“สวัสดีครับน้าเขต โทรมาด้วยตัวเองขนาดนี้ พ่อมีธุระด่วนกับผมเหรอครับ”
เวคาเอ่ยทักทายปลายสายที่เป็นลูกน้องคนสนิทของปริณผู้เป็นบิดาอย่างไม่อ้อมค้อม เพราะหากไม่มีเรื่องคอขาดบาดตายหรือธุระสำคัญจริง ๆ สุดเขตคงไม่โทรมาด้วยตัวเองตั้งแต่ยังไม่เก้าโมงเช้าแบบนี้
//ใช่ครับ คุณปริณบอกว่าให้คุณเวคาเข้าหามาด่วนที่สุดครับ ถ้าเป็นไปได้ก็ให้มาตอนนี้เลยครับ//
“พ่อมีธุระอะไรเหรอครับ”
//เอาไว้คุณเวคามาคุยกับคุณปริณเองดีกว่าครับ//
“ได้ครับเดี๋ยวผมเข้าไปหาพ่อตอนนี้เลย”
หลังจากวางสายก็หันกลับมามองคนตัวเล็กที่ยังหลับอยู่บนที่นอน เวคาขยับขึ้นไปนั่งข้างเธอโน้มตัวลงไปหาแล้วกดจมูกลงบนแก้มเนียน
“เชอร์ เวมีธุระน่ะ พ่อเรียกตัวด่วน เชอร์รอเวที่ห้องนะเดี๋ยวกลับมา” เขาเอ่ยบอกหญิงสาวอยู่ข้างใบหู เชอร์รีลค่อย ๆ พลิกตัวกลับมา
“มีงานด่วนเหรอเว”
“เวก็ไม่แน่ใจ แต่คงเป็นเรื่องสำคัญน่ะ เพราะเมื่อกี้พ่อให้น้าเขตโทรมาตาม”
“ถ้าอย่างนั้นเวก็ไปเถอะ เดี๋ยวเชอร์รอที่ห้อง”
ริมฝีปากหยักจุมพิตลงบนหน้าผากมนอย่างทะนุถนอม รอยยิ้มบาง ๆ ถูกส่งมาจากคนที่เขารักสุดหัวใจ ยิ่งได้เห็นก็ยิ่งหลงรัก เพราะเป็นแบบนี้ถึงไม่สามารถเลิกกับเธอได้ง่าย ๆ
เวคาลุกจากเตียงนอนแล้วเดินเข้าห้องอาบน้ำ ใช้เวลาไม่นานก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ แต่ก่อนจะได้ก้าวขาออกจากห้องเชอร์รีลก็โผเข้ามากอดเขาเอาไว้แน่น
“เป็นอะไรครับ วันนี้อ้อนเก่งจัง” เขาเอี้ยวตัวหันกลับไปด้านหลังแล้วกอดตอบคนตัวเล็ก ฝ่ามือหนาลูบเส้นผมสลวยอย่างเอ็นดู
“ไม่ได้เป็นอะไร เชอร์แค่อยากกอดเว” ไม่เพียงแค่พูด แขนเรียวกระชับอ้อมกอดแน่นกว่าเก่า ฝังใบหน้าลงบนหน้าอกแกร่งจนตัวเขาแทบจะขยับไม่ได้
“เดี๋ยวเวก็กลับมาให้กอด หรือว่า...เชอร์อยาก”
“เว...” คำพูดของเขาทำเอาคนตัวเล็กกว่าเอ่ยเรียกเสียงอ่อยแล้วผละอ้อมกอดออกในทันที
“เวล้อเล่นหรอก รอไม่นานนะครับ” จมูกคมหอมแก้มเนียนอีกหลายฟอด ส่วนเชอร์รีลก็ได้แต่พยักหน้ารับโดยดี
“ดูแลตัวเองดี ๆ นะเว อย่าขับรถเร็วมาก”
ทุกครั้งที่เขาจะต้องออกไปธุระหรือทำงานให้ผู้เป็นพ่อ เธออดที่จะเป็นห่วงไม่ได้เลยจริง ๆ ยิ่งนิสัยของเวคานั้นเป็นคนใจร้อน ก็ยิ่งทำให้เป็นห่วงมากขึ้นไปอีก
“ครับ” เขาตอบกลับเพียงสั้น ๆ แล้วก็เดินออกจากห้องไป เชอร์รีลได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างจนประตูปิดลง เขาบอกให้รอเธอก็คงทำได้เพียงแค่รอ
รถยนต์คันหรูมุ่งหน้าสู่คฤหาสน์หลังใหญ่ของผู้เป็นหัวหน้า PN กรุ๊ป แม้ก่อนจะออกมาจากคอนโดเขาบอกเธอเอาไว้ว่าไม่ต้องเป็นห่วง แต่กลับเป็นตัวเขาเองที่เริ่มคิดมาก
