ภายในรถที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่บนท้องถนนด้วยความเร็ว หลังพวงมาลัยมีผู้ชายตัวโตเป็นคนขับ ใบหน้าหล่อเหลาแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มอย่างอารมณ์ดี อีกทั้งยังอ้าปากขยับคลอไปกับเสียงเพลงที่เปิดอยู่ในรถ
จะไม่ให้อารมณ์ดีได้อย่างไร ก็ในเมื่อสิ่งที่อยากทำมีพ่อสนับสนุนอย่างเต็มที่ งานนี้ก็ได้เดินหน้าต่อโดยที่ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น
สายตาคมเหลือบมองนาฬิกาบอกเวลาบนหน้าปัดรถ ตอนนี้เพิ่งจะเที่ยงนิด ๆ แล้วความคิดดี ๆ ก็วิ่งเข้ามาในหัว รถคู่ใจถูกเร่งความเร็วมากขึ้นเพื่อจะไปถึงคอนโดให้เร็วที่สุด ป่านนี้ยัยตัวแสบของเขาน่าจะตื่นนอนแล้ว
มาถึงคอนโดสองเท้าก็ก้าวเดินอย่างเร่งรีบจนมาถึงห้องของตัวเองในที่สุด เมื่อเปิดประตูเข้ามาด้านในก็เห็นเชอร์รีลนั่งกินขนมดูรายการโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่นพอดี
“เชอร์ ตื่นนานหรือยังครับ” เวคาเดินเข้ามาพร้อมกับโน้มตัวลงกอดเธอจากทางด้านหลัง จมูกคมกดลงบนแก้มเนียนสองข้างไปมาจนอีกฝ่ายต้องเอี้ยวตัวหลบ
“เว เป็นอะไรเนี่ย ทำหน้าแปลก ๆ” เธอเอ่ยถามเมื่อหันกลับมามอง แล้วเห็นผู้ชายตัวโตเอาแต่ยิ้มหน้าบานยิ่งกว่าจานดาวเทียมเสียอีก
“เปล่า ไม่ได้เป็นอะไรแค่อารมณ์ดีน่ะ”
“อารมณ์ดี? เมื่อเช้าบอกเชอร์ว่าพ่อเรียกไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงอารมณ์ดีขนาดนี้ล่ะ” เท่าที่จำได้ตั้งแต่คบกับเขามา หากเวคาถูกพ่อเรียกตัวกะทันหันส่วนมากก็จะเป็นเพราะมีงานด่วน ซึ่งแต่ละงานก็ล้วนแต่เคร่งเครียดทั้งนั้น ไม่เคยเห็นจะกลับมาอารมณ์ดีแบบนี้มาก่อน
“อื้ม เพราะพ่อเรียกตัวด่วนนี่แหละก็เลยอารมณ์ดี” เขาตอบกลับในขณะที่ใบหน้าหล่อเหลายังระบายด้วยรอยยิ้ม
“เชอร์ ไปเปลี่ยนชุดเร็ว”
“เปลี่ยนชุด? เปลี่ยนทำไมอะเว” เชอร์รีลถามกลับอย่างสงสัย หัวคิ้วย่นเข้าหากัน ยิ่งเขาพูดก็ยิ่งไม่เข้าใจ “ชุดนี้ก็ไม่ได้แปลกอะไรนี่”
คนตัวโตอ้อมเดินอ้อมโซฟามานั่งลงข้างกัน นัยน์ตาคมจ้องมองไม่กะพริบ “ไปเดตกันไหม”
“เดต?” ตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงตอนที่ยังไม่ทะเลากัน ถึงเขาจะชอบตามใจเธอขนาดไหน เรื่องเดตน้อยครั้งมากที่เวคาจะชวน มีไปเที่ยวกันบ้าง ไปซื้อของกันบ่อย แต่ให้เจาะจงไปเดตกันแบบจริงจังทีไรเขามักจะไม่อยากไปทุกที
ส่วนเหตุผลนั้นก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก คงเป็นเพราะเวคาไม่ชอบความวุ่นวายล่ะมั้ง ด้วยทั้งงานและสิ่งที่ตัวเองเป็นมันทำให้ไม่อยากอยู่ในที่ที่คนพลุกพล่านสักเท่าไหร่
