เกาซ่งอวิ้นให้เกวียนที่จ้างมาจากในเมืองส่งเขาลงที่ปากทางเข้าหมู่บ้านอันเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มกระทำเช่นนี้เป็นประจำหลังจากที่สามพี่น้องสกุลถังย้ายเข้ามาอยู่ในเรือน เหตุเพราะเขาอยากใช้เวลาอยู่นอกบ้านให้นานขึ้น รอให้ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นตนก็มักจะยกอาหารเข้าไปกินในห้องพักลำพัง ค่ำหน่อยก็เข้านอน ไม่ต้องออกมาเผชิญหน้ากับถังจื่อรั่ว
เดินผ่านแนวต้นหยางเหมย(1)หลายต้นที่ชาวบ้านไม่ค่อยให้ความสนใจกับมันเท่าใดนัก เพราะผลของมันมีรสเปรี้ยวจนแทบกัดกินไม่ลง แต่สายตาของชายหนุ่มก็ได้เห็นร่างเล็กของเด็กหญิงที่คุ้นตาแอบซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้
“นั่นใคร?” เกาซ่งอวิ้นเห็นว่าเด็กหญิงตัวน้อยคล้ายว่าจะเป็นน้องคนเล็กสกุลถัง แต่นางเพิ่งจะ 5-6 ขวบเท่านั้น เรือนสกุลเกาอยู่เกือบท้ายสุดของหมู่บ้านหนิงป่อ เหตุใดพี่สาวและพี่ชายของนางจึงปล่อยให้น้องสาวออกมาเพ่นพ่านยามฟ้าใกล้จะมืดอยู่เช่นนี้ จึงร้องถามออกมาอย่างไม่มั่นใจ
“ข้าเองเจ้าค่ะพี่เขย” ถังฮุ่ยหลินชะโงกหน้าเล็กๆ ของนางออกมาจากหลังพุ่มไม้เตี้ยๆ สีหน้ากระวนกระวายใจอย่างหนัก
“ข้ายังไม่ได้ตบแต่งกับพี่สาวเจ้า ข้ายังไม่ใช่พี่เขยเจ้า” เกาซ่งอวิ้นหน้าตึงขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำเรียกขานของถังฮุ่ยหลิน เด็กนี่คงได้รับการสั่งสอนมาจากพี่สาวของนางเป็นแน่
“เจ้าค่ะ พี่..ชาย”
“แล้วเจ้าเดินมาไกลถึงเพียงนี้ลำพังได้อย่างไรกัน ใกล้จะมืดค่ำแล้ว พี่สาวกับพี่ชายเจ้าไปไหนเสียเล่า?” เกาซ่งอวิ้นรีบหันซ้ายมองขวาเขาพยายามหลบเลี่ยงไม่ยอมพบหน้าถังจื่อรั่วมาตลอด ไม่แน่ว่านางอาจจะมาดักรอพบตนอยู่ที่นี่เช่นกัน
“ข้าแอบออกมาเอง” เด็กน้อยก้มหน้าเอ่ยปากสารภาพอย่างกลัวความผิด
“กลับไปที่เรือนได้แล้ว ข้าก็จะกลับไปเช่นกันเดินไปพร้อมกับข้านี่ล่ะ” ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ จะมีสักวันไหมที่เด็กสกุลถังไม่สร้างเรื่องวุ่นวายให้ผู้อื่น แต่ถังฮุ่ยหลินก็ยังเป็นเด็กหญิงเยาว์วัยตนจะปล่อยนางทิ้งไว้ก็ไม่ได้
“ข้ามารอพบพี่ชายเจ้าค่ะ ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องท่าน” ถังฮุ่ยหลินใช้ขาสั้น ๆ ของนางวิ่งตามร่างสูงที่เดินนำไปก่อน ร้องบอกพลางพยายามดึงชายเสื้อเกาซ่งอวิ้นให้หยุดฟังนางสักครู่
“ขอร้อง? คงไม่พ้นว่าพี่สาวเจ้าสั่งให้ส่งความมาถึงข้าใช่หรือไม่ ข้าไม่อยากฟัง" ชายหนุ่มดึงเสื้อของตนกลับ ไม่ยอมหยุดเดินแม้แต่ก้าวเดียว แต่ก็พยายามก้าวขาช้าๆ เพื่อให้เด็กน้อยวิ่งตามทัน
“ไม่ใช่ๆ พี่ชายฟังข้าก่อน วันนี้ท่านป้าไปฟ้องความกับหัวหน้าหมู่บ้าน ให้ยกเลิกสัญญาหมั้นหมายระหว่างท่านกับพี่ใหญ่ แต่ท่านปู่เหลียงกล่าวว่าให้ท่านเป็นผู้ตัดสินใจเอง ข้ากับพี่รองไม่อยากถูกขับออกจากเรือนสกุลเกา พี่รองเลยให้ข้ามารอพบท่านส่วนเขาก็ล่อหลอกพี่ใหญ่อยู่ในเรือนเจ้าค่ะ”
