ตอนที่ 9 : เปิดเผยตัวตน
หลายวันต่อมา
“กลับก่อนนะคะ ไว้เจอกันวันจันทร์” ฉันบอกลาบรรดาเพื่อนและรุ่นพี่แผนกเดียวกันในช่วงเย็นเมื่อได้เวลาเลิกงานในวันศุกร์ของสัปดาห์ ตลอดหลายวันที่ผ่านมาฉันยังคงทำงานได้อย่างปกติ ถึงจะมีความรู้สึกแปลกๆกับเจ้านายหนุ่มหลังจากเกิดเหตุการณ์วันนั้นก็ตาม แต่เขาก็ยังคงทำตัวปกติใส่ฉัน ยังคงยิ้มให้กับพนักงานทุกคนเหมือนเดิม ราวกับไม่มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นอย่างไงอย่างงั้น สายตาและรอยยิ้มชวนขนลุกในวันนั้นก็ไม่เคยเห็นมันอีกเลย ตลอดหลายวันที่ผ่านมาฉันพยายามสังเกตปฏิกิริยาของเขาและเลขาข้างกายทุกอย่างก็ยังคงปกติ ไม่มีใครรู้ว่าทำไมวันนั้นดนัยถึงเดินไปหน้าห้องน้ำหญิงแม้แต่ตัวฉันเองก็ยังหาคำตอบของเรื่องนี้ไม่ได้เหมือนกัน
ฉันเองก็ยังหาคำตอบเรื่องพนักงานที่ชื่อนพไม่ได้ ยังคงรับรู้แค่ว่าเขาลาออกตามที่ติดป้ายประกาศ ถ้ามองในแง่ที่ฉันอยากให้เป็นสายตาของฉันอาจจะตาฝาดไปเองที่ได้เห็นเป็นรูปของพนักงานคนนั้น แต่สิ่งที่ยังติดค้างอยู่ในใจคือทำไมเจ้านายหนุ่มถึงมีภาพศพที่เต็มไปด้วยเลือดอยู่บนโต๊ะทำงาน มันคงไม่ใช่ของที่น่าสะสมเลยสักนิด ฉันเลือกที่จะไม่พูดเรื่องนี้กับใครเพราะไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด ไม่มีใครเชื่อว่าผู้ชายรูปหล่อ มีหน้ามีตาทางสังคม ดูสุขุมเป็นขวัญใจของใครหลายคนจะเก็บภาพศพที่เต็มที่ด้วยเลือดนั้นไว้ดูเล่นเป็นแน่ แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่อยากเชื่อสายตาเหมือนกัน
ไม่นานรถเก๋งสีขาวขนาดกะทัดรัดเหมาะสำหรับหญิงสาววัยพึ่งเข้าสู่วัยทำงานแล่นออกจากบริษัทยักษ์ใหญ่ใจกลางเมือง
"เย็นวันศุกร์รถติดแบบนี้ตลอดเลย และแล้วก็มืดจนได้" ริมฝีปากบางบ่นพึมพำอยู่ภายในรถยนต์ส่วนตัวที่พึ่งถอยออกมาได้ไม่นานจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ดวงตากลมโตจับจ้องไปที่ถนนเบื้องหน้า การจราจรในช่วงเย็นหลังเลิกงานมักเป็นแบบนี้เสมอ ก่อนจะปรายตามองนาฬิกาภายในรถที่บ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาหกโมงครึ่งแล้วและท้องฟ้าก็เริ่มลดแสงลงเรื่อยๆจนกลายเป็นความมืด
"ที่แท้ก็ปิดถนนเพราะเกิดอุบัติเหตุนี่เอง" ฉันปรายตามองเหตุการณ์ตรงหน้าและเลี้ยวรถไปอีกทางตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดทางไว้ให้ ทำให้รถทุกคันต้องตามกันไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งไม่ใช่ทางหลักที่ฉันใช้กลับบ้านในทุกวัน แต่ก็สามารถทะลุหากันได้แต่ค่อนข้างที่จะอ้อมและเปลี่ยวถ้ามาเพียงคันเดียวโดดๆ โชคดีที่วันนี้มีเพื่อนร่วมทางทำให้ฉันเบาใจไปได้เยอะ
