เสียงดนตรีจากด้านนอกเบาเสียงลงเมื่ออูเซอร์คาเรปิดบานประตูลง ชายหนุ่มระบายลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเสร็จสิ้นพิธีกรรมทุกอย่างด้วยดี เขาปล่อยให้เจ้าสาวเข้ามาในห้องนอนก่อนเขานานแล้วป่านนี้คงหลับเพราะความอ่อนเพลีย ชายหนุ่มปลดเครื่องประดับออกแล้ววางไว้บนโต๊ะแต่เขาก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลังจึงหันไปมอง แม่ทัพหนุ่มหรี่ตามองเรือนร่างงดงามในชุดนอนบางเบาสีขาวสะอาดตา ยามเมื่อต้องแสงตะเกียงกลับทำเรือนร่างนั้นแจ่มกระจ่างจนเกือบลืมหายใจ
“เจ้ายังมินอนอีกหรือ” อูเซอร์คาเรเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“ข้ารอท่าน” มือเรียวเล็กกำชายผ้าแน่นข่มความเขินอาย หลังจากเจย์นามาส่งและช่วยจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าถอดเครื่องประดับออกให้ หัวใจเธอก็เต้นแรงด้วยการรอคอย คราแรกเธอรั้งเจย์นาให้อยู่เป็นเพื่อนแต่ก็ถูกปฏิเสธ แน่ละเธอรู้เหตุผลนั้นดีอยู่แล้ว ต่อมาเธอก็เริ่มหาอาวุธที่พอจะใช้ป้องกันตัวได้ แต่เมื่อมาคิดถึงกริชที่เคยใช้แทงเขาแล้วก็ได้แต่กุมขมับด้วยความปวดหัว ขนาดใช้กริชแทงเขาแล้วเขายังปลอดภัยดีเธอจะใช้อะไรได้อีก
ความวุ่นวายสับสนมีมากนัก และค่อยๆสงบลงเมื่อต้องอยู่คนเดียวในห้องที่หอมกลิ่นกำยานหากนี่เป็นลิขิตของปวงเทพเจ้าเป็นโชคชะตาที่หนีไม่พ้น เธอก็ต้องทำใจกล้าที่จะเผชิญมันเมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้วเธอจึงได้แน่นั่งรอเขา แต่เขาหายไปนานจนเธอคิดว่าเขาจะไม่เข้ามาในห้องนี้อีก
ดวงตาของเขามีประกายรื่นเริงก่อนสืบเท้าเข้าไปใกล้ เขาชอบกลิ่นหอมของดอกมะลิป่าที่ลอยกรุ่นรายล้อมหญิงสาวเช่นนี้นัก
“ข้าคิดว่าเจ้าคงเพลียกับพิธีในวันนี้จนหลับไปแล้ว”
“ข้าก็คิดว่าท่านจะไม่กลับเข้ามาแล้วเหมือนกัน” เธออดทำแง่งอนกับเขาไม่ได้
“ข้าแค่อยู่สั่งการให้คนของข้าจัดมอบสินสอดไปให้บิดาของเจ้าร่วมทั้งทาสรับใช้ด้วย”
“ท่านมิต้องทำขนาดนั้นก็ได้”
“มันเป็นหน้าที่ของข้าที่ต้องทำให้สมเกียรติของเจ้า”
ดวงตาของเขามองตามมือเรียวเล็กที่ยื่นมาแตะอกของเขาอย่างขลาดๆ
“ข้าจะช่วยท่านเปลี่ยนเสื้อผ้า”
“ข้าทำเองได้” น้ำเสียงของเขาแหบพร่า “เจ้าคงลืมไปว่าข้าเป็นทหาร”
“ข้าทราบดีเรื่องนั้น แต่นี่เป็นหน้าที่ของภรรยาซึ่งขณะนี้ข้าคือภรรยาของท่าน” เมอริอาร์ได้กลิ่นไวน์จากลมหายใจของเขา
“หน้าที่ของภรรยา” อูเซอร์คาเรกลั้นหัวเราะ “หน้าที่ของภรรยามีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น”
“ว้าย!”
