เจรจาธุรกิจเหรอ?
ไม่น่าแปลกใจหรอกถ้าจะได้ยินประโยคนี้หลุดออกจากปากรัญญ์ เป็นพี่น้องกันก็จริง มีสายเลือดเดียวกันก็จริง แต่มันก็แค่กึ่งหนึ่ง ซ้ำยังไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรนัก อย่างไรก็ต้องมีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องด้วยอยู่แล้ว แต่ก็เอาเถอะ ไหนๆ เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาคงไม่มีทางเลือกอะไรที่ดีไปกว่านี้ รอฟังข้อเสนอของอีกฝ่ายก่อนแล้วกัน ถ้าดูไม่เข้าท่าก็ค่อยบอกปัดทีหลัง
“เชิญพี่รัญญ์เริ่มได้เลยครับ”
สุดท้ายก็เลือกที่จะเรียกว่าพี่ อย่างน้อยก็อาจจะทำให้รัญญ์ตระหนักได้ว่าเขาเป็นน้อง เผื่ออีกฝ่ายจะเมตตาเอ็นดู ไม่ใจร้ายใช้มาตรการหรือแผนทางธุรกิจที่โหดร้ายกับเขามากนัก
รัญญ์ยิ้มมุมปากรับให้กับคำแทนตัวนั้น กดก้นกรองบุหรี่ที่ยังมีควันฉุยลงบนกระจกใสของโต๊ะทำงาน ก่อนถอยกลับมานั่งด้วยท่าทางสบายๆ แล้วเริ่มเปิดปากพูด
“ฉันพอจะได้ยินมาอยู่ว่าสถานการณ์ของบริษัทนายเป็นยังไง อย่างที่ให้มาโมรุบอกนายว่าฉันจะเข้ามาช่วยเหลือ”
“พี่รัญญ์จะช่วยเหลือผมยังไงครับ”
“นายคิดว่าฉันจะช่วยเหลืออะไรนายล่ะ”
รัญญ์ถามกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบทว่าแฝงไปด้วยความยียวน ในใจของชนิณคิดไปแล้วว่ารัญญ์อาจจะขอซื้อกิจการทั้งหมดแล้วเข้ามาบริหารจัดการแทนเป็นแน่เลยหลุดปากพูดดักคอออกมา
“ถ้าพี่รัญญ์จะขอเทคโอเวอร์กิจการทั้งหมด ผมคงต้องปฏิเสธ ผมจำเป็นต้องครอบครองมันไว้ อย่างไรซะ มันก็ยังทำเงินให้ผมได้เรื่อยๆ”
“เงินที่เป็นผลกำไร หรือเงินที่ขาดทุนล่ะ”
ยียวนกลับมาอีกครั้ง ทำเอาชนิณพูดไม่ออก ดูท่ารัญญ์จะรู้ทะลุปรุโปร่งแล้วล่ะว่าสถานการณ์ของบริษัทเป็นอย่างไร ความจริงก็ไม่น่าสงสัยหรอก ถ้าไม่รู้ เขาจะโผล่มาพร้อมกับยื่นข้อเสนอว่าจะช่วยเหลืออย่างนั้นเหรอ?
“เอาเป็นว่าฉันจะมาช่วยแล้วกัน ยังไงซะบริษัทนี้ก็เป็นของพ่อบังเกิดเกล้า นายเองก็เป็นน้องฉัน แม่นายป่วยหนักอยู่ด้วยนี่ ดูยังไงนายก็น่าจะร้อนเงิน ได้ข่าวมาว่าถูกพวกจิ้งจอกเฒ่ารวมหัวกันจะปลดออกจากตำแหน่ง ฉันที่มีอำนาจต่อรอง และเป็นพี่นายจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือหน่อยมันจะเป็นไรไป”
รู้ทะลุปรุโปร่งอย่างที่คิดไว้จริงๆ ด้วย ชนิณมั่นใจว่าเขาไม่ได้ปริปากเล่าอะไรให้คนทางฝั่งรัญญ์รู้ข้อมูลพวกนี้เลยสักนิด ดูท่าทางจะมีสายบอกข่าว แต่นั่นก็ไม่สำคัญอีกแล้วในตอนนี้ ชายหนุ่มอยากรู้มากกว่าว่ารัญญ์จะช่วยเขาด้วยวิธีไหน
“พี่รัญญ์มีแผนอะไรครับ”
ถามเข้าตรงประเด็น ไม่มีอ้อมค้อมแต่อย่างใด รัญญ์เองก็ใช่ว่าเป็นพวกชอบพูดอ้อมไปอ้อมมา ในเมื่อถามมาตรงๆ อย่างนี้ เขาก็จะยื่นข้อเสนอไปตามตรงเลยแล้วกัน
“มันก็ไม่มีอะไรมาก ฉันจะกว้านซื้อหุ้นบริษัทนายทั้งหมดจากจิ้งจอกเฒ่าพวกนั้น และส่งคนเข้ามาช่วยนายบริหารกิจการ เท่านี้บริษัทก็จะกลับมาเป็นของสายเลือดผู้ชายคนนั้นเหมือนเดิม”
ผู้ชายคนนั้นที่รัญญ์พูดถึง เดาไม่ยากก็รู้ว่าหมายถึงบิดา ชนิณพยักหน้ารับ ในหัวไตร่ตรองเล็กน้อยว่ามันจะเป็นไปได้หรือที่กรรมการบริษัทพวกนั้นจะยอมขายหุ้นที่ถืออยู่ง่ายๆ เห็นจ้องจะฮุบตาเป็นมัน คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักหรอก
“คุณชนิณไม่ต้องห่วงครับ ทางเรามีมาตรการในการต่อรอง ไม่ว่ายังไง คนพวกนั้นก็ต้องยินยอมขายหุ้นให้คุณรันมารุ”
จู่ๆ มาโมรุก็แทรกขึ้นมาราวกับอ่านใจได้ว่าชนิณคิดอะไร
“ยังไงเหรอครับ”
“ฉันมีวิธีก็แล้วกัน”
คราวนี้รัญญ์โพล่งเข้ามา ฟังดูคล้ายกับว่าไม่อยากจะบอก ชนิณดูท่าทางอีกฝ่ายก็รู้เลยไม่ถามต่อ เปิดโอกาสให้รัญญ์ได้ดำเนินการเจรจาต่อไป
“นอกจากนั้น ฉันจะปันผลกำไรของบริษัทในแต่ละเดือนให้นายห้าสิบเปอร์เซ็นต์ นายไม่ต้องสนว่าฉันจะถือหุ้นเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ของบริษัท เพราะฉันจะให้นายห้าสิบ”
ดวงตาของชนิณเบิกโต แทบไม่อยากเชื่อว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้หลุดออกจากปากของคนที่เจรจาธุรกิจร่วม
“อะไรนะครับ”
“ฉันบอกว่าจะให้นายห้าสิบต่อห้าสิบของผลกำไร ทำไม ไม่อยากได้งั้นเหรอ”
“เปล่าครับ”
รีบปฏิเสธทันควัน ใครกันล่ะที่ไม่อยากได้ แต่มันแปลกนี่นา ก็หุ้นทั้งหมดของบริษัทที่กรรมการแต่ละคนถือ รวมๆ กันแล้วมันเกือบแปดสิบเปอร์เซ็น แล้วถ้ารัญญ์จะกว้านซื้อทั้งหมด ก็ต้องได้ผลกำไรแปดสิบเปอร์เซ็นสิ มาให้เขาถึงห้าสิบมันก็แปลกๆ
รู้สึกแปลกและสงสัยจนเผลอแสดงออกทางสีหน้า ทำเอารัญญ์ที่จ้องมองตรงๆ อยู่หัวเราะในลำคอ
“อย่าคิดอะไรมากน่า บอกแล้วว่ายังไงนายก็เป็นน้องฉัน แม่นายก็ป่วยหนักอยู่ คงต้องการเงินไปเป็นค่าใช้จ่ายเยอะ ฉันเคยช่วยชีวิตคนอื่นมามาก จะมาช่วยน้องกับแม่เลี้ยงอีกสักหน่อย มันจะเป็นไรไป คนในครอบครัวเดียวกัน”
ฟังแล้วก็อุ่นใจขึ้นมา เจรจาธุรกิจที่ว่าคงจะเป็นแค่ชื่อเรียกการพูดคุยในครั้งนี้เฉยๆ รัญญ์อาจจะหวังดีจริงๆ ก็ได้ เขาก็แค่ระแวงไปเองว่าอีกฝ่ายต้องการผลประโยชน์
“ฉันยื่นข้อเสนอแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่นายตัดสินใจ ถ้านายตกลง ก็เซ็นเอกสารซะ แล้วทุกอย่างจะเริ่มดำเนินการทันที”
รัญญ์หยิบบุหรี่มวนใหม่ขึ้นมาสูบ มืออีกข้างที่ว่างอยู่กระดิกนิ้วเล็กน้อย มาโมรุที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ตรงเข้ามาวางแฟ้มลงบนโต๊ะและเลื่อนเข้าไปหาชนิณด้วยท่าทีสุภาพ
“เอกสารสัญญาตกลงยอมรับเงื่อนไขครับ”
ชนิณพยักหน้ารับ ใช้ปลายนิ้วดันกรอบแว่นให้เข้าที่กับสันจมูกเล็กน้อย เขาไม่ท้วงติงใดๆ เรื่องสัญญาทั้งนั้นด้วยรู้ดีว่าการทำธุรกิจร่วมกัน ต่อให้สนิทชิดเชื้อกันแค่ไหน เป็นพ่อแม่ลูกหรือพี่น้องก็จำต้องมีสัญญาไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
ธรรมชาติของมนุษย์น่ะ ถ้ามีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องเมื่อไหร่ มันก็พร้อมที่จะลืมสิ้นทุกความสัมพันธ์ที่มีแล้ว
ชนิณไล่สายตาอ่านทุกตัวอักษรบนกระดาษแผ่นนั้น เงื่อนไขในสัญญาระบุไว้ชัดเจนเหมือนกับที่รัญญ์ได้พูดไว้ก่อนหน้าไม่มีผิด เขาจะได้ส่วนแบ่งจากผลกำไรห้าสิบเปอร์เซ็นต์ และยังได้ดำรงตำแหน่งเดิมโดยที่รัญญ์จะรั้งตำแหน่งกรรมการบริษัทเท่านั้น เพียงแต่ชายหนุ่มจะขอใช้อำนาจในการให้คนส่วนตัวเข้ามาบริหารจัดการด้วย
เขาไม่มีปัญหาอะไรหรอก ดีเสียอีกที่ภาระได้รับการแบ่งเบา ดูท่าแล้วเขาไม่ต้องทำอะไรมากด้วยซ้ำ มีหน้าที่แค่เซ็นเอกสารอย่างเดียว ที่เหลือก็อยู่เฉยๆ รอผลกำไร มีเวลาว่างมากพอที่จะไปดูแลมารดาได้ และเขาก็เกือบจะหยิบปากกามาเซ็นอยู่แล้วถ้าหากว่าสายตาไม่เหลือบไปเห็นเงื่อนไขข้อสุดท้ายที่รัญญ์ไม่ได้เอ่ยถึงก่อนหน้า