เกาซ่งอวิ้นหยุดชะงักเมื่อได้ยินว่ามารดาเลี้ยงมีความคิดคล้ายกับตนเอง แต่เมื่อหันไปเห็นเด็กหญิงตัวน้อยที่เบะปาก น้ำตาคลอเกือบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ก็จำต้องหันมาคุยกับถังฮุ่ยหลินให้รู้เรื่องเสียก่อน
“ข้าจะไม่โกหกเจ้า ข้าเองก็เคยคิดจะยกเลิกการหมั้นหมายกับพี่ใหญ่ของเจ้าเช่นกัน”
“พี่เข..พี่ชายเจ้าคะ ข้ากับพี่รองไม่อยากมีพี่ใหญ่เป็นพี่ของพวกเราแล้ว นางบังคับพี่รองไม่ให้ไปเรียนและยังให้ไปฝึกต่อยตีกับผู้อื่นเพื่อจะได้กลับมาคุ้มครองนาง อาหารพี่รองก็ต้องไปขโมยจากผู้อื่นมาให้ข้า พี่ใหญ่ไม่แบ่งปันอาหารให้เราสองคนเลย ได้มาอยู่กับท่านป้าหลัวพวกเรายังมีกินไม่ต้องไปลักขโมยผู้อื่น” เด็กน้อยคิดว่าขโมยของกินจากในครัวสกุลเกาของพี่เขย ดีกว่าให้พี่ชายของนางออกไปขโมยของจากชาวบ้านในหมู่บ้านเป็นไหน ๆ
เกาซ่งอวิ้นปวดแปลบในใจจนลืมหายไปไปชั่วครู่ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าถังเยียนเกเรด้วยนิสัยส่วนตัว ไม่คิดว่าจะเป็นการชี้นำจากพี่สาวแท้ๆ อย่างถังจื่อรั่ว และเขารู้อยู่เต็มอกว่าสองเด็กน้อยเป็นน้องแท้ๆ ของนาง แต่หญิงชั่วผู้นั้นกลับไม่แบ่งปันกระทั่งอาหารให้กับเด็กตัวเล็กๆ เห็นแก่ตัวเป็นที่สุด!!
“หากถูกขับไล่ออกไปจากเรือนสกุลเกา ข้ากับพี่รองไม่อดตายก็ต้องหนาวตาย พี่ชายอย่าไล่พวกเราออกไปเลยนะเจ้าคะ” เด็กหญิงน้ำตาไหลพราก อยากจะเอื้อมมือไปดึงชายเสื้อพี่ชายเอาไว้อีกครั้งเพื่อความมั่นใจแต่ก็ไม่กล้า
“พี่ใหญ่ของเจ้าแนะนำให้เจ้ากล่าวคำเช่นนี้ใช่หรือไม่” เกาซ่งอวิ้นยังไม่วางใจ ในเมื่อถังจื่อรัวสั่งสอนแต่เรื่องไม่เข้าท่าให้น้องทำตามได้ ไม่แน่ว่าครั้งนี้ก็อาจเป็นแผนการของสตรีผู้นั้นเข้าอีก
“เปล่าเจ้าค่ะ ข้ากับพี่รองช่วยกันคิดเอง ท่านอย่าบอกพี่ใหญ่นะเจ้าคะ พี่ใหญ่ต้องลงโทษเราสองคนแน่หากรู้ว่าข้าแอบมาหาท่าน” เด็กหญิงรู้ดีว่าพี่สาวของนางคอยระวังไม่ให้พี่เขยได้อยู่ใกล้กับพี่สาวลู่จิ่ว ทั้งยังก่นด่าว่าพี่สาวลู่จิวอยู่เป็นประจำ ตนก็เป็นเด็กหญิงเช่นกันหากพี่ใหญ่รู้ว่านางมาแอบมาหาพี่เขย พี่ใหญ่คงต้องตีนางจนตายแน่นอน
“กลับไปที่เรือนกันก่อน เดี๋ยวข้าจะคิดทบทวนดูอีกทีก็แล้วกัน” ชายหนุ่มนั่งยองลงกับพื้น ใช้แขนเสื้อเช็ดคราบน้ำตาให้เด็กหญิงตัวน้อย
ร่างเล็กของถังฮุ่ยหลินสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว เมื่อเขาเช็ดน้ำตาให้นางก็ผ่อนลมหายใจผ่อนคลายจิตใจที่ไม่มั่นคงลงได้ เกาซ่งอวิ้นก็ลังเลใจว่าเด็กน้อยอาจจะไม่ได้พูดปด
กลับมาถึงเรือน เกาซ่งอวิ้นก็ปล่อยให้ถังฮุ่ยหลินเดินเข้าทางประตูหน้า ส่วนตนก็แอบปีนข้ามกำแพงเข้าไปในเรือนแล้วรีบเข้าไปในห้องพักของตนเองอย่างเงียบเชียบ
