“ข้าอยากคุยกับเจ้าเรื่องคู่หมายเจ้านั่นล่ะ เจ้าวางแผนเรื่องของนางสามพี่น้องเอาไว้อย่างไรบ้างเล่า” หลัวซิ่นยังไม่กล้าบอกเรื่องที่ตนไปขอยกเลิกสัญญาหมั้นหมายต่อหน้าชาวบ้านในหมู่บ้านให้เด็กหนุ่มได้รู้ จึงคิดจะลองฟังความเห็นของเกาซ่งอวิ้นดูก่อน
“ข้ารู้ว่าท่านน้าลำบากใจไม่น้อยกับเด็กสกุลถังทั้งสามคน น่าละอายนักที่ข้ายังไม่อาจช่วยเหลือท่านน้าได้ซ้ำยังต้องให้ท่านมาเหน็ดเหนื่อยรับภาระมาเพิ่มขึ้นอีก บุญคุณครั้งนี้ข้าจดจำเอาไว้แล้วขอรับ หลังการสอบผ่านไปหากข้ามีวาสนาก็ยังพอจะช่วยแบ่งเบาภาระท่านน้าได้บ้าง ท่านช่วยดูแลพวกนางเอาไว้อีกสักระยะเถิด"
“หมายความว่าเจ้าคิดจะรับนางเป็นภรรยาจริงๆ น่ะหรือ รู้หรือไม่ว่านางร้ายกาจยิ่งนัก ต่อไปจะหาเรื่องพาให้เจ้าต้องเสื่อมเสียไปเปล่าๆ”
“ข้ารู้ แต่เรื่องการหมั้นหมายก็ล้วนเป็นผู้อาวุโสเคยตกลงกันไว้ หากไม่ไว้หน้าท่านพ่อท่านแม่ข้า อย่างไรข้าก็สมควรต้องตอบแทนท่านน้าถังที่เคยพาข้าไปสมัครเรียนและยังดูแลข้าอยู่ช่วงหนึ่ง”
เกาซ่งอวิ้นไม่สามารถตัดใจทอดทิ้งชีวิตน้อยๆ ของถังฮุ่ยหลินและถังเยียนได้ เด็กสองคนจะดีร้ายอย่างไรก็ยังเป็นบุตรของถังฟู่เฉิงที่เคยมีบุญคุณกับตนเช่นกัน หากเขายกเลิกสัญญาหมั้นหมาย เด็กสามคนก็ไม่มีที่อยู่อาศัย สตรีขี้เกียจอย่างถังจื่อรั่วดีไม่ดีก็จะจับน้องไปแลกเงินไม่กี่อีแปะเสียเปล่า
“ท่านน้าตักเตือนว่ากล่าวนางตามสมควรเถิดขอรับ ข้าจะไม่สนับสนุนให้ท้ายนางเด็ดขาด อาหารการกินค่าใช้จ่ายหลังจากนี้ข้าจะรับจ้างทำงานเล็กๆ น้อยๆ ส่งกลับมาช่วยบ้าง มีเท่าใดก็กินใช้กันเท่านั้น หากนางอดรนทนไม่ไหวก็ปล่อยให้นางยกเลิกสัญญาจากไปเอง”
หลังจากเสร็จสิ้นการสอบ ไม่ว่าตนจะผ่านการคัดเลือกหรือไม่ เขาก็ไม่คิดจะอยู่ที่หมู่บ้านหนิงป่อแห่งนี้ต่อไปเช่นกัน หากตนไม่อยู่ไม่แน่ว่าคนทะเยอทะยานอย่างถังจื่อรั่วคงไม่อดทนรอ เกาซ่งอวิ้นคิดจะให้หญิงสาวเป็นฝ่ายเลือกจากไปด้วยตัวเอง เช่นนี้ตนจะได้ไม่รู้สึกผิดต่อท่านพ่อท่านแม่และสองสามีสกุลถัง
ตนเองก็ไม่ได้เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีสักเท่าใด หากยืนเทียบกับถังจื่อรั่ว ตนยังนับว่าไม่เหมาะสมกับหญิงสาวอยู่บ้าง สตรีที่รักสวยรักงามอย่างถังจื่อรั่วหากนางได้พานพบบุรุษรูปงามเข้าสักคนก็อาจจะหลงไปกับรูปลักษณ์อย่างที่นางใฝ่ฝัน เวลานั้นคงคิดตีจากเขาไปเอง
“พี่อวิ้น ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” เสียงหวานหยดของถังจื่อรั่วดังมาจากหน้าห้อง ทำให้หลัวซิ่นและเกาซ่งอวิ้นต้องยุติบทสนทนาไปโดยปริยาย
“อาอวิ้นเรียนหนังสือหนักมาก กลับมาเขาควรได้พักผ่อน เจ้าอย่าได้มาวุ่นวายกลับห้องตัวเองไปเสีย” หลัวซิ่นก้าวออกจากห้องพร้อมปิดประตูให้สนิท