“เราไม่ได้ไปเดตกันนานแล้วนะ ไหน ๆ วันนี้เชอร์ก็ว่าง เวก็ว่าง ไปเดตกันสักหน่อยก็ดีไม่ใช่เหรอ”
เชอร์รีลยังคงอึ้งกับคำตอบของอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะอารมณ์ดีจนผิดปกติไปแล้วจริง ๆ
“เวแน่ใจนะว่าตัวเองสบายดี” เธอถามย้ำอีกครั้ง พร้อมกับเอาหลังมือแตะลงบนหน้าผากของเขา
“แน่ใจสิเชอร์ ไปเร็วไปเปลี่ยนชุด เดี๋ยวเวพาไปที่สนุก ๆ”
คนตัวเล็กถูกดึงให้ลุกขึ้นแล้วลากเข้าไปในห้องนอนทันที เวคาเปิดตู้เสื้อผ้าออก ยืนอยู่ตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบชุดออกมาทาบกับตัวเธอ
“เวว่าเชอร์ใส่ชุดนี้น่าจะโอเค” เขามองดูชุดเสื้อยืดสีขาวที่มีลายรูปหัวใจน่ารักคู่กับกางเกงขาสั้นที่ไม่สั้นมาจนเกินไป แล้วก็พยักหน้าตามไปด้วย ราวกับกำลังบอกว่าความคิดของตัวเองนั้นถูกต้องแล้ว
“แล้วเวจะพาเชอร์ไปไหน” เชอร์รีลรับชุดมาจากเขาพร้อมกับเอ่ยถาม แต่อีกฝ่ายก็เอาแต่ยิ้มอย่างเดียวไม่ยอมตอบอะไรออกมา ยิ่งเขาทำแบบนี้ก็ยิ่งทำให้สงสัยเข้าไปใหญ่
“เดี๋ยวก็รู้เองครับ เปลี่ยนชุดก่อนเชอร์ เร็ว”
นอกจากไม่ตอบเขายังคะยั้นคะยอให้เธอรีบเปลี่ยนชุด ซึ่งเชอร์รีลก็ไม่อยากขัดใจ ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก็เปลี่ยนเป็นชุดใหม่เรียบร้อย
“เราแวะกินข้าวกันก่อนนะ เชอร์ยังไม่ได้กินอะไรใช่ไหมตั้งแต่เช้า” เวคาพูดขึ้นขณะที่จูงมือคนตัวเล็กเดินออกมาทางประตู ก่อนที่จะหยุดอยู่ตรงตู้เก็บรองเท้า
เขาเปิดตู้ออกแล้วไล่สายตามองเข้าไปด้านในแล้วหยิบรองเท้าผ้าใบสีขาวออกมา “เชอร์ใส่คู่นี้นะ เข้ากับชุดมากเลย”
รองเท้าผ้าใบถูกวางลงบนพื้น ตามด้วยคนตัวโตที่ย่อลงนั่งข้างหน้าเธอ
“เวจะทำอะไรน่ะ”
“ก็ใส่รองเท้าให้เชอร์ไง ไม่ได้ทำให้ตั้งนานแล้ว อยากทำให้เหมือนแต่ก่อน” เขาพูดพลางใช้มือประคองเท้าเรียวเล็กขึ้นมาแล้วสวมรองเท้าให้ทีละข้างอย่างเบามือ
เชอร์รีลมองภาพนั้นพลันน้ำตาก็เอ่อคลอ ทั้งที่เขารักเธอมากขนาดนี้ ไม่เคยทำให้เสียใจเลยสักครั้ง ทำไมถึงได้กล้าบอกเลิกทั้งที่ยังไม่ลองหาทางออกอื่น ‘เห็นแก่ตัวจัง’
“เชอร์ เป็นอะไร” เวคาเอ่ยถามอย่างตกใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมามองแล้วเห็นเธอร้องไห้อยู่ แม้จะเป็นการร้องไห้เพียงเบา ๆ แต่ด้วยความที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงทำให้เขาลุกขึ้นยืนแล้วรีบเกลี่ยเช็ดหยดน้ำตาให้อย่างเป็นห่วง
“เปล่า” เธอรีบปฏิเสธ “เชอร์แค่กำลังคิดว่าตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัวมากเลยที่บอกเลิกเวไปแบบนั้น ทั้งที่ยังไม่ได้ช่วยกันคิดหาทางออกเลยด้วยซ้ำ”
