“น่าขยะแขยงเกินทน!” นัยน์ตาดำสนิท เหยียดมองเซี่ยอันหรานอย่างกับเห็นของเน่าเสียเช่นนี้ คงไม่พ้นเป็นท่านราชครูหลิวอี้เฟิง สามีของหญิงสาว
อันหรานถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ทั้งที่นางพึ่งตื่นเต้นกับเรื่องที่เกิดขึ้น ดันต้องมาพบเจอกับคนน่าชัง
แต่ก็ดีเช่นกัน…นางมีคำพูดมากมายอยากจะให้เขาฟัง
“หึ ข้าเองก็ขยะแขยงท่านเกินทน หน้าตาก็แค่พอไปวัดไปวาได้ นิสัยยังจะแย่ กว่าขอทานข้างถนนอีก”
“นี่-” ชายหนุ่มตกใจจนเผลอถอยห่างอย่างเสียกิริยา
ตั้งแต่เกิดมา เขายังไม่เคยถูกผู้ใดว่าร้ายถึงเพียงนี้ ยิ่งกับสตรีตรงหน้า นางมิเคยแม้แต่จะบ่นเขา ออกจะเทิดทูนเสียด้วยซ้ำ แล้ววันนี้เกิดสิ่งใดขึ้น
หรือจะเป็นวิญญาณร้ายมาสิงสู่นาง
“ทำไม ถึงกับอึ้งไปเลยหรือ คำด่าที่ข้าคิดไว้ยังไม่หมดนะ อยากฟังอีกหรือไม่เล่า” อันหรานถลึงตาใส่สามีน่าชัง ตลอดเวลาที่นางฝัน นางไม่เคยได้พูดสิ่งที่อยากพูด ไม่เคยได้ทำในสิ่งที่อยากทำ
ถึงก่อนหน้านางจะแอบมีใจให้อีกฝ่ายอยู่บ้าง แต่พอได้เห็นความชั่วร้ายของอีกฝ่ายแล้ว นางไม่คิดจะโง่งมอีกต่อไป
“เจ้าวิปลาสไปแล้ว ท่านหมอเอายาใดให้เจ้าทานกันแน่”
“ข้าบ้าได้กว่านี้อีก ออกไปเลยไป๊ ชิ่วๆ”
“กิริยาเลวสมเป็นเจ้า! รู้เช่นนี้ข้าเอาเวลาไปร่ำสุรายังจะมีประโยชน์มากกว่า” อี้เฟิงส่ายหน้า เสียดายเวลาชีวิตของตนเอง ที่ต้องรีบกลับมาดูใจนางตามคำสั่งของท่านย่า
นึกย้อนไปวันที่เขาถูกสตรีตรงหน้าวางยา หลิวอี้เฟิงยังรู้สึกโมโหตนเองไม่หาย ที่โง่งมหลงเชื่อกลอุบาย แต่ผู้ที่สมควรถูกโกรธมากที่สุดคงไม่พ้นเซี่ยอันหราน
ในคืนนั้น เขาออกไปสังสรรค์กับสหายที่โรงสุราอย่างเคย แต่ระหว่างที่จะกลับ ก็มีเสี่ยวเอ้อมาแจ้งว่าท่านเซี่ยอู๋ชาง พ่อค้าวาณิชอันดับหนึ่งของแคว้น เชิญเขาขึ้นไปดื่มน้ำชาที่ห้องส่วนตัว
เพราะมีเรื่องจะแลกเปลี่ยนกับท่านเซี่ยอยู่แล้ว หลิวอี้เฟิงจึงขึ้นไปตามคำเชิญ แต่กลับพบว่าในห้องมีเพียงเซี่ยอันหราน ตอนนั้นนางเอ่ยว่าบิดาไปห้องสุขา
อี้เฟิงจึงนั่งดื่มชาและสนทนากับหญิงสาวรอ ทว่าเพียงไม่นานหลังจากนั้น เขาก็รับรู้ว่าทั้งหมดเป็นแผนลวงของสตรีแพศยาผู้นี้!
“ว่าข้าเลว ท่านเองก็ไม่ต่างกัน ร่วมมือกับชู้ คิดฆ่าภรรยาตนเอง”
“เจ้าพูดเรื่องอันใด”
“หึ อย่าทำเป็นไขสือ ทำสิ่งใดก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจ” อันหรานพยายามฝืนความเจ็บตรงกลางหลัง ลุกขึ้นมายืนกอดอก เชิดหน้าใส่อีกฝ่าย ให้รู้ว่านางจะไม่มีทางโอนอ่อนตามเขาอีกแล้ว
จากนี้นางจะชำระความให้เสร็จในคราเดียว แล้วจะหย่าขาดให้รู้แล้วรู้รอดไป
“อย่าโยนเรื่องต่ำตมพวกนั้นให้ข้า มิเช่นนั้น-”
“มิเช่นนั้นท่านจะสังหารข้าหรือ…ก็ลองดูเถิด ข้าจะตะโกนร้องให้คนรู้กันทั่วเรือน”
“…”
“ช่วยด้วย ท่านราชครูจะฆ่าข้า ช่วยด้วย!”