ถังจื่อรั่วทาปากแดงผัดแป้งจนใบหน้าขาวผ่อง ชะเง้อมองเข้าไปในห้องพักของบุรุษหนุ่ม มองเห็นเขาเพียงใบหน้าด้านข้างที่ยังก้มหน้าอยู่กับตำรา อย่างไม่สบอารมณ์
“ว่าแต่ข้า เจ้าเล่ามาทำอะไรที่นี่” ถังจื่อรั่วสะบัดหน้าใส่สตรีสูงวัย การเรียกขานก็ยังไม่คิดจะให้เกียรติกันแม้เพียงเสี้ยว
“ยืนรอดูมารยาคน” หลัวซิ่นร่างอวบสูงใหญ่กว่าแม่หนูน้อยตรงหน้าไม่น้อย หากคิดจะตบตีกันนางก็พร้อมจะสู้
“พี่อวิ้น ข้าถูกแม่เลี้ยงท่านรังแก ท่านจะไม่ออกมาดูข้าบ้างเชียวหรือเจ้าคะ ไม่อย่างนั้นก็ขับไล่นางออกไปเสีย บิดาท่านก็จากไปแล้วนางไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสกุลเกาของพวกเราเลยนะเจ้าคะ”
เกาซ่งอวิ้นเอนหลังพิงเก้าอี้เงยหน้ามองเพดานอย่างเหนื่อยหน่ายใจ กับเสียงสตรีสองคนที่มักจะมายืนคุมเชิงทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่หน้าห้องตนเองเป็นประจำ
ถังจื่อรั่วอายุน้อยกว่าตน 2 ปีเศษ ตอนยังเด็กเขาและนางก็เคยเล่นสนุกอยู่ด้วยกัน หลังจากบิดาจากไป ถังฟู่เฉิงบิดาของถังจื่อรั่วก็เอ่ยเตือนเขาว่าหลัวซิ่นเป็นเพียงมารดาเลี้ยง นางอาจผลาญทรัพย์สมบัติสกุลเกาไปจนหมดก่อนที่เขาจะเติบโตมารับผิดชอบเองได้ ความรู้และการช่วยเหลือตนเองเป็นหนทางเดียวที่ท่านอาถังย้ำเตือนเขาเอาไว้เสมอ
ดังนั้นตนจึงใส่ใจเพียงเรื่องการเรียนและเลือกพักอยู่ในสำนักศึกษาในเมืองซุ่นโจว ห่างหายไม่พบหน้าเด็กน้อยที่คอยเดินตามตนไปนานจนแทบจะจำใบหน้านางไม่ได้แล้ว รู้ข่าวอีกทีถังจื่อรั่วก็กลายเป็นเด็กนิสัยเสียมีชื่อเสียงในทางไม่ดีร่ำลือไปทั่วหมู่บ้าน
ทุกวันนี้แม้จะอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน ตนก็ยังไม่ยอมพบหน้าหญิงสาว และยิ่งสะอิดสะเอียนกับความเหลวไหลของนางที่ได้รับรู้จากปากของถังฮุ่ยหลินมากยิ่งขึ้น
……….
เช้าวันรุ่งขึ้นเกาซ่งอวิ้นก็จากไปโดยที่ไม่มีผู้ใดตื่นทันมาส่งเขากลับเข้าเมือง ถังจื่อรั่วเมื่อรู้ว่าพี่อวิ้นของนางกลับเข้าสำนักศึกษาไปอีกครั้งก็ถือวิสาสะ เดินเข้าไปในห้องของเขา
“อันใดกัน นี่เขาไม่คิดจะกลับมาแล้วหรือไร เป็นเจ้าสองคนแม่ลูกยุยงให้เขาหนีหน้าข้าใช่หรือไม่” หญิงสาวขว้างปาแจกัน อ่างล้างมือ ทุกอย่างที่หยิบฉวยได้ออกไปกลางลานเรือนด้วยความโมโห
นางคิดจะเข้ามาดูให้เห็นกับตาว่าเกาซ่งอวิ้นกลับเข้าเมืองไปแล้วจริงๆ หรือไม่เท่านั้น กลับพบว่าชายหนุ่มเก็บเสื้อผ้า ตำรา ของใช้ส่วนตัวของตนไปจนหมดสิ้นคล้ายจะไม่กลับมาเหยียบเรือนสกุลเกาแห่งนี้อีกแล้ว
“อาอวิ้นคิดถูกแล้วล่ะ เป็นข้า ข้าก็ไม่คิดจะกลับมาเหยียบที่นี่อีกเช่นกัน สตรีที่ล้างแต่ใบหน้าอย่างเจ้า ผู้ใดเขาอยากจะเข้าใกล้บ้างเล่า” หลัวซิ่นแสร้งทำมืออุดจมูก สีหน้ารังเกียจหญิงสาวที่มีคราบไคลตามลำคอและข้อพับด่างดำเป็นดวงอย่างเห็นได้ชัด