เมอริอาร์หวีดร้องอย่างตกใจเมื่อร่างเล็กๆ ถูกช้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว เท้าของเธอเตะไปมาอากาศแต่ก็ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้เลย เขาวางร่างของเธอลงบนที่เตียงมีผ้าปูที่นอนสีขาวปูไว้รองรับร่างคู่บ่าวสาว มือใหญ่ของชายหนุ่มรวบข้อมือของเธอไว้เหนือศีรษะแล้วโถมร่างใส่ทันที
“ท่านจะทำอะไร!”
“ก็ทำหน้าที่ของสามีไง” เขาหัวเราะในลำคอแล้วใช้มืออีกข้างกระชากเสื้อผ้าของหญิงสาวหลุดติดมือออกอย่างง่ายดาย “ไม่นะ”
เมอริอาร์หวีดร้องพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่กลับถูกร่างใหญ่ใช้ร่างกายกดทับจนเธอแทบหายใจไม่ออก อกอิ่มเบียดชิดแผงอกแข็งแกร่ง ใบหน้าของเขาคลอเคลียที่เนียนแก้มที่พยายามเบี่ยงหน้าหลบสัมผัสหยาบคายแต่เร่าร้อนของชายหนุ่มผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอ
“ทำไมข้าจะทำไม่ได้” เสียงเขาแหบพร่าอยู่ข้างหู ยิ่งหญิงสาวดิ้นรนมากเท่าใดก็ยิ่งบดเบียนเรือนกายเข้าหาเขาอย่างไม่รู้ตัว
“ข้าไม่คิดว่าท่านจะหยาบคายเช่นนี้”
“ก็เจ้าเรียกร้องหน้าที่ของภรรยาไม่ใช่หรือ” เขาปล่อยมือออกจากข้อมือเล็กๆ แล้วเลื่อนมาลูบไล้เรือนร่างอิ่มที่แสนเย้ายวน “ข้าขอทวงสัญญาที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเจ้า”
ดวงตาสีเขียวเบิกกว้างอย่างตกใจ เขาทาบริมฝีปากลงครอบครองริมฝีปากที่เผยอขึ้นเพียงเรียกหาอากาศ มือข้างหนึ่งประคองท้ายทอยให้รับจุมพิตร้อนจากเขาและมืออีกข้างตลบชายกระโปรงขึ้นลูบไล้ต้นขาด้านในแล้วไต่ระเรื่อสูงขึ้นเรื่อยๆ
‘หยาบคายที่สุด!’
เมอริอาร์กรีดร้องในใจ เธอเตรียมตัวเตรียมใจที่จะเป็นภรรยาของเขาแล้วแต่ไม่คิดว่าเขาจะกระทำการอันหยาบช้าเช่นนี้! มือที่เป็นอิสระกางเล็บข่วนแผงอกอีกฝ่ายอย่างไม่คิดสิ่งใดอีกนอกจากหลุดพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายนี้
“อ๊ะ!”
เมอริอาร์หยุดการกระทำของตัวเองเมื่อเห็นสีหน้าเจ็บปวดของชายหนุ่ม เขาขยับตัวถอยห่างมือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมบริเวณแผลที่เธอเป็นคนทำ หญิงสาวยกฝ่ามือทั้งสองข้างของตัวขึ้นดูแล้วก็แทบหวีดร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นเลือดสีเข้มเปรอะปลายนิ้ว
อูเซอร์คาเรดึงผ้าปูที่นอนที่มีรอยเลือดออกแล้วเดินไปที่ระเบียง เขาโบกผ้าเปื้อนเลือดไปมาให้เหล่าทหารที่อยู่กินดื่มฉลองงานวิวาห์ของเขาเห็น เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังขึ้นและเสียง ดนตรีก็โหมกระหน่ำอย่างครื้นเครง
อูเซอร์คาเรเดินกลับมาด้านในพยายามที่จะไม่แสดงอาการเจ็บที่บาดแผลของตนเอง เขาอยู่กับเหล่าทหารซึ่งคนในการปกครองของเขาส่วนใหญ่เป็นพวกเบดูอิน บางครั้งการทำบางสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเป็นพวกเดียวกันก็ได้ใจของเหล่าทหารได้มาก ซึ่งสิ่งที่เขาทำไปก็เป็นประเพณีของชนเผ่าทะเลทราย เป็นการประกาศความเป็นเจ้าของหญิงสาวที่เป็นภรรยาของตนและบอกว่าเธอเป็นหญิงพรหมจรรย์
เมอริอาร์นั่งร้องไห้อยู่บนเตียงนอนเธอขยับตัวละลุกขึ้นเดินทางทางเขา แต่เมื่อรู้สึกว่าเสื้อผ้าตัวเองหลุดลุ่ยเกินกว่าจะลุกขึ้นได้ทั้งแบบนั้น มือเรียวคว้าเอาผ้าห่มขึ้นคลุมร่างแล้วเดินไปประคองร่างใหญ่ที่เดินซวนเซกลับมาด้านใน แต่เธอก็ต้องชะงักเมื่อเห็นแววตาอ่อนโยนของเขาทอดมองมายังร่างที่ห่อหุ้มด้วยผ้าห่ม แววตาของเขามีแววขบขันปนอยู่ต่างจากเมื่อครู่ที่ดูดุร้ายราวสัตว์ป่า มือใหญ่ยกขึ้นเช็ดน้ำตาที่เปื้อนแก้มอย่างเบามือ
“อย่ากังวลไปเลย ข้าจะบังคับฝืนใจเจ้าในสิ่งที่เจ้าไม่ปรารถนา”
เธอยื่นมือไปแตะแผลของเขา “ข้าจะทำแผลให้ท่านใหม่”
“ไม่เป็นไรแรงของเจ้าไม่ได้ทำให้แผลเก่ามันลึกไปกว่าเดิมหรอก” เขาหัวเราะน้อยๆ แล้วเดินไปนั่งที่เตียง เมอริอาร์ส่ายหน้าไปมา เธอเดินไปหาผ้ามาซับเลือดจนมั่นใจว่าหยุดไหลแล้วจึงไปล้างมือ “ทำไมเมื่อครู่ท่านไม่บอกข้า”
“เพราะข้าไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องบอก” เขาเอนตัวลงนอนบนที่นอนอีกครั้ง “เจ้าก็มานอนเถิด รับรองว่าข้าไม่นอนดิ้นทับเจ้าแบนแน่ๆ”
“ข้า...ข้าจะไปนอนที่อื่น” หญิงสาวหันรีหันขวางมองหาที่นอนของตนเอง แต่ข้อมือก็ถูกฉุดอย่างรวดเร็วจนเสียหลักล้มลงปะทะอกกว้างที่นอนหงายอยู่ก่อนแล้ว
“ท่าน!”
“เจ้าก็นอนข้างข้านี่แหละ” เขายิ้มขำ “พักผ่อนเถิดวันนี้เจ้าเหนื่อยทั้งวันแล้วและพรุ่งนี้เราต้องเดินทางแต่เช้าตรู่”
“เราต้องรีบกลับค่ายทหารหรือเจ้าคะ”
เธอเอ่ยถามเบาๆ แล้วขยับตัวลงนอนข้างชายหนุ่มที่นอนหลับตานิ่งคล้ายไม่รู้สึกรู้สาว่ามีเธอล้มตัวนอนอยู่เคียงข้าง และการได้พูดคุยเรื่องอื่นทำให้เธอไม่คิดถึง ‘เรื่องนั้น’ จนอาจทำให้ไม่ได้หลับได้นอนอีกก็เป็นได