให้สติของฉีหรานกลับคืนมา เมื่อประตูห้องเปิดออกพร้อมท่านพ่อที่อุ้มร่างของท่านแม่ผ่านหน้าไป ยิ่งตอกย้ำว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง จนกระทั่งรถเกวียนวิ่งออกจากบ้านไป ฉีหรานที่โดนลมหนาวพัดปะทะร่างจึงรู้สึกตัว “ท่านแม่ ฮือ~ ท่านแม่อย่าเป็นอะไรไปนะเจ้าคะ” ใบหน้าของฉีหรานซีดเผือด นางไม่รู้ตัวเลยว่าช่วงเวลาเกือบเค่อเมื่อครู่ตัวเองทำอะไรบ้าง รู้แค่ว่าเห็นบิดาห่อร่างมารดาด้วยผ้าห่มผืนหนา พาวิ่งออกมาที่เกวียน จากนั้นตัวนางก็กระโดดขึ้นมาบนเกวียนโดยไม่ฟังคำทัดทานของใคร “อาหนิง อาหนิง” ฉีหยงกระชับอ้อมกอดพลางกระซิบเรียกหญิงสาวในอ้อมแขน เขากลัวเหลือเกินเมื่อเห็นภรรยากระอักเลือดออกมาคำโต จู่ๆนางก็มีอาการชักหลังจากไอติดต่อกันนาน เขาตกใจแทบตายอยู่แล้ว “ระบบ ท่านแม่เป็นอะไร ระบบ” ฉีหรานตอนนี้แทบเสียสติไปแล้ว นางเผลอพูดถามออกมาโดยไม่ตั้งใจ [เจ้านายใจเย็นๆลงก่อน หากจะสแกนแบบละเอียดต้องใช้เวลาสิบชั่วโมง ตอนนี้เรื่องเร่งด่วน ดูเหมือนสัญญาณชีพของฉีหนิงไม่มั่นคงอย่างยิ่ง] “ฮือ~ ท่านแม่ ช่วยท่านแม่ด้วยระบบ ช่วยท่านแม่ด้วย” ใครจะคิดว่าเข้าหน้าหนาวไม่นาน นางฉีหนิงกลับอาการกำเริบเข้าขั้นวิกฤติอย่างที่ทุกคนไม่ทันตั้งตัว ถึงได้มีคำกล่าวว่าทุกอย่างล้วนไม่แน่นอน อะไรก็เกิดขึ้นได้ [ใจเย็นๆลงก่อน ถ้าจิตของท่านปิดกั้นอีกครั้ง เราจะติดต่อกันไม่ได้] ฉีหรานได้ยินคำเตือนของระบบก็รีบสงบใจลง แต่ยังสะอื้นสุดตัวจับผ้าห่มของมารดาไว้ราวกับเป็นที่พึ่งพิงสุดท้าย ‘รีบพูดมา ต้องทำยังไงถึงจะช่วยท่านแม่ได้’ ฉีหรานรู้สึกผิดอย่างมาก มารดาเพิ่งหยุดยาไปได้เพียงสัปดาห์เดียว เพราะมีแต้มไม่เพียงพอจะซื้อยาเพิ่ม แต่กลับทำให้อาการทรุดลงเช่นนี้ มันยิ่งทำให้นางรู้สึกผิด [มียาตัวหนึ่งที่สามารถช่วยได้ เพียงแต่…ท่านต้องการแลกหรือไม่] ‘แลกด้วยอะไร ข้ายอมแลกทั้งนั้นขอเพียงท่านแม่ไม่จากข้าไป’ [พืชล้ำค่าระดับสาม] ‘แลกด้วยพืชล้ำค่าระดับสามงั้นหรือ? ยาอะไรแลกด้วยพืชล้ำค่าระดับสาม’ [ไม่ใช่แลกด้วยพืชล้ำค่าระดับสาม แต่ระบบสามารถใช้พลังจากพืชระดับสามเพื่อช่วยชีวิตฉีหนิงได้ แต่จากอาการของนางตอนนี้ คาดว่ามีเวลาหาพืชระดับสามเพียงหนึ่งวันเท่านั้น] “ท่านพ่อ พืชล้ำค่าระดับสาม ต้องใช้พืชล้ำค่าระดับสามเจ้าค่ะ” “อาหราน พืชล้ำค่าระดับสามอะไร” ฉีหยงกล่าวถามเสียงเข้ม แต่เขารู้ว่าลูกสาวกำลังหาทางออกสำหรับเรื่องนี้ เขาเชื่อนาง ดูอย่างคราวนี้ภรรยาหยุดยาเพียงไม่นาน กลับอาการทรุดลงปานนี้แล้ว “ข้าต้องใช้พืชล้ำค่าระดับสามเพื่อช่วยท่านแม่ ท่านพ่อ หาพืชล้ำค่าระดับสามมาให้ข้าทีเจ้าค่ะ หาพืชล้ำค่าระดับสามมาช่วยท่านแม่” ฉีหรานพูดกลั้วสะอื้นแทบไม่เป็นคำ “อาหรานใจเย็นๆลงก่อน พืชล้ำค่าระดับสามคืออะไรกัน” ฉีหรงฉุดรั้งน้องสาวเข้ามาในอ้อมแขน เขาเห็นนางแทบเป็นบ้าแล้วให้ปวดใจนัก ดูเหมือนท่านแม่จะเป็นสิ่งเดียวที่ยึดรั้งนางเอาไว้จริงๆ จะโทษใครก็ไม่ได้ ชาติที่แล้วพวกเขาทำร้ายน้องสาวมามาก หากนางจะวางใจใครสักคนก็คงมีเพียงท่านแม่เท่านั้น หรือบางทีฉีหรานคงรู้อยู่แก่ใจ ว่าการที่ท่านแม่มีชีวิตอยู่ต่อไปทำให้ครอบครัวฉียังเป็นครอบครัว และนางหวงแหนความอบอุ่นในตอนนี้ จนไม่อยากเสียท่านแม่ไป เพราะกลัวว่าครอบครัวจะกลับไปอีหรอบเดิม “ข้าต้องเข้าป่า ข้าต้องหาพืชล้ำค่าด้วยตัวเอง พี่ใหญ่ปล่อยข้า ข้าจะเข้าป่าหาพืชล้ำค่าระดับสามมาช่วยท่านแม่ พี่ใหญ่ปล่อยข้า!” เพี๊ยะ! เสียงฝ่ามือปะทะใบหน้าดังขึ้น ฉีหยงตีเบาๆที่หน้าผากลูกสาว แต่มันก็ทำให้กลายเป็นรอยแดงได้เพราะน้ำหนักมือเขาไม่เบาเลย แต่ก็ช่วยได้มาก ฉีหรานกลับมามีสติอีกครั้ง “อาหรานเจ็บมากมั้ย ท่านพ่อท่านตีน้องสาว!” ฉีเล่อที่ได้ยินเสียงตบตีกันหันกลับไปมอง เห็นน้องสาวหน้าผากแดงผ่านแสงตะเกียงก็โวยวายออกมาทันที “อาเล่อเงียบก่อน อาหรานเจ้าบอกว่าอะไรช่วยท่านแม่ได้ ค่อยๆอธิบายได้หรือไม่ ทำไมมันมืดจังเลย” ฉีหรงดุน้องชาย ตวัดสายตาไม่พอใจส่งให้บิดา ก่อนหยิบตะเกียงมาส่องหน้าผากน้องสาวดีดีเมื่อเห็นรอยแดงจึงใช้นิ้วมือลูบเบาๆ “ท่านพ่อขอบคุณที่เรียกสติข้า” ฉีหรานไม่ได้โกรธ กลับกันนางรู้ดีว่าตัวเองสติแตกไปแล้ว แม้จะได้ระบบรั้งสติกลับมาบ้าง แต่ก็ไม่ทั้งหมด