ความหวังนั้นมีชื่อว่า...รัญญ์
บางทีเขาก็คิดว่าตัวเองเป็นคนไม่เอาไหน...
ไม่สิ ไม่ใช่แค่บางที เขาคิดว่าตัวเองเป็นคนไม่เอาไหนเลยล่ะ ทั้งเอาแต่ใจตัวเอง รักอิสระเกินตัว เชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป ซ้ำยังเคยคิดอีกว่าการเลือกทางเดินที่ชอบเพื่อดำเนินชีวิตของตัวเองเป็นสิ่งที่ถูก ผลจากการตัดสินใจอย่างขาดวุฒิภาวะในตอนนั้นมันส่งผลกระทบเอาในตอนนี้
ถ้าตอนนั้นเขาเลือกที่จะฟังผู้เป็นพ่อ ไม่ดื้อดึงจะเรียนต่อในสายภาษา แต่เรียนต่อในสายบริหารธุรกิจ ทุกอย่างคงไม่ต้องลงเอยอย่างนี้
เขาคงจะมีความรู้ในการบริหารจัดการทุกอย่างในบริษัทมากกว่าที่เป็นอยู่ คงจะรู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปเพื่อประคองธุรกิจของครอบครัวให้ดำเนินไปได้โดยที่เขาไม่ต้องสูญเสียมากเกินความจำเป็น ที่สำคัญ เขาคงไม่ต้องเห็นบริษัทที่บิดาสร้างมากับมือด้วยน้ำพักน้ำแรงค่อยๆ ถูกคนอื่นชุบมือเปิบไปกับตา แม้ว่าตอนนี้มันจะยังเป็นของเขา แต่ก็คงได้อีกไม่นานในเมื่อตอนนี้มารดาเขาซึ่งเป็นประธาน และตัวเขาที่เป็นรองประธานบริษัทแทบจะไม่มีสิทธิ์หรืออำนาจใดๆ แล้วเมื่อพวกเขาจำเป็นต้องค่อยๆ เปิดขายหุ้นที่ครอบครองออกไปทีละนิด
เป็นเจ้าของแค่ในนาม... อีกไม่นาน ธุรกิจของบิดาคงได้ตกอยู่ในมือของคนอื่นเป็นแน่
ยิ่งคิด ชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่อย่าง ชนิณ ที่เพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่งรองประธานบริษัทหมาดๆ ก็ยิ่งเครียดจนหัวแทบแตก การเข้ามาบริหารงานโดยที่เขาแทบไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง นอกจากทำตามคำแนะนำของเลขาฯ เก่าของบิดาที่คอยแนะนำนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
อย่างที่บอกว่าชนิณไม่ได้มีความรู้ในทางด้านนี้มากนัก เขาเรียนสายภาษามา เรียนจบก็ไปต่อปริญญาโทด้านภาษาอีกเช่นกัน หลังจากนั้นถึงได้เข้าไปทำงานด้านงานแปลและล่ามในบริษัทเอกชนสัญชาติญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง งานอะไรที่เกี่ยวกับบริษัทนำเข้าอะไหล่รถยนต์ของบิดานั้น เขาแทบไม่รู้เรื่องเลยสักนิด ก็ยังดีที่ว่าพูดภาษาญี่ปุ่นได้ การเจรจาติดต่อกับชาวต่างชาติจึงไม่ลำบากเท่าไหร่ กระนั้นมันก็เป็นเรื่องยากสำหรับเขาอยู่ดี แค่เข้ามาทำงานได้เกือบครึ่งปี เขาก็มีเรื่องชวนปวดหัวไม่เว้นวันแล้ว ไหนจะยอดขายตกลง ถูกรายล้อมไปด้วยพวกเสือสิงห์อย่างบรรดาหุ้นส่วนที่ทำให้เขาต้องหวาดระแวงว่าจะถูกหักหลังอยู่ตลอดเวลา ซ้ำยังถูกดูแคลนว่าไม่เอาอ่าว แค่นี้ก็กดดันมากจนทนแทบไม่ไหว
แต่ถึงไม่ไหวก็ต้องทน ในเมื่อบริษัทนี้เป็นแหล่งรายได้ทางเดียวที่จะได้มาซึ่งเงินตรา
เงิน... ที่ใช้รักษามารดาของเขา