การที่บิดาให้ลูกน้องคนสนิทโทรมาย่อมเป็นเรื่องสำคัญ และมันคงสำคัญมากแน่ ๆ ตอนนี้คิดได้อย่างเดียวว่าคงเป็นเรื่องที่เขากำลังทำให้บริษัทของนายชลิตมาอยู่ภายใต้การดูแลของ PN กรุ๊ป หากพ่อไม่เห็นด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างมันคงจะยากขึ้นอีกหลายเท่าตัว
เกือบชั่วโมงครึ่ง รถก็แล่นเข้ามาจอดในที่จอดรถของบ้านหลังใหญ่ ลูกน้องวิ่งออกมาต้อนรับ เมื่อเห็นทายาทคนรองลงมาจากรถต่างก็ก้มหัวลงทักทาย
“สวัสดีครับคุณเวคา” ชายชุดดำต่างเอ่ยทักทายกันอย่างพร้อมเพรียง
เวคาพยักหน้ารับแล้วเอ่ยทักทายกลับไป แล้วก็เดินเข้าไปด้านในตัวบ้านตรงไปยังห้องทำงานของผู้เป็นพ่อ เมื่อบานประตูเปิดออกก็เห็นชายวัยกลางคนนั่งประจำอยู่ที่โต๊ะ ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกได้ว่ามีคำถามมากมายที่ต้องการคำตอบ
“สวัสดีครับพ่อ สวัสดีครับน้าเขต” เวคายกมือขึ้นไหว้ผู้เป็นบิดา แล้วหันไปไหว้ลูกน้องคนสนิทของปริณด้วยเช่นกัน
“นั่งลง แล้วก็บอกฉันมาว่าแกกำลังทำอะไรอยู่” ชายวัยกลางคนเอ่ยถามเข้าเรื่องอย่างไม่อ้อมค้อม ส่วนคนโดนถามทำเพียงไหวไหล่เล็กน้อย
“พ่อหมายถึงเรื่องบริษัทของนายชลิต?”
“แล้วแกคิดว่ามีเรื่องอะไรที่ฉันต้องเรียกแกมาด่วนขนาดนี้” ปริณถามกลับแล้วเอนหลังกับพนักพิงของเก้าอี้ทำงาน “แล้วแกทำแบบนี้ทำไม”
“เพราะเชอร์ ผมรักเชอร์ แต่นายชลิตบังคับให้เชอร์มาเลิกกับผม แล้วจะยกลูกสาวตัวเองให้ไปคบกับนักธุรกิจคนอื่นเพื่อประคับประคองบริษัทที่มีปัญหา ผมยอมไม่ได้”
เวคาเลือกที่จะบอกออกไปตามตรง เพราะการที่ผู้เป็นพ่อเรียกเขาเข้ามาพบนั่นหมายถึงคงรู้อะไรมาบ้างแล้ว หรืออาจจะรู้ทั้งหมดแล้วก็ได้ ต่อให้คิดปิดบังหรือโกหกไปก็เท่านั้น
“เพราะผู้หญิงคนเดียวแกต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ” ปริณถามย้ำอีกครั้งพร้อมกับสายตาที่จ้องมองลูกชายนิ่ง
“ครับ เพราะเชอร์เป็นคนที่ผมรักมาก ผมยอมให้เธอไปเป็นของคนอื่นไม่ได้” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “พ่อก็รักแม่มาก พ่อก็เข้าใจใช่ไหมว่าผู้ชายอย่างเราจะยอมให้ใครมาแตะต้องผู้หญิงที่ตัวเองรักไม่ได้”
ปริณได้แต่หัวเราะเบา ๆ อยู่ในลำคอเมื่อได้ยินคำตอบจากลูกชายที่เป็นทายาทคนรอง เป็นความคิดที่ถูกใจเขามากทีเดียว ทำให้นึกถึงตอนที่ตัวเองเป็นหนุ่ม ตอนนั้นก็ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนเข้าใกล้มุกดาได้เช่นกัน
“แล้วใครจะดูแลบริษัทนั้น” ปริณถามลูกชายอีกครั้ง
“ก็ให้นายชลิตนั่นแหละครับดูแลต่อ แต่บริษัทจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของพวกเราอีกที เพื่อป้องกันพวกฉวยโอกาสมาเอาไปเป็นของตัวเอง”