แค่เพราะกลัวว่าผู้เป็นพ่อจะเสียใจ มันจึงทำให้เธอลืมคิดไปว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าตอนนี้ก็ไม่ได้ผิดอะไรเหมือนกัน เขาไม่สมควรที่จะต้องเสียใจ
“ไม่คิดมากนะเชอร์ เวบอกแล้วไงว่าจะจัดการปัญหานี้เอง ยังไงพ่อของเชอร์ก็ต้องยอมให้เราสองคนได้คบกันต่อแน่ ไม่ต้องคิดมากแล้วนะ”
ฝ่ามือหนาวางลงศีรษะทุยแล้วจับโยกไปมาอย่างเอ็นดู
“เวรักเชอร์ ยังไงก็ไม่ยอมเลิกหรอก จะแต่งงานกับเชอร์”
คำพูดประโยคสุดท้ายทำเอาแก้มสาวแดงปลั่งขึ้นมาเสียดื้อ ๆ เวคาเคยพูดเรื่องนี้กับเธอบ่อย ๆ ตั้งแต่ยังไม่จบ มอ.ปลายด้วยซ้ำ ทีแรกก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะจริงจังขนาดนี้ แต่ผ่านมาสี่ปีแล้วที่คบกัน เวคายังเหมือนเดิมทุกอย่างไม่เคยเปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว
“ถ้าอย่างนั้น...เชอร์ให้พ่อเรียกสินสอดแพง ๆ ดีกว่า ดูซิว่าเวจะสู้ไหวไหม” เธอเอ่ยพูดทีเล่นทีจริงพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ
“สบายมาก เวยอมยกให้เชอร์หมดทุกอย่างเลยก็ยังได้ ถ้าเป็นเชอร์ เวยอมได้หมดแหละ” คำตอบของเขามาพร้อมกับสีหน้าจริงจังจนเธออดที่จะขำกับท่าทางไม่ได้
“รู้แล้ว...เวไม่ต้องทำหน้าจริงจังขนาดนี้ก็ได้”
“ก็เวกลัวเชอร์จะไม่เชื่อนี่นา” เขาพูดพลางโอบกอดร่างเล็กเอาไว้ “รีบไปเถอะ เวหิวข้าวแล้วเนี่ย”
“อื้อ...” เธอขานรับเพียงสั้น ๆ แล้วก็ถูกคนตัวโตจูงมือออกจากห้อง พาเดินจนมาถึงรถที่จอดอยู่ด้านล่าง
“กินข้าวร้านป้านะ” เขาเอ่ยบอกเชิงถามความคิดเห็นจากเธอ
“ได้สิ เชอร์อยากกินกะเพราะหมูกรอบพอดีเลย”
ไม่นานนักรถก็มาจอดหน้าร้านคุณป้าขายข้าวร้านประจำที่เคยมากินด้วยกันบ่อย ๆ ตั้งแต่สมัยเรียน มอ.ปลาย
“กะเพราหมูกรอบสองจานครับป้า” เวคาเอ่ยสั่งอาหารแล้วก็กลับมานั่งรอตรงโต๊ะที่เชอร์รีลนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“เว ตกลงจะพาเชอร์ไปไหน ทำไม่ถึงไม่ยอมบอกสักที” เธอถามขึ้นอีกครั้งด้วยความอยากรู้ แต่อีกฝ่ายก็เอาแต่ส่ายศีรษะไปมาไม่ยอมบอกง่าย ๆ
“ถ้าบอกก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ แต่เวรับรองว่าเชอร์จะต้องชอบแน่นอน” เธอต้องชอบมันแน่ เพราะเมื่อก่อนเชอร์รีลชอบขอให้เขาพาไปบ่อย ๆ ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยทั้งคู่ก็ไม่ค่อยได้ไปอีก อาจจะเพราะโตขึ้นด้วยเลยทำให้มีเวลาไปเที่ยวที่แบบนั้นน้อยลง
///////////////////////////////////////////////////////