“น้องเล็ก สำเร็จหรือไม่” ถังเยียนปราดเข้ามาหาน้องสาวตัวน้อย แววตาสั่นไหวกังวลใจไม่น้อยเช่นกัน
“ข้าไม่รู้เจ้าค่ะพี่รอง พี่เขย..พี่ชายบอกว่าจะคิดดูอีกที”
“ไม่เป็นไรนะหลินเอ๋อร์ หากพี่ชายอวิ้นไม่ยอมให้เราอยู่ที่นี่ต่อ พี่รองจะพาเจ้าหนีไปจากพี่ใหญ่เอง พี่รองหาของกินให้เจ้าได้แน่ๆ” ถังเยียนน้ำตาคลอเบ้าเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยไม่ยอมให้น้องสาวตัวน้อยได้เห็นว่าตนอ่อนแอ
“แล้วพี่เขยเล่า เขาอยู่ที่ใด พี่ใหญ่ให้ข้ามาคอยดูเอาไว้ข้าจะได้รีบไปบอกนาง”
“พี่ชายอวิ้นปีนกำแพงเข้าเรือนมาทางด้านหลังเจ้าค่ะ เวลานี้คงอยู่ในห้องแล้ว”
หลัวซิ่นกับหลัวลู่จิ่วอุ่นอาหารไปถึงสองรอบ แต่ยังไม่เห็นร่างของเกาซ่งอวิ้นจะกลับมาถึงเรือนสักที พวกนางจำต้องสลับกันวิ่งออกไปดูทางหน้าเรือนกับคอยเฝ้าอาหารบนเตาเอาไว้ เพราะหากเผลอเมื่อใดสามพี่น้องก็จะรีบมาขโมยเอาไปกินเสียก่อน เหลือไว้แต่เศษผักไม่กี่ชิ้นติดก้นกระทะไว้ให้พวกนางทุกครั้ง
“ท่านแม่ พี่ชายกลับมาแล้วเจ้าค่ะ ข้าเห็นแสงไฟในห้องพี่ชายถูกจุดขึ้นมาแล้ว”
“โอ เขาคงหลบนังตัวดีนั่นล่ะสิ ถึงได้ย่องกลับเข้ามาเงียบๆ ไม่เป็นไร เจ้าก็กินข้าวอยู่ในครัวนี่เสียเลย เดี๋ยวแม่จะยกอาหารไปให้พี่ชายเจ้าในห้องเอง” หลัวซิ่นคุ้นชินแล้วกับการยกอาหารไปให้บุตรชายเลี้ยงในห้อง เมื่อก่อนเขามักจะอ่านหนังสือจนหลงลืมเวลาอาหาร บัดนี้ที่ต้องกินในห้องก็เพราะคอยหลบหน้าถังจื่อรั่ว
“อาอวิ้น ข้าเอาข้าวมาส่งเจ้าแล้ว”
“ท่านน้าหลัว ข้าต้องขออภัยที่ไม่ได้ไปทักทายท่านก่อนขอรับ”
“ไม่เป็นไร ข้ารู้ดี เจ้ากินเสียก่อนกลับมาเหนื่อยๆ จะได้รีบพักผ่อน ไว้พรุ่งนี้ข้ามีเรื่องจะปรึกษาเจ้าสักหน่อย ข้าจะมาหาเจ้าอีกทีก็แล้วกัน”
“ท่านน้ามีเรื่องอันใดก็บอกข้ามาเลยขอรับ ข้ายังไม่รู้สึกหิว อีกอย่างไม่แน่ว่าพรุ่งนี้เช้าข้าก็คิดจะกลับเข้าเมืองไปแล้ว ที่กลับมาครั้งนี้ก็ตั้งใจมาบอกกล่าวท่านว่าข้าจะยังไม่กลับมาง่ายๆ จนกว่าจะถึงวันสอบ น่าจะนานหลายเดือนเลยทีเดียวขอรับ”
“อะไรกัน!! เพิ่งจะมาถึงแท้ๆ ก็จะไปอีกแล้ว ลู่จิ่วยังบ่นคิดถึงเจ้าอยู่เลย นี่ก็ยังไม่ทันได้พูดคุยกันสักคำ” หลัวซิ่นหดหู่ไปเล็กน้อย
แม้ว่าเกาซ่งอวิ้นจะไม่บุตรชายแท้ๆ ของนาง แต่นางเองก็ไม่มีบุตรชายเช่นกัน ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเกาซ่งอวิ้นก็นับว่าดีเยี่ยม เลี้ยงดูกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยจะไม่ให้นางคิดห่วงเลยก็เป็นไปไม่ได้
(1) ต้นหยางเหมย เป็นต้นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ผลอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อสุกจัดจะมีสีแดงสดไปจนถึงสีแดงเลือดหมู กลิ่นหอมหวานแต่มีรสเปรี้ยวจัด