เขาไม่เคยคิดอยากจะได้บริษัทของนายชลิต เพียงแต่อยากรักษามันเอาไว้ให้ผู้หญิงที่เขารักเท่านั้น หากไม่ทำอย่างนี้แล้ววันหนึ่งนายชลิตปล่อยให้ตกไปเป็นของคนอื่น เมื่อถึงตอนนั้นเชอร์รีลคงเสียใจมากแน่ ๆ
“แกคิดว่านายชลิตอะไรนั่นจะยอมง่าย ๆ เหรอ”
“ไม่ครับ คงไม่ง่าย แต่เรื่องนั้นเดี๋ยวผมจะจัดการเอง พ่อช่วยสนับสนุนอยู่ห่าง ๆ ก็พอครับ” นั่นคือเรื่องเดียวที่เขาต้องการความช่วยเหลือจากพ่อ เพราะถึงอย่างไรพวกนักธุรกิจก็ยังเกรงกลัวปริณมากกว่าลูกชายที่อายุเพียงยี่สิบปีอย่างเขาอยู่ดี
“ตามใจแก อยากจะทำอะไรก็ทำ แต่ฉันขอเตือนไว้อย่างหนึ่ง ทำทุกอย่างให้รอบคอบ อย่าให้มีข้อผิดพลาดหรือถ้าเกิดมีก็ให้มันน้อยที่สุด ทางเราจะได้ไม่ต้องวุ่นวายมาก”
เมื่อผู้เป็นพ่อเอ่ยเตือนเวคาก็พยักหน้ารับ “ได้ครับ เรื่องนั้นพ่อไม่ต้องห่วง ผมรู้จักจุดอ่อนของนายชลิตนั่นดี รับรองว่าเรื่องทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยไม่มีปัญหามาให้พ่อต้องลำบากใจแน่นอนครับ”
ได้ยินคำตอบหนักแน่นจากปากของลูกชายปริณก็ได้แต่ยิ้มรับ “ไม่มีเรื่องอะไรแล้วล่ะ แกกลับไปเถอะ”
“ครับพ่อ”
เวคาลุกจากเก้าอี้แล้วเดินออกมาจากห้องทำงานของผู้เป็นพ่ออย่างอารมณ์ดี จังหวะเดียวกันกับแม่ของเขากำลังเดินมาทางนี้
“แม่ครับ” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกผู้เป็นแม่ด้วยใบหน้าที่เต็มรอยยิ้มจนทำเอามุกดาแปลกใจ
“เวมาธุระกับพ่อเหรอลูก ปกติแม่ไม่เห็นกลับบ้าน”
“นี่แม่ถามหรือว่ากำลังด่าลูกชายทางอ้อมครับ”
วงแขนแกร่งอ้าออกกว้างแล้วสวมกอดมารดาเอาไว้แน่น จากนั้นก็กดจมูกลงหอมแก้มอีกสองฟอด
“หรือมันไม่จริงล่ะ นานแค่ไหนแล้วที่แม่ไม่เห็นเวกลับบ้าน ฮึ” มุกดายังคงเย้าแหย่ลูกชาย
“โธ่ แม่ครับ ก็ผมมีเรื่องสำคัญต้องจัดการน่ะครับ” เขาตอบด้วยรอยยิ้ม “เรื่องลูกสะใภ้แม่น่ะครับ”
“ลูกสะใภ้? หนูเชอร์น่ะเหรอ” ถ้าให้คิดตอนนี้ก็คงจะนึกออกเพียงคนเดียว เพราะตั้งแต่โตเป็นหนุ่มเวคาพาแค่เชอร์รีลมาแนะนำให้รู้จักเพียงคนเดียว ไม่เคยเห็นมีผู้หญิงคนอื่น
“ครับ”
“เวทะเลาะกับหนูเชอร์เหรอลูก”
“เปล่านะครับแม่ คือมันมีเรื่องยุ่ง ๆ น่ะครับ ผมเลยมาคุยกับพ่อนิดหน่อย”
มุกดาได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา หากมีสามีของเธอมาเกี่ยวข้อง เรื่องที่ว่ามันคงไม่นิดหน่อยแน่
“เราเป็นผู้ชาย เวรู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไงถึงจะเป็นแฟนที่ดี เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีได้”
“รู้ครับแม่ แม่สอนผมตั้งแต่เด็กจนโตทำไมจะจำไม่ได้ครับ”
เป็นผู้ชายต้องรักเดียวใจเดียว ซื่อสัตย์ รักษาสัญญา ห้ามทำร้ายจิตใจและร่างกายคนรักเด็ดขาด นั่นคือสิ่งที่ผู้เป็นแม่สอนมาตั้งแต่จำความได้
///////////////////////////////////////////////////////