ดวงตาสีเขียวมองไปที่นอกหน้าต่างด้วยความแปลกใจ แสงทองยังไม่แต้มขอบฟ้าแต่เธอก็สัมผัสได้ถึงความวุ่นวายรอบข้าง
“ดีเหลือเกินที่ท่านหญิงหลับสนิทเช่นนี้” เจย์นาเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มโล่งอกแล้วตบมือเรียกนางกำนัลอีกสามสี่คนเข้ามาสมทบ “หม่อมฉันกลัวท่านหญิงจะตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ”
เสียงหัวเราะคิกคักของบรรดานางกำนัลสาวทำให้เมอริอาร์ทำสีหน้าไม่ถูก
“ข้าไม่เห็นมีเรื่องใดให้ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับนี่”
“แต่ส่วนใหญ่ผู้หญิงที่จะได้แต่งงานก็จะตื่นเต้นจนนอนไม่หลับนี่เจ้าคะ” เจย์นาทำหน้าล้อ “เอาเถิดเจ้าคะ เร่งลงจากเตียงแล้วเตรียมตัวกันดีกว่า”
“ไยต้องเรื่องมากนัก ท่านแม่ทัพอูเซอร์คาเรสละตำแหน่งเจ้าชายแห่งอียิปต์แล้ว ข้าก็ไม่ต้องทำพิธีวุ่นวายอย่างที่ราชสำนักกำหนดมิใช่หรือ”
“แต่องค์ฟาโรห์ต้องการให้สมเกียรติท่านแม่ทัพและท่านหญิงนี่เพคะ” เจย์นาดึงหญิงสาวลงมาจากเตียง มือเรียวช่วยปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเธอออกเพื่อที่จะได้อาบน้ำชำระร่างกายให้ผุดผ่อง
เมอริอาร์ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับบรรดานางกำนัลที่เข้าใจไปว่าเธอคงยินดีกับวิวาห์ครั้งนี้นัก เธอไม่พบหน้าชายหนุ่มอีกเลยตั้งแต่ที่เขาถามเธอ ‘เรื่องนั้น’ ช่างไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย และซ้ำร้ายเธอยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมพี่สาวของเธอถึงได้หลงรักเขามากมายถึงขนาดยอมมอบชีวิตให้ได้ คนที่เห็นแก่ตัวแบบนี้น่ามอบหัวใจให้ตรงไหน ที่ผ่านมาเธอเคยคิดว่าเขาเป็นคนดีเลิศเลอแต่ในความเป็นจริงเขาก็แค่ปีศาจร้ายตนหนึ่งที่อยู่ในคราบเทพบุตรเท่านั้น
‘อีกเพียงสองราตรีข้าก็จะรู้ว่าเจ้าพูดจริงหรือไม่ และเมื่อถึงเวลานั้นข้าจะประกาศความเป็นเจ้าของเจ้าให้บุรุษทุกคนรู้’
รสสัมผัสจากริมฝีปากได้รูปที่ฉกจูบอย่างรวดเร็ว ยังคงติดที่ริมฝีปากอิ่มของหญิงสาว เมอริอาร์ยกมือขึ้นแตะริมฝีปากตนเองอย่างเผลอไผล เขาจะทำอย่างที่พูดหรือเปล่านะ ยิ่งคิดใบหน้าหวานยิ่งแดงจัด เธอพยายามปัดความคิด ‘เรื่องนั้น’ ออกไปจากสมอง แต่มันก็แสนยากเย็นในเมื่อลมหายใจร้อนๆ ของเขายังวนเวียนในกายเธอ จนร่างกายร้อนผ่าวทุกครั้งที่คิดถึง แม้ว่าจะถูกเลี้ยงดูในฐานะบุตรีของหัวหน้าเผ่าเธอก็เรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างหญิงและชาย แต่เธอก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ‘เรื่องนั้น’ และไม่คิดว่าเขาจะกล้าเอ่ยปากได้หน้าตาเฉยแบบนั้น มีหลายเรื่องมากเกินกว่าที่เธอจะคิดค้นหาคำตอบได้ ทำไมเขาไม่จับเธอขังคุกโทษฐานที่คิดเอาชีวิตเขา
ทำไมเขาตอบรับการแต่งงานกับเธออย่างรวดเร็ว
ทำไมเขาทำเหมือนไม่ปรารถนาทั้งที่สัมผัสเธออย่างเร่าร้อน ทำไม ทำไม และทำไม?
