ประมุขถานโบกมือเบาๆ แผ่นหนังที่ม้วนห่อวางไว้บนแท่นสูงดั่งเป็นของสำคัญก็ลอยเข้ามาหา เขากางม้วนพันธสัญญาออกก่อนจะจัดการรองเลือดของนางลงบนแผ่นหนัง
ซ่า!
ราวกับเลือดหยาดหยดลงบนแผ่นเล็กร้อนก็ไม่ปาน เลือดที่หลั่งรินหยดแล้วหยดเล่าถูกกลืนหายลงไปในม้วนหนังพันธสัญญาทุกหยาดหยด
ถานอ้ายเยว่แม้ไม่ได้ร่ำเรียนหนังสือ แต่ก็รู้ว่าการหยดเลือดบนพันธสัญญาคือสิ่งใด นั่นหมายถึงนางได้กลายเป็น ‘ผู้ผูกพันธะ’ ไปโดยปริยาย ซึ่งผู้ผูกพันธะนั้นจะมีสองฝ่าย อีกทั้งยังต้องกระทำตามเนื้อความในพันธสัญญาร่วมกัน หากใครคนใดคนหนึ่งฝ่าฝืนนั่นหมายถึงความตายเพียงเท่านั้น
เคร้ง!
ทันทีที่เถาวัลย์ปลดปล่อยนางให้เป็นอิสระ โซ่ทิพย์ขนาดใหญ่ก็พวยพุ่งออกจากม้วนพันธสัญญาตรงเข้าล่ามขาทั้งสองข้างของนางเอาไว้ดั่งนักโทษไม่ให้หลบหนี
“นับจากนี้เจ้าจะเป็นเจ้าสาวของ ‘ท่านโหวปีศาจ’ โดยจะออกเดินทางไปยังเทือกเขาฉิงลี่ภายในวันนี้”
สิ้นสุดคำประกาศของบิดา ถานอ้ายเยว่ก็ถึงกับปล่อยโฮออกมาด้วยความหวาดกลัว ใครบ้างเล่าไม่หวาดกลัวท่านโหวปีศาจผู้นั้น ชายผู้มีเศษเสี้ยวปราณปีศาจอยู่ในร่างกาย อีกทั้งยังเป็นผู้ครอบครองพลัง ‘หมื่นโลหิต’ สามารถกระชากโลหิตออกจากร่างกายศัตรูได้ในชั่วพริบตา
ความสามารถของเขาเป็นภัยต่อบ้านเมือง จนองค์ฮ่องเต้ต้องขอเข้าเจรจาแล้วมอบตำแหน่ง ‘โหว’ ให้เขาเพื่อแสดงเจตจำนงเป็นพันธมิตร ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับเขาและตระกูลของเขาซึ่งทุกคนล้วนสืบสายเลือดปีศาจทั้งสิ้น
ดั่งส่งหนูท่อเข้าไปในดงงูพิษ!
ส่งนางไปตาย!
ถานอ้ายเยว่ก้มมองโซ่ตรวนสีแดงเพลิงที่ล่ามขาทั้งสองข้างไว้ โซ่นี้จะมีเพียง ‘ผู้ผูกพันธะ’ เท่านั้นที่มองเห็น และมันจะหายไปในทันทีเมื่อพันธสัญญาเสร็จสิ้น ทันทีที่พันธะเสื่อมคลายนางคงถูกท่านโหวผู้นั้นฆ่าทิ้งราวกับบี้มดตัวหนึ่งเท่านั้น
“ดีใจด้วยนะน้องสี่ ในที่สุดก็มีใครสักคนเห็นค่าของเจ้าแล้ว”
คุณหนูใหญ่ผู้ครอบครองธาตุน้ำเอ่ยขึ้น พลางสืบเท้าเข้าหาแล้วบีบใบหน้าของน้องสาวคนเล็กให้แหงนเงยขึ้น
“แต่อัปลักษณ์เช่นเจ้า เห็นทีว่าท่านโหวปีศาจคงจะฆ่าทิ้งมากกว่าเก็บไว้ข้างกาย ฮาฮ่าฮ่า”
พูดพลางสะบัดมือแรงจนใบหน้าอ้ายเยว่หันไปตามแรงผลัก หญิงสาวไม่ได้โต้ตอบ นางไม่เหลือแม้เรี่ยวแรงที่จะหยัดยืนด้วยซ้ำไป
ก้มมองเสื้อผ้าที่สวมใส่ก่อนจะแค่นหัวเราะออกมาในอก บิดาทำดีกับนางก็เพื่อผลประโยชน์จริงๆ แม้จะรู้อยู่แก่ใจ แต่นางก็ยังหวังดั่งคนโง่ว่าเขาจะมีเมตตาต่อนางซึ่งเป็นสายเลือดของเขาบ้างแม้เพียงเศษเสี้ยวธุลีดิน