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป...จากถนนสี่เลนถูกบีบให้เหลือสองเลนสวนกัน ก่อนหน้านี้ยังมีรถของคนอื่นขับตามกันมา แต่ ณ ปัจจุบันบนถนนเส้นนี้กลายเป็นว่ามีเพียงรถของฉันคันเดียวที่กำลังแล่นอยู่ อยู่ๆเรื่องเล่าต่างๆของถนนเส้นนี้ก็ผุดขึ้นในหัว หลายครั้งที่ได้ยินข่าวอุบัติเหตุจากถนนเส้นนี้และส่วนใหญ่ก็หมดลมหายใจจากที่เกิดเหตุ ภายในรถตกอยู่ในความเงียบ บรรยากาศด้านนอกมืดสนิทมีเพียงแสงสว่างจากไฟส่องถนนเแผ่นระยะเท่านั้น ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่ดึกมากแต่บรรยากาศโดยรอบทำเอาฉันเสียวสันหลังแปลกๆ ข้างทางมีต้นไม้สลับกับบ้านคนอย่างกับกำลังขับอยู่ต่างจังหวัดแต่ความเป็นจริงเป็นเพียงถนนเลี่ยงเมืองแค่นั้น ดวงตากลมโตชำเลืองมองกระจกหลังเป็นระยะด้วยความหวาดระแวง มือบางที่จับพวงมาลัยเหงื่อเริ่มซึมออกมาจนรู้สึกได้
"แยกหน้าก็ถึงทางตัดเข้าเส้นทางหลักแล้วแก้มใส หยุดคิดฟุ้งซ่าน" มือซ้ายเอื้อมไปเปิดเพลงเพื่อทำให้บรรยากาศไม่เงียบมากเกินไป เสียงเพลงเคล้าคลอทำให้บรรยากาศดีขึ้น แต่แล้วแสงไฟจากด้านหลังสาดส่องเข้ามาจนทำให้ดวงตากลมโตชำเลืองมองกระจกหลัง เห็นรถคันหลังจี้เข้ามาใกล้เรื่อยๆ ทำให้ฉันเลือกที่จะเบี่ยงหลบเข้าไหล่ทางพอที่คันหลังจะแซงขึ้นไปได้ และก็ใจชื้นขึ้นมานิดเมื่อมีรถคันอื่นอยู่บนถนนเส้นเดียว
"หื้ม..." คิ้วทั้งสองข้างขมวดเป็นปมเมื่อเบี่ยงรถให้คันหลังแซงแต่รถยนต์คันหลังยังคงจี้ท้ายไม่ลดละ ฉันพยายามเบี่ยงซ้ายเข้าข้างทางให้ชิดกว่าเดิมและชะลอความเร็วลง แต่คันด้านหลังก็เบี่ยงตามดูเหมือนจะชะลอความเร็วตามไปด้วย แสงไฟสาดส่องเข้ามาจากด้านหลังทำเอาสายตาพร่ามัวไม่สามารถมองเห็นป้ายทะเบียนของรถคันนั้นได้ หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำไม่หยุดเมื่อเห็นถึงสถานการณ์ที่ไม่ชอบมาพากล และสมองก็สั่งให้เท้าเล็กเหยียบคันเร่งเพื่อหนีห่าง
บรื้นนนน...
แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่คิด รถคันหลังที่ดูเหมือนจะคันใหญ่และสูงกว่าทรงรถกระบะขนาดใหญ่ยังคงตามไม่เลิกราวกับตั้งใจจะมาหาเรื่อง
บรื้นนนน...
เลขไมล์พุ่งไปถึงหนึ่งร้อยยี่สิบแต่ก็ยังไม่มีทางที่จะหนีพ้น
"เรื่องบ้าอะไรอีกวะเนี่ย" ฉันสบถออกมาอย่างหัวเสีย แรงเหยียบคันเร่งเพิ่มขึ้นมากกว่าเก่าและเป็นครั้งแรกที่ฉันเหยียบคันเร่งจนมิดไมล์ขนาดนี้ แต่แล้วนัยส์ตากลับวูบไหวเมื่อเห็นแสงไฟจากรถคันหน้าสาดส่องเข้ามา เป็นไฟที่ไม่ได้อยู่ในเลนตัวเองและแสบตาจนต้องหยี๋ตาพยายามมองทางพร้อมกับควบคุมรถ และมันก็สายเกินไปที่จะเหยียบเบรคให้หยุดได้ทันเวลาเมื่อคันตรงหน้าตั้งใจขับพุ่งเข้ามา ไฟสีขาวสาดส่องใบหน้าหวานและแยงนัยส์ตาทั้งสองข้างจนไม่สามารถจะต้านทานไหว
"กรี๊ดดดด...."