อี้เฟิงกำหมัดแน่น เดินจ้ำอ้าวเข้าไปหาฮูหยินชัง หวังจะยกมือขึ้นปิดปากที่ตะโกนร้องนั่นเสีย ทว่าสาวใช้ของอันหราน กลับเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
“นายท่านเจ้าคะ! ไว้ชีวิตฮูหยินเถิดเจ้าค่ะ ทุบตีบ่าวแทนเถิด” จือจือทรุดตัวลงกับพื้น นั่งขวางให้อี้เฟิงเข้าไปหาอันหรานได้ง่ายๆ
ทำตัวเป็นบ่าวผู้ภักดี ไม่ยอมให้นายถูกทุบตี ทว่าเซี่ยอันหรานผู้นี้มิได้โง่งมเช่นเดิมอีกต่อไปแล้ว
เพียงแค่ท่าทางการปาดน้ำตาของคนสนิท นางก็รับรู้ได้ว่าเป็นการแสร้งทำ อีกฝ่ายคงเห็นว่านางยังไม่ตาย จึงกลัวความผิด คิดจะมาประจบประแจงหวังให้อันหรานยกโทษให้
“อย่าให้ข้าได้ยินเรื่องเลวทรามเช่นนี้ ออกจากปากเจ้าอีก” ราชครูหนุ่มทำท่าฮึดฮัด ก่อนจะเดินจากไปด้วยความไม่พอใจ
“ฮูหยินเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ตอนได้ยินเสียงฮูหยินตะโกน บ่าวใจแทบขาด” สองมือของจือจือ จับเข้าที่ข้อเท้าผู้เป็นนาย
“เจ้าเป็นห่วงข้าอย่างนั้นหรือ แล้วตอนที่ข้าโดนโบย เหตุใดเจ้าไม่แม้แต่จะเรียกร้องรับผิดแทนข้าเล่า”
“เอ่อ นะ นั่นเพราะบ่าวถูกนายท่านขู่ไว้เจ้าค่ะ ท่านกล่าวว่าหากบ่าวรับผิดแทน จะลงโทษฮูหยินให้นักกว่าเดิมเจ้าค่ะ”
เห็นสีหน้าเศร้าหมองของสาวใช้ เซี่ยอันหรานถึงกับเบะปากออกมา แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากต่อความ ทหารยามหน้าเรือนก็วิ่งมาแจ้งว่าครอบครัวสกุลเซี่ยมาเยี่ยมเยือนนาง
เซี่ยอู๋ชาง พร้อมด้วยฮูหยินซูมี่ และบุตรชายคนโตอย่างเซี่ยไห่หยวน เร่งมาพบบุตรสาวถึงในเรือนนอน
เมื่อหลายวันก่อนได้ข่าวว่าอันเอ๋อร์ถูกสามีลงโทษ จนล้มป่วยมิได้สติ พวกเขาก็พากันมาเยี่ยมแล้วครั้งหนึ่ง พอรู้ว่าบุตรสาวฟื้นแล้ว จึงรีบมาเรือนสกุลหลิวทันที
“อันเอ๋อร์ของพ่อ เป็นอย่างไรบ้างลูก”
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่” เซี่ยอันหรานเห็นสีหน้าอมทุกข์ของครอบครัว ก็ห้ามน้ำตาไว้ไม่อยู่
นางฝันถึงเรื่องราวเหล่านี้มาตลอด เห็นความรักและความห่วงใยจากทุกคน ไหนเลยนางจะไม่รู้สึกรักและผูกพันกับพวกเขา
“โถ่~ ลูกแม่ เจ็บมากใช่หรือไม่”
“เจ็บเจ้าค่ะ”
เห็นร่างกายที่บอบช้ำของน้องสาว ไห่หยวนก็กำหมัดแน่น แต่เล็กจนโต เขามิเคยยอมให้ผู้ใด มากลั่นแกล้งอันเอ๋อร์ของเขา แล้วเจ้าหลิวอี้เฟิงมันดีเด่นมาจากที่ใด จึงสั่งโบยแก้วตาดวงใจของสกุลเซี่ยรุนแรงถึงเพียงนี้
“เหตุใดจึงลงโทษกันรุนแรงถึงเพียงนี้ นี่มันคิดจะฆ่าแกงกันชัดๆ”
“จริงขอรับท่านพ่อ…อันเอ๋อร์ เก็บข้าวของเสีย พี่จะพาเจ้าไปจากที่นี่”
“พี่ใหญ่ใจเย็นลงก่อนเจ้าค่ะ ข้ายังไปจากที่นี่มิได้”
“เพราะเหตุใด! เจ้าก็เห็นมิใช่หรือ ว่าชายผู้นั้นมิได้มีใจให้เจ้า ทั้งยังทำร้ายเจ้าปางตาย” เศรษฐีเฒ่าพยักหน้าเห็นด้วยกับบุตรชาย
ยามที่เห็นสภาพของบุตรสาว เซี่ยอู๋ชางอยากจะชักดาบออกมาสังหารหลิวอี้เฟิงเสียให้รู้แล้วรู้รอด แม้จะรู้ถึงสาเหตุที่บุตรสาวถูกลงโทษ แต่ก็ไม่คิดว่าสกุลหลิว จะลงโทษเพื่อหวังเอาชีวิต ดีเท่าใดแล้วที่อันเอ๋อร์ของเขายังไม่ตาย หรือพิกลพิการ
“ท่านพี่กับท่านพ่ออย่าได้เป็นกังวลเจ้าค่ะ ข้าจะหย่าขาดกับเขาแน่…แต่ข้าอยากพาอวี้หลิงกลับสกุลเซี่ยด้วย”
“…”
“ข้ากลัวว่าหากท่านราชครูตบแต่งคุณหนูจ้งเข้ามา ลูกของข้าจะถูกกลั่นแกล้ง”
“หลิงหลิงจะยอมไปหรือลูก นางติดฮูหยินเฒ่ายิ่งนัก อีกอย่าง…เจ้าก็มิได้ดูแลนางมากเท่าที่ควร หลิงหลิงคงมิสนิทใจกับเจ้า” เซี่ยฮูหยินวางหน้าไม่ถูก นางรับรู้เป็นอย่างดี ว่าบุตรสาวเอาแต่คิดหาวิธีทำให้สามีรัก จนมิได้ดูแลหลานสาว
“เพราะเช่นนั้นเจ้าค่ะท่านแม่ ข้าจึงต้องอยู่ที่นี่ก่อน ระหว่างนี้ข้าจะพยายามสนิทกับลูกให้มาก จะใส่ใจดูแลหลิงหลิง อย่างที่ข้าควรจะทำมาตั้งนานแล้ว”
ทั้งสามขมวดคิ้วเข้าหากัน ภายในใจมีแต่ความสงสัย ที่อันหรานไม่มีท่าทีอาลัยอาวรณ์หลิวอี้เฟิง ทั้งที่ก่อนหน้าสนใจแต่ชายผู้นั้น
แต่ก็มิมีผู้ใดคิดทักท้วง เพราะถือเป็นเรื่องดีแล้ว ที่อันเอ๋อร์จะได้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของคนใจดำเช่นนั้น
“คิดได้เช่นนั้นก็ดีแล้วลูก มีสิ่งใดให้พ่อช่วยก็ส่งจดหมายไปบอกพ่อ”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ เช่นนั้นท่านพ่อช่วยหาสาวใช้ ที่ไว้ใจได้ให้ข้าสักคนเถิดเจ้าค่ะ” อันหรานเห็นความสงสัยในแววตาของทั้งสามอย่างชัดเจน
“เจ้าก็มีจือจืออยู่แล้วมิใช่หรือ”
“ข้าอยากได้เพิ่มเจ้าค่ะท่านแม่ ขอคนที่เชื่อใจได้จริงๆ นะเจ้าคะ”
“ถ้าเช่นนั้นพี่ยกเสี่ยวจูให้เจ้าดีหรือไม่ นางเป็นการเป็นงาน ฉลาดหลักแหลม ทั้งยังรู้คุณนัก”
เสี่ยวจูเป็นเด็กสาวอายุเพียงสิบห้าหนาว ไห่หยวนช่วยนางไว้ตอนเกิดภัยพิบัติ ในหัวเมืองทางเหนือ แต่เพราะบิดามารดาของนางสิ้นลมไปแล้ว เขาจึงรับเลี้ยงไว้ ให้มาเป็นบ่าว คอยช่วยจัดการเรื่องอาหารการกิน เครื่องนุ่งห่มต่างๆ
“เจ้าค่ะ พี่ใหญ่ถามนางทีเถิดว่าอยากมาหรือไม่ ข้ามิอยากบังคับใจผู้ใด”
“เอาไว้พี่จะถามนางให้”
อยู่พูดคุยกันต่ออีกไม่นาน สกุลเซี่ยก็กลับไป โดยไม่ได้สนใจทักทายเจ้าของเรือนเลยสักนิด เพราะยังรู้สึกเคืองเรื่องที่เกิดขึ้นไม่หาย
หลังจากครอบครัวกลับไปแล้ว อันหรานก็มาย้อนนึกถึงเรื่องราวก่อนหน้า นางทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนมั่นใจว่าจือจือมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่นางถูกสั่งโบยจริงๆ
เพราะก่อนหน้านี้ เป็นจือจือที่เอ่ยว่า คุณหนูจ้งเถียนเหม่ยใช้มนต์ดำทำเสน่ห์ให้อี้เฟิงลุ่มหลงแล้วแนะนำให้นางใช้วิธีเดียวกันแก้ และก็เป็นจือจือที่หานักพรตผู้นั้นมาให้นาง ไหนจะท่าทีไม่ตื่นตระหนก ไม่โศกเศร้ายามที่นางถูกโบยนั่นอีก
เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็คงชัดเจนแล้ว
“เห็นทีข้าจะเลี้ยงเจ้าไว้มิได้แล้วจือจือ”