“นังแก่ เจ้าอย่าลืมว่าเจ้าเป็นผู้ใด ข้าต่างหากที่เป็นนายหญิงตัวจริงเจ้าของเรือนแห่งนี้”
“พี่ใหญ่ พอเถิดเจ้าค่ะ พี่เขยไม่อยู่แต่เขายังไม่ได้ขับไล่พวกเราออกไปเท่านี้ก็ดีแล้วมิใช่หรือ” ถังฮุ่ยหลินพยายามห้ามปรามพี่สาว นางเพิ่งจะโล่งใจเมื่อเห็นว่าพี่ชายไม่ได้ไปยกเลิกการหมั้นหมายกับหัวหน้าหมู่บ้าน ไม่อยากให้พี่ใหญ่ของนางหาเรื่องทะเลาะกับท่านน้าหลัวอีก
“นี่เป็นเรือนของเราในอนาคตนะน้องเล็ก ไม่มีผู้ใดมาขับไล่เราออกไปได้หรอก ข้าจะบ่นจะด่าใครในเรือนของว่าที่สามีข้าก็ย่อมทำได้” ถังจื่อรั่วเถียงคอเป็นเอ็น
“ตามใจเจ้าเถิด อยากอยู่ก็อยู่ไป อาอวิ้นให้ที่เจ้าซุกหัวนอนก็เป็นบุญของเจ้าสามพี่น้องแล้ว จากนี้เราสองแม่ลูกก็จะเลิกทำอาหาร ต่างคนต่างอยู่ไปจนกว่าเจ้าจะได้เป็นภรรยาของอาอวิ้นอย่างถูกต้อง เงินที่ซ่งอวิ้นใช้จ่ายอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นเราสองแม่ลูกช่วยกันทำมาหากิน มีเท่าใดข้าก็จะส่งไปให้เขาให้หมด ไม่มีเหลือมาเลี้ยงดูเจ้าสามพี่น้องอีกต่อไปแล้ว”
นางหลัวเด็ดขาดพอที่จะทำเช่นนั้นจริงๆ ข้าวสารอาหารแห้งที่สะสมไว้ในเรือน นางขนไปฝากไว้กับเพื่อนบ้านที่สนิทสนมกัน ถึงเวลาก็ไปขอใช้เตาเรือนผู้อื่น กินเสร็จก็กลับมานอนที่เรือน เช้าก็ออกไปทำไร่ไถนากันสองคนแม่ลูก
ข้าวของที่ถังจื่อรั่วขว้างปาจนเสียหายนางก็ไม่หาซื้อมาเพิ่ม อดทนดมกลิ่นไม่พึงประสงค์จากเด็กทั้งสามที่ไม่รู้จักดูแลตนเอง ไม่ยอมล้างถ้วยจาน ปล่อยให้สามพี่น้องอยู่กันตามสบาย
หลายวันผ่านไปโดยที่ถังเยียนจะเป็นผู้ออกไปหาเก็บไข่นก ขโมยผัก พืชผลในไร่นาของผู้อื่นกลับมาเลี้ยงดูพี่สาวน้องสาวของเขาอย่างยากลำบาก เกลือสักเม็ด น้ำมันสักหยดในครัวนางหลัวก็ไม่เหลือไว้ให้ใช้ ทำให้สามพี่น้องต้องทนกินแต่มันต้ม มันเผาสลับกันไปจนแทบจะอาเจียนออกมาเป็นต้นมันอยู่แล้ว
“เรายังเหลือที่ดินสามหมู่ของท่านพ่อท่านแม่อยู่ เจ้าสองคนไม่ต้องกังวลไปว่าข้าจะหาเงินไม่ได้ อีกเดี๋ยวข้าจะไปหาท่านหัวหน้าหมู่บ้าน โฉนดที่ดินผืนนั้นคงจะมอดไหม้ไปกับกองเพลิงไปแล้ว ผู้เฒ่าเหลียงน่าจะจัดการแทนเราได้” ถังจื่อรั่วคิดจนหัวแทบแตกว่าตนหลงเหลือสิ่งใดเพื่อนำเอาออกไปขายแลกอาหารมาได้บ้าง
ข้าวของที่นางขนหนีมาจากกองเพลิงมีเพียงเสื้อผ้าที่นางหวงแหน น้องชายกับน้องสาวเห็นตนวุ่นวายอยู่แต่กับเสื้อผ้า เด็กทั้งคู่ก็ทำตาม ไม่คิดจะหยิบข้าวของอื่นที่พอจะขายได้ออกมาสักชิ้น
เดิมทีที่ดินสามหมู่สมควรจะเป็นสินเดิมติดกายยามออกเรือนของนาง แต่เวลานี้หญิงสาวหิวโซและเบื่อมันต้มผักต้มเหลือเกินแล้ว จึงคิดขายที่ดินออกไปเสีย อย่างไรนางก็ไม่มีวันไปทำงานในไร่นาอย่างสตรีคนอื่นเป็นแน่