“ผอมมีแต่กระดูกเช่นเจ้า ท่านโหวปีศาจคงไม่คิดจะนำมาร่วมเตียงแน่ คงนำไปเป็นผ้าขี้ริ้วไว้เช็ดฝ่าเท้าเสียมากกว่า”
คุณหนูสามหัวเราะคิกคักอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก ดวงตาที่มองน้องสี่เต็มไปด้วยความดูแคลนอย่างไม่ปิดบัง ด้วยน้องคนสุดท้องของตระกูลมีรูปร่างเล็กแกร็น ผอมแห้ง ใบหน้าซูบตอบ ดวงตาอิดโรย ผิวแห้งกร้านหยาบกระด้าง ดั่งซากศพที่มีชีวิตหาใช่หญิงสาวอายุสิบแปดที่กำลังจะออกเรือนแม้แต่น้อย
“เสียดายที่ข้าต้องส่งมอบของเล่นแสนสนุกให้ท่านโหว เฮ้อ...”
คุณชายสองผู้ครอบครองพลังลมส่ายหน้าน้อยๆ เขาได้รับมอบหมายจากบิดาให้ควบคุมขบวนส่งตัวเจ้าสาวไปยังแคว้นฉิงลี่ด้วยตนเอง
“อย่าทำเป็นเล่นไป เรื่องนี้จะให้ผิดพลาดไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะถ้าหากนางเกิดตายระหว่างทาง คนที่ต้องแต่งงานกับท่านโหวปีศาจก็คือ ‘เสียงเอ๋อร์’ หรือไม่ก็ ‘รู่เอ๋อร์’ บุตรคนใดคนหนึ่งที่มีเชื้อสายสกุลถาน”
ประมุข ‘ถานจิ้นหู’ ผู้ครอบครองพลังลมเฉกเช่นบุตรชายเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ไม่มีตระกูลใดอยากเป็นศัตรูกับตระกูลเฉิง อีกทั้งพันธสัญญาฉบับนี้ถูกสร้างขึ้นเพราะประมุขเฉิงคนก่อนได้ช่วยชีวิตประมุขถานคนก่อนซึ่งก็คือบิดาของเขาเอาไว้
เนื้อความแห่งพันธสัญญากล่าวเอาไว้ว่า ให้บุตรชายคนโตของสกุลเฉิงแต่งงานกับบุตรีของสกุลถาน ซึ่งในสัญญาไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าต้องแต่งงานกับบุตรสาวคนใด ดังนั้นเขาจึงส่งบุตรสาวคนที่สี่ไป ซึ่งเป็นบุตรที่ไร้ประโยชน์มากที่สุด
เดาว่าทางฝั่งนั้นเองก็คงไม่พอใจในตัวพันธสัญญานักหรอก แต่ด้วยไม่อาจขัดขืนจึงจำต้องส่งจดหมายมาทวงถามถึงข้อสัญญา เพราะเวลานี้ ‘เฉิงหวังเล่ย’ ผู้มีฉายาโหวปีศาจมีอายุย่างเข้ายี่สิบห้าปี ซึ่งเหมาะสมแก่การแต่งงานมีคู่ครอง
เดาได้ไม่ยากว่าคงจะนำตัวเจ้าสาวไปแต่งงานเพียงในนามเพื่อบรรลุพันธสัญญา จากนั้นคงจะรับภรรยาที่แท้จริงซึ่งมีสายเลือดปีศาจเพื่อให้กำเนิดทายาทสืบไป
ดังนั้นการที่เขาส่งบุตรสาวที่ถูกลืม นับว่าเป็นการดีแก่ทุกฝ่าย เพราะประมุขผู้ทำสัญญาเอาไว้ต่างก็วายชนม์ไปจนหมดสิ้นแล้ว
หากอีกฝ่ายจะฆ่าหมากตัวนี้ทิ้งหลังจากพันธสัญญาเสร็จสิ้นก็ไม่ถือเป็นความบาดหมางระหว่างสองตระกูลแต่อย่างใด