“ท่านหญิงช่างงดงามเหลือเกินเพคะ”
เมอริอาร์ตื่นจากภวังค์แล้วมองเงาตัวเองในกระจก แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าจากเด็กสาวที่มาจากชนเผ่าในทะเลทรายถูกเนรมิตให้แลดูสง่างามได้เพียงนี้ แสงสว่างจากพระอาทิตย์ได้เผยร่างที่งดงามปรากฏต่อสายตาทุกคน ดวงตาสีเขียวดุจมรกตแจ่มชัดถูกแต้มวาดด้วยโคลช์ทาตาสีดำเพิ่มความเย้ายวนเครื่องประดับศีรษะ สร้อยคอ กำไรรวมกระทั้งสร้อยข้อเท้าก็เป็นทองคำส่งแสงระยับจับตานางกำนัลช่วยพรมน้ำหอมเพิ่มให้เธออีก แม้คราแรกเธอจะรู้สึกฉุนจมูกอยู่บ้างแต่พอครู่หนึ่งผ่านไปกลิ่นหอมนั้นก็อ่อนจางและละมุ่นคลอเคลียเรือนร่าง เมอริอาร์ตกตะลึงภาพตนเองไปชั่วขณะแต่เมื่อคิดว่าคนที่ควรเข้าพิธีแต่งงานกับผู้ชายคนนั้นควรจะเป็นเซราเนีย-พี่สาวของเธอเอง หัวใจดวงน้อยก็ปวดร้าวขึ้นมา
“ท่านหญิงเพคะ มาโมคนสนิทของแม่ทัพอูเซอร์คาเรขอเข้าพบเพคะ” เจย์นารายงานหลังจากมีนางกำนัลคนหนึ่งเข้ามากระซิบบอก
“เชิญเขาเข้ามาเถิด” เมอริอาร์พยักหน้ารับ ครู่หนึ่งชายหนุ่มร่างบึกบึนก็เดินเข้ามาและทำความเคารพเธอ “มีธุระอันใดหรือนำข่าวใดมาแจ้งแก่ข้ารึ”
มาโมมองไปยังนางกำนัลที่อยู่ใกล้ๆ เมอริอาร์หันไปสั่งกับเจย์นาให้ทุกคนออกไปก่อนเหลือเพียงเธอและคนติดตามของท่านแม่ทัพเท่านั้น
“ว่าธุระของเจ้ามาเถิด”
“ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าการที่กระหม่อมมาครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับท่านแม่ทัพ” เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อย “แต่กระหม่อมต้องการความช่วยเหลือจากท่านหญิง”
“เรื่องใดกัน” เธอมองเขาอย่างสงสัย
“กระหม่อมไม่ทราบว่าท่านหญิงทราบหรือไม่ ก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่ท่านแม่ทัพถูกลอบทำร้าย” มาโมมองเห็นเมอริอาร์ส่ายหน้าช้าๆ เขาจึงเอ่ยต่อ
“เพราะการเดินทางอย่างเร่งรีบกระทบกระเทือนบาดแผลของท่านแม่ทัพทำให้บาดแผลมีอาการอักเสบ กระหม่อมอยากขอร้องให้ท่านหญิงช่วยพยุงท่านแม่ทัพอย่าให้ผู้ใดสังเกตเห็นว่าท่านแม่ทัพได้รับบาดเจ็บ”
“ทำไมเราไม่เลื่อนพิธีออกไปก่อน” หญิงสาวถามอย่างหงุดหงิด นี่เขาอยากแกล้งเธอมากขนาดนี้เชียวหรือ
“แม้ท่านแม่ทัพจะสละตำแหน่งเจ้าชายแห่งอียิปต์ไปแล้ว แต่ก็ยังเป็นแม่ทัพสูงสุดผู้คุมกองกำลังทหารทั้งหมด หากมีผู้ใดล่วงรู้ว่าท่านแม่ทัพได้รับบาดเจ็บอาจจะมีการฉวยโอกาสนี้โจมตีอียิปต์ได้”
“ข้าเข้าใจแล้ว แล้วข้าจะพยุงท่านแม่ทัพยังไงมิให้ผู้ใดรู้”
“โอบเอวท่านแม่ทัพหลวมๆ ก็พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“โอบ…เอว” เธอไม่อยากจะแตะต้องตัวเขาด้วยซ้ำ นี่ต้องโอบเอวตลอดพิธีเลยหรือ? ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้น่าจะแทงให้ตายให้รู้แล้วรู้รอดไป
“กระหม่อมขอความเมตตาจากท่านหญิง” มาโมคุกเข่าลงอย่างรวดเร็วจนเมอริอาร์ตกใจถอยหลังไปครึ่งก้าว
“เอาละๆ ข้ารู้แล้ว เจ้าลุกขึ้นเถิด” เมอริอาร์ถอนหายใจหนักๆ “เจ้าออกไปได้แล้ว”
มาโมลุกขึ้นและก้มศีรษะให้อีกครั้งก่อนถอยหลังออกไป เจย์นาก้าวเข้ามาเมื่อเห็นมาโมออกไปแล้ว ดวงตาสดใสมีแววคำถามแต่เมอริอาร์ส่ายหน้าปฏิเสธที่จะพูด
“ได้เวลาแล้วใช่ไหม”
“เพคะท่านหญิง”
‘ได้เวลาที่อิสรภาพของข้าจะหมดลงแล้วซิ’
เมอริอาร์สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ หญิงสาวก้าวออกไปโดยมีนางกำนัลนำทาง บุรุษร่างสูงโปร่งแต่งกายเต็มยศแสนสง่างามยืนนิ่งราวกับหุ่นสลักดุจเทพเจ้า ลมหายใจของหญิงสาวขาดห้วงไปชั่วขณะ แต่เท้าก็ก้าวเข้าไปใกล้จนเมื่อมือใหญ่แตะหลังมือเธอเบาๆ จึงเรียกสติของเธอกลับมา
“ไม่นานนักหรอกเดี๋ยวทุกอย่างก็เสร็จแล้ว”
“ท่านหมายถึงเรื่องใดกัน” หญิงสาวเชิดหน้าอย่างท้าทาย “พิธีแต่งงานหรืออิสรภาพระหว่างเราทั้งสอง”
“ข้าเพิ่งคิดถึงประเด็นหลังตอนที่เจ้าพูดนี่แหละ” อูเซอร์คาเรหัวเราะในลำคอ เขายอมรับว่าเมอริอาร์สวยและงดงามกว่าที่เขาคาดคิดไว้มาก แม้เธอจะเป็นน้องสาวของเซราเนียและมีใบหน้าละม้ายคล้ายกัน
แต่ความแข็งกร้าวและเด็ดเดี่ยวในแววตานั้นแตกต่างกันมาก
“แล้วท่านจะรู้ว่าท่านคิดผิดที่ไม่จับข้าขังคุก”
“หรือไม่ก็เป็นฝ่ายเจ้าที่เสียใจที่ไม่ฆ่าข้าให้ตายด้วยกริชนั่น”
อูเซอร์คาเรเดินนำหญิงสาวเพื่อเข้าพิธีแต่งงาน เมื่ออยู่ต่อพระพักตร์ฟาโรห์เนเฟอร์คาเรและพระมเหสีอังค์เนสทำให้ทั้งคู่ยุติสงครามระหว่างกัน เมอริอาร์สังเกตเห็นใบหน้าคมเข้มต้องกัดฟันแน่นทุกครั้งที่ก้าวเดินทำให้เธอนึกถึงคำพูดของมาโม มือน้อยๆ ยกขึ้นโอบเอวหนา อูเซอร์คาเรปรายตามองเจ้าสาวของตนแล้วต้องกลั้นหัวเราะ สีหน้านิ่งเฉยทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้น ก็ปากสวยๆ บอกว่าเกลียดแต่ก็ห่วงใยเขา
บางที…สถานการณ์นี้อาจไม่เลวร้ายอย่างที่คิดก็เป็นได้.