เอี๊ยดดดด…โคล้ม!
เสียงกรีดร้องดังลั่นพร้อมกับการเบรคกะทันหันทำให้ล้อเสียดสีกับพื้นถนนจนเกิดเสียงดังไปทั่วบริเวณ และสุดท้ายรถเก๋งรุ่นมาตรฐานที่มีหญิงสาวร่างเล็กเป็นคนขับพุ่งลงข้างทางชนกับต้นไม้ใหญ่อย่างจังราวกับเลือกจุดที่จะให้รถยนต์คันนี้พุ่งลงไปชนไว้ตั้งแต่แรก สภาพรถเก๋งสีขาวด้านหน้าพังยับไอความร้อนระบายขึ้นจนเกิดควันขาวราวกับหมอกจางๆ
"อึก..." หน้าผากมนกระแทกกับพวงมาลัยอย่างจัง แรงอัดกับความแรงที่ขับมาทำเอาร่างกายจุกจนร้องออกมาไม่มีเสียง ขาทั้งสองข้างชาจนไม่สามารถขยับได้ ใบหน้าหวานค่อยๆเงยขึ้นมาทั้งที่สติเริ่มขาดหาย ภาพทุกอย่างเบลอไปหมดแต่กลิ่นคาวเลือดกลับคละคลุ้งไปทั่วบ่งบอกว่าตอนนี้ใบหน้าของฉันคงเต็มไปด้วยเลือด น้ำตาไหลออกมาจากหางตาเมื่อหน้าพ่อแม่ลอยเข้ามาในหัว เปลือกตาที่หนักอึ้งเริ่มริบหรี่ลงเรื่อยๆ
รถกระบะโฟร์วิลคู่กรณีที่ขับไล่มาจอดดูสถานการณ์อยู่ไม่ห่างจากที่เกิดเหตุก่อนจะลงจากรถไปหาเจ้านายหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะหลังของรถยนต์คันหรูเป็นคันที่ตั้งใจพุ่งเข้าหารถเก๋งของหญิงสาว
สายตาคมมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นสภาพรถคันนั้นแต่ยังคงนั่งนิ่งไม่ได้ทุกข์ร้อนกับสิ่งที่เกิดขึ้น
"น่าจะสาหัสครับคุณพายุ"
"สาหัส...แสดงว่ายังไม่ตายสินะ" น้ำเสียงเย็นยะเยือกพูดขึ้นเมื่อได้ยินคำรายงานจากลูกน้องที่ขับรถโฟร์วิล ริมฝีปากหนาระบายยิ้มออกมาอย่างเลือดเย็นก่อนจะก้าวขาลงจากรถยนต์คันหรูเดินตรงไปยังรถเก๋งของแก้มใส
ตึก ตึก ตึก
เปลือกตาที่หนักอึ้งใกล้ปิดเต็มทีแต่หูทั้งสองข้างกลับได้ยินเสียงของคนเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ความมืดและม่านตาที่ใกล้จะปิดไม่สามารถบอกได้ว่าใครกำลังเดินเข้ามา เห็นเพียงเงาดำรางๆ ลักษณะสูงใหญ่จนหวาดผวา แต่ฉันกลับรู้สึกคุ้นกับเจ้าของเงาดำนี้
"ชะ ช่วยด้วย..." ฉันพยายามเปล่งเสียงขอความช่วยเหลือแต่มันก็เป็นเพียงลมออกจากปากอย่างแผ่วเบา ผสมกับความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายจนไม่มีแม้แต่แรงขยับปาก "ช่วย...ด้วย..."
"สภาพเธอไม่ต่างจากไอ้เวรนั่นเลยนะแก้มใส" พายุมองภาพของหญิงสาวตรงหน้าอย่างไร้ความรู้สึก
"คะ คุณพายุ" น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจนฉันรู้ว่าใครคือเจ้าของเงาดำ น้ำเสียงนี้ไม่ใช่น้ำเสียงปกติแต่เป็นน้ำเสียงที่เขาใช้พูดกับฉันในห้องทำงานวันนั้น
“เก่งสมคำร่ำลือจริงๆ พยายามสังเกตฉันอยู่ทุกวันจนจำได้ขึ้นใจเลยสินะ เดี๋ยวฉันจะทำให้เธอจดจำฉันจนวันตายเลยล่ะ…ไหนๆก็อยากรู้ตัวตนของฉัน ฉันก็จะเปิดเผยให้เธอเห็นถือว่าเป็นโบนัสครั้งสุดท้าย”