ตอนนี้นางยังกลัวจนตัวสั่นแต่ก็มีสติมากขึ้น “พืชล้ำค่าระดับสาม เป็นพืชที่มีค่าความล้ำค่ามากกว่าสามสิบเปอร์เซ็นต์…สามส่วนสิบ ซึ่งในชาติก่อนข้าพบเพียงต้นเดียว ท่านพ่อเรายังมีหวัง เพียงแต่ข้าต้องไปหาพืชชนิดนั้นมาให้ได้” “อาหราน พืชชนิดนั้นอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ อาการแม่เจ้าเป็นถึงเพียงนี้…” ฉีหยงตาแดงก่ำมองภรรยาในอ้อมแขน เขาไม่อยากยอมแพ้และโทษตนเองที่ไม่สามารถหาของมาแลกเปลี่ยนยาให้นางได้ “ข้าจำได้ พืชชนิดนั้นข้าเคยเก็บได้แล้วครั้งหนึ่งเมื่อชาติก่อน ท่านพ่อข้าจะพาพี่ชายเข้าป่า ท่านต้องดูแลท่านแม่ให้ดี” “ข้าจะไปด้วย ฉีหรง ฉีเล่อ ฉีเมิ่ง ไปกับพ่อ ฉีมู่เจ้ามาบังคับเกวียนเทียมแทนพี่รอง ฉีปิงเจ้าดูแลแม่ให้ดี ฉีปั๋วเจ้าช่วยพี่ชายทั้งสองคนของเจ้าด้วย ข้าฝากมารดาของพวกเจ้าด้วย” ฉีหยงวางร่างของภรรยาลงบนพื้นเกวียน ท่าทางของเขาคล้ายทำใจไม่ได้ที่ต้องจากนางไปตอนนี้ แต่จะปล่อยให้ลูกสาวลูกชายเข้าป่าเพียงลำพังไม่ได้ “อาเล่อหยุดเกวียน ทุกคนกลับบ้านกับข้าก่อน อามู่เจ้าต้องดูแลมารดาและน้องๆให้ดี นี่เงินเก็บทั้งหมดของบ้านเราพ่อฝากไว้ที่อาปั๋ว ส่งแม่พวกเจ้าให้ถึงมือของหมอเฒ่า บอกว่าพ่อออกไปหาสมุนไพรล้ำค่ามาช่วยชีวิตนาง” “ขอรับท่านพ่อ” เด็กๆสามคนที่เหลือรับคำหนักแน่น เมื่อทุกคนลงจากเกวียนแล้ว ฉีมู่พี่คนที่สี่จึงบังคับเกวียนเทียมให้เดินทางต่อไป มุ่งหน้าเข้าเมือง คาดว่าไปถึงเมืองคงรุ่งเช้าพอดี ฉีหยงพยักหน้าให้ลูกชายคนโต “พี่ใหญ่ข้าเดินเอง” “เจ้ายังต้องเดินอีกมาก ตอนนี้ก็ขี่หลังพี่ใหญ่ไปก่อนเถอะ” ฉีหรงปฏิเสธ ทำให้ฉีหรานต้องขี่หลังพี่ชายไปจนถึงบ้าน ทุกคนเตรียมอุปกรณ์อย่างรวดเร็ว มัดขากางเกงอย่างระมัดระวังเพราะไม่รู้ว่าต้องเข้าป่าลึกแค่ไหน นอกจากนี้แต่ละคนยังถืออาวุธคนละชิ้นสองชิ้น โชคดีที่บ้านฉีดีขึ้นในปีที่ผ่านมา พอมีเงินฉีหยงก็ไปสั่งซื้ออาวุธมาไว้ป้องกันตัวเองทันที ยังดีที่ได้ปลายหอกมาต่อด้ามไม้ด้วยตัวเอง สามารถใช้ป้องกันตัวได้หากเจอสัตว์ใหญ่ในป่า
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD