ผ่านช่วงฤดูหนาวไป เกาซ่งอวิ้นก็เข้าสู่การสอบถงเซิง โดยที่เขามีเพียงท่านอาจารย์ในสำนักศึกษาคอยช่วยดูแลความสะดวกและจัดการธุระให้เท่านั้น แต่ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ก็ยังถูกส่งมาจากนางหลัวซิ่นอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าชายหนุ่มจะพยายามรับจ้างเขียนหนังสือหรือจดหมายอยู่บ่อยครั้ง แต่เงินเหล่านั้นก็เป็นจำนวนน้อยนิดแทบไม่พอใช้จ่ายแต่อย่างใด
ตลอดปีที่ผ่านมา เขาเข้ารับการสอบในระดับเซียนซื่อและฝู่ซื่อ (1) ผ่านระดับแรกของการสอบในชั้นต้นมาอย่างยากลำบาก แต่ผลจากความพยายามอย่างหนัก ในที่สุดก็ผ่านขั้นย่วนซื่อ (2) ได้เป็นซิ่วไฉ ในวัย 17 ปี สมความตั้งใจ เกาซ่งอวิ้นจึงคิดจะกลับไปที่หมู่บ้านหนิงป่อสักครั้งเพื่อขอบคุณมารดาเลี้ยง และยังกังวลใจเรื่องของถังเยียนและถังฮุ่ยหลินอยู่ลึกๆ
หากเขายังไม่ได้เห็นกับตาว่าเด็กสองคนมีความเป็นอยู่อย่างไรบ้างแล้ว ก็คงจะไม่มีสมาธิพอสำหรับการเตรียมสอบเซี่ยงซื่อ(3) ในขั้นต่อไป อย่างแน่นอน เพราะทุกครั้งที่นางหลัวฝากเงินมาให้ตนก็มิได้กล่าวความถึงสามพี่น้องสกุลถังแต่อย่างใด
……….
ทางด้านนางหลัวซิ่นที่อยู่ในหมู่บ้านหนิงป่อมาตลอด เมื่อรู้ข่าวว่าบุตรชายเลี้ยงได้เป็นซิ่วไฉ นางก็เตรียมตัวจัดงานเลี้ยงต้อนรับซิ่วไฉคนแรกในหมู่บ้านหนิงป่ออย่างออกหน้าออกตา
เชิญชวนกระทั่งญาติจากทางบ้านเดิมของตนที่อยู่หมู่บ้านข้างๆ มาร่วมแสดงความยินดีกับชายหนุ่ม ด้วยหวังจะผูกความสัมพันธ์และใช้ความอาวุโสของบิดามารดาตนช่วยแนะนำให้เกาซ่งอวิ้นได้ตัดสินใจรับเอาหลัวลู่จิ่วไว้เป็นภรรยาแทนคู่หมายที่หนีตามบุรุษไปพร้อมกับน้องสองคน
ชายหนุ่มนั่งเกวียนกลับเข้ามายังหมู่บ้านหนิงป่อ แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้หยุดลงเดินที่หน้าหมู่บ้านเหมือนเช่นเคย แต่เป็นเพราะสำนักศึกษาได้มอบเงินรางวัลให้กับเขาเป็นการส่วนตัว เขาจึงหาซื้อข้าวของขนใส่เกวียนกลับมาเป็นของฝากคนที่บ้านไม่น้อย
“ท่านน้า น้องสาว” ชายหนุ่มทักทายสตรีสองคนที่มารอรับเขาอยู่ทางหน้าเรือน
“อาอวิ้น รีบเข้ามาก่อน เจ้าไม่ได้พักผ่อนดีๆ มานานแล้ว ข้ากับจิ่วเอ๋อร์เตรียมอาหารที่เจ้าชอบเอาไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว เข้าไปก่อน ของพวกนี้เดี๋ยวให้ท่านลุงกับพี่ๆ ของเจ้ามาช่วยยกเข้าไปก็ได้” หลัวซิ่นชี้มือไปยังกลุ่มบุรุษที่เดินตามออกมาภายหลัง คนเหล่านี้ล้วนเป็นญาติของนางที่เตรียมตัวมาช่วยงานเลี้ยงที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้
เกาซ่งอวิ้นล้วนเคยพบหน้าญาติทางฝั่งของนางหลัวมาก่อนแล้ว เมื่อครั้งที่บิดายังมีชีวิตอยู่ เขาก็มักจะพาท่านน้าหลัวกับตนและน้องสาวกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมอยู่บ่อยครั้ง ความสัมพันธ์ระหว่างสองสกุลจึงไม่ย่ำแย่นัก
หลังจากชายหนุ่มเก็บข้าวของส่วนตัวไว้ในห้องพักก็ออกมารวมกลุ่มกับคนในเรือน นางหลัวจัดเตรียมอาหารขึ้นโต๊ะไว้หลายอย่างตามที่กล่าวไว้ แต่เมื่อทุกคนนั่งประจำที่ เขาก็ชะเง้อมองหาพี่น้องสกุลถังทั้งสามคนที่ยังไม่เห็นปรากฏตัวออกมาเลยสักคน
“พวกเขาเล่าขอรับ” ชายหนุ่มหันมาถามหลัวซิ่น ไม่ต้องเอ่ยนามก็รู้ว่าพวกเขาที่ตนกำลังพูดถึงอยู่หมายถึงผู้ใด
“กำลังจะกินข้าว เจ้าอย่าเพิ่งพูดเรื่องหดหู่ใจเลยจะพานกินไม่อร่อยเสียเปล่า ประเดี๋ยวกินเสร็จข้าจะเล่าให้เจ้าฟังเอง” หลัวซิ่นตบฝ่ามือลงบนโต๊ะเบาๆ สีหน้าไม่พอใจ
เกาซ่งอวิ้นรู้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างสามพี่น้องกับมารดาเลี้ยงดีอยู่แล้ว เขาระบายลมหายใจออกมาเบาๆ อย่างจนใจ แต่ในเมื่อถังจื่อรั่วไม่ได้ออกมาโวยวาย และนางก็มักจะยกอาหารไปแอบกินกันลำพังอยู่ในห้อง เขาจึงคิดว่าครั้งนี้ก็อาจไม่ต่างไปจากเดิม สามพี่น้องคงได้รับส่วนแบ่งอาหารไปแล้วถึงไม่ออกมากระมัง
พอกินข้าวเสร็จ นางหลัวก็วุ่นวายอยู่กับการจัดที่นอนให้บิดามารดาและครอบครัวของพี่ชายอีกสองคนของนาง เกาซ่งอวิ้นจึงได้เข้าไปหยิบของฝากที่เป็นขนมและของเล่นสำหรับถังเยียนและถังฮุ่ยหลินนอกจากนี้ยังมีผ้าคลุมไหล่สำหรับถังจื่อรั่วอีกด้วย
เขาเลือกเดินผ่านห้องพักของคู่หมาย เดินไปห้องด้านข้างที่เป็นของเด็กน้อยสองคน จังหวะที่ยกมือขึ้นเตรียมจะเคาะเรียกคนที่อยู่ด้านใน นางหลัวก็พาครอบครัวพี่ชายมาที่นี่พอดี
“พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วอาอวิ้น ห้องนี้ข้าจะให้พี่รองพี่สะใภ้ไว้พัก ส่วนห้องเดิมของจื่อรั่วก็จะยกให้ครอบครัวพี่ใหญ่ของข้า”
“ไม่ได้อยู่ที่นี่? หมายความว่าอย่างไรหรือท่านน้า” เกาซ่งอวิ้นขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย หรือว่านางเก็บเงินไปสร้างเรือนใหม่ในที่ดินเดิมสกุลถังได้แล้ว?
“มาๆ ข้าก็มัวแต่ยุ่งอยู่ ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังทั้งหมดเอง พี่ใหญ่พี่รอง ท่านจัดการตัวเองกันนะเจ้าคะ ขาดเหลืออะไรก็บอกลู่จิ่วได้” นางหลัวเดินนำเกาซ่งอวิ้นกลับไปทางห้องพักของเขา
คนที่แปลกใจไม่ได้มีเพียงเกาซ่งอวิ้นคนเดียวเท่านั้น ยังมีหลัวเจี้ยนคังพี่ชายคนโตของหลัวซิ่นที่เห็นสายตาประหลาดใจและคำถามของเกาซ่งอวิ้นเมื่อครู่
น้องสาวของตนเคยให้ตนพาเด็กสกุลถังทั้งสามไปทิ้งไวที่วัดร้างเมื่อปีก่อน เขาจำได้ดีว่าครั้งนั้นตนรู้สึกลังเลใจว่าน้องสาวกำลังคิดทำเรื่องร้ายแรง แต่หลัวซิ่นก็ยืนยันมั่นเหมาะว่าเกาซ่งอวิ้นรู้เห็นเป็นใจให้พาคู่หมายและน้อง ๆ ของนางไปทิ้ง เพื่อหมายจะทำให้ชื่อเสียงของถังจื่อรั่วเสื่อมเสียเท่านั้น
แต่สายตาและคำพูดของเกาซ่งอวิ้นกลับดูคล้ายว่าเขาไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใด เช่นนั้นก็เป็นไปได้ว่าเป็นน้องสาวตนที่คิดแผนการนี้ขึ้นมาเพียงลำพัง ซ้ำที่ผ่านมาเด็กทั้งสามก็ไม่เคยหาทางกลับมาที่หมู่บ้านหนิงป่อได้อีก
ตนยังเคยภาวนาและจุดธูปร้องขอกับดวงวิญญาณของเกาเหว่ยหลงน้อยเขยที่จากไป ให้ช่วยคุ้มครองเด็กสามคนให้แคล้วคลาดปลอดภัยอยู่เลย น้องเขยกับน้องสาวแม้จะไม่มีบุตรด้วยกันแต่เกาเหว่ยหลงกลับดูแลหลานสาวหลัวลู่จิวราวกับบุตรสาว และยังมีความเมตตาเผื่อแผ่มาถึงคนสกุลหลัว หลัวเจี้ยนคังจึงรู้สึกซาบซึ้งกับน้ำใจของน้องเขยผู้นี้ยิ่งนัก
เมื่อรู้ว่าหลานชายเกาซ่งอวิ้นต้องการกำจัดคู่หมายจึงได้ยินยอมทำตาม ไม่คิดว่าทั้งหมดนี้จะเป็นแผนการของหลัวซิ่นน้องสาวตนเพียงคนเดียว
ตกกลางคืนหลัวเจี้ยนคังทุกข์ใจจนนอนไม่หลับ เขาลุกมานั่งดื่มสุราอยู่กลางลานเรือนเพียงลำพัง ไม่กล้าบอกกล่าวผู้ใดถึงเหตุการณ์ในวันนั้น จะรื้อฟื้นเอาความขึ้นมาคนที่จะเดือดร้อนย่อมเป็นหลัวซิ่นผู้เป็นน้องสาว แต่ความรู้สึกผิดในใจก็กัดกินเขามานานนับปี เด็กสามคนนั้นหายสาบสูญไปโดยไม่มีผู้ใดออกตามหา ไม่ใช่ว่าพวกเขาเสียชีวิตท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บภายในวัดร้างไปแล้วหรือไม่
เกาซ่งอวิ้นได้ฟังความทุกอย่างจากปากของหลัวซิ่น เขาก็นอนไม่หลับเช่นกัน แต่ก่อนตนเคยคิดไว้ว่าถังจื่อรั่วเป็นสตรีรักสบาย วันหนึ่งเมื่อพบบุรุษรูปงามมั่งคั่งนางก็อาจจะเปลี่ยนในยกเลิกการหมั้นหมายกับตน แต่กลับไม่เคยคิดว่าถังจื่อรั่วจะหอบหิ้วเอาน้องสองคนไปเป็นภาระด้วย หากนางหนีตามบุรุษรูปงามไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเจอ นางผู้มีนิสัยเห็นแก่ตัวจะเอาน้องสองคนติดตามไปด้วยจริงหรือ
ตนเคยดูแลถังจื่อรั่วมาตั้งแต่เด็ก แม้เมื่อเติบโตขึ้นมานางจะมีนิสัยเสียเกินจะรับได้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังอดห่วงไม่ได้ นางมีนิสัยเช่นนั้นคนรักของนางจะอดทนได้เท่ากับตนหรือไม่? ถังเยียนและถังฮุ่ยหลินจะได้รับการปฏิบัติเช่นไร? ในเมื่อสามพี่น้องไม่มีเงินทองติดกาย ไม่มีผู้อาวุโสอยู่เบื้องหลัง
เกาซ่งอวิ้นผลักประตูรั้วหน้าเรือนออกมา ตั้งใจจะเดินไปที่เรือนเก่าของสกุลถังด้วยความสับสนในใจ แต่สายตาเขากลับพบเงาร่างของท่านลุงหลัวเจี้ยนคังกอดไหสุราเดินโซซัดโซเซไปยังทิศทางเดียวกับตน
ชายหนุ่มแอบเดินตามหลัวเจี้ยนคังไปเงียบๆ และสุดท้ายก็ต้องแปลกใจอีกครั้งที่หลัวเจี้ยนคังมาหยุดที่ซากปรักหักพังของเรือนสกุลถังที่มอดไหม้ไปนานหลายปี
หลัวเจี้ยนคังควักธูปที่พกติดตัวมา จุดธูปขึ้นและปักลงพื้นดิน ปากก็ขอโทษขอโพย รวมทั้งร้องเรียกชื่อบิดาเกาเหว่ยหลงบิดาของตนออกมาด้วยความเมามายจนจับใจความไม่รู้เรื่อง
“ท่านลุง ท่านมาทำอะไรที่นี่” เกาซ่งอวิ้นได้ยินแว่วๆ ว่าบางประโยคที่หลัวเจี้ยนคังกล่าวออกมาเป็นการขอโทษสามพี่น้องสกุลถัง เขาจึงคิดว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นแล้วอย่างแน่นอน
(1) ถงซื่อ ในอดีตการสอบเข้ารับราชการโดยทั่วไปจะเริ่มจาก การสอบคัดเลือกระดับท้องถิ่นขั้นต้น คือขั้นเซี่ยนซื่อ และฝู่ซื่อ ผู้ที่สอบผ่านสองระดับนี้จะถูกเรียกว่าถงเซิง ไม่ว่าจะมีอายุเท่าใดก็ตามก็จะถูกเรียกด้วยคำนี้
(2) เซิงหยวน ระดับการสอบคัดเลือกระดับท้องถิ่นขั้นต้นขั้นต่อมาคือระดับ ย่วนซื่อ ผู้สอบผ่านจึงจะถูกเรียกว่าซิ่วไฉ มีการจัดสอบทุก 1 ปี
(3) จู่เหริน หรือการสอบเซี่ยงซื่อ เป็นการสอบระดับภูมิภาค, มณฑล ผู้ที่สอบผ่านจะถูกเรียกว่า จู่เหริน, จวี่เหริน, จวี๋จื่อ มีการจัดสอบทุก 3 ปี