คล้ายว่าเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัด หลังจากบิดาเสียชีวิตไปเมื่อปีกลาย มารดาที่ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทแทนที่บิดาก็มาล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง การต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่หลวงโดยไม่ทันได้ตั้งรับทำให้เขาต้องทิ้งความชอบทุกอย่าง เข้ามารับผิดชอบสิ่งที่บิดาและมารดาทิ้งไว้ให้เพื่อช่วยชีวิตคนที่เขารัก ดังนั้นโจทย์ชีวิตอันแสนยากเข็ญของเขาในตอนนี้ก็คือ... ทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้ช่องทางทำกินเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ตกไปอยู่ในมือคนอื่น
ความจริงคนอย่างเขาจะหาเงินด้วยช่องทางอื่นก็ได้ แต่การได้เงินปันผลจากธุรกิจนี้มันมากกว่างานรับจ้างหรือเป็นพนักงานต๊อกต๋อยทั่วไป การเจ็บป่วยของมารดามีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ถ้าเขายังทำงานเดิมอยู่ เมื่อไหร่กันล่ะที่จะหาเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่ดีที่สุดในการรักษามารดาได้
ชนิณว่าตัวเองคิดถูก แต่สถานการณ์ไม่เป็นใจเอาเสียเลย เมื่อเดือนนี้รายได้ที่เขาควรจะได้ตามการประเมินของฝ่ายการตลาดดันผิดคาด ส่อแววว่าจะขาดทุนจนถึงขนาดที่บรรดาหุ้นส่วนที่ดำรงตำแหน่งกรรมการรวมหัวกันออกปากในที่ประชุมว่าจะปลดเขาและมารดาออกจากตำแหน่ง แล้วแต่งตั้งบุคคลใหม่ขึ้นมาแทนถ้าหากว่าเดือนนี้ชายหนุ่มไม่สามารถทำกำไรได้ตามเป้าที่วางไว้
มันใช่เรื่องไหมล่ะ! นี่มันบริษัทของครอบครัวเขา! กิจการที่บิดาเขาสร้างมากับมือ เรื่องอะไรจะให้พวกหน้าเลือดรวมหัวกันชุบมือเปิบไป!
กระนั้นก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งรอความหวัง
ความหวังสุดท้ายที่เพิ่งจะติดต่อมาเมื่อสองวันก่อนอย่างไม่ทันให้เขาได้ตั้งตัว
ความหวังนั้นมีชื่อว่า...รัญญ์
พี่ชายต่างมารดาที่เขาไม่เคยพบหน้าสักครั้งในชีวิต
ก็ใช่ว่าชนิณจะไม่รู้ว่าบิดาเคยมีครอบครัวมาก่อน เพียงแต่ตอนนั้นเขายังเด็กมากเกินที่จะเข้าใจเรื่องราวซับซ้อน อีกทั้งเมื่อโตขึ้นมาพอจะรู้ความ บิดามารดาก็ไม่เคยพูดถึงภรรยาเก่าของพ่อและพี่ชายต่างสายเลือดคนนี้เลยสักนิด หนำซ้ำตอนบิดาเสียชีวิต รัญญ์ยังไม่แม้แต่จะติดต่อมาซึ่งเขาก็ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องนี้หรือไม่ ที่เขารู้ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพี่ชายคนนี้ช่างเหินห่างเหลือเกิน
...เหินห่างจนแทบจะเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน
ก็คนแปลกหน้านั่นแหละ เขาไม่รู้สึกผูกพันอะไรกับรัญญ์สักนิด แต่ก็ยอมรับว่าดีใจอย่างสุดซึ้งที่ได้รับการติดต่อจากคนสนิทของรัญญ์ในวันนั้น และดีใจยิ่งกว่าเมื่อรู้ว่าการติดต่อมาในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือเขา
กอบกู้กิจการ... คนสนิทของรัญญ์ว่าไว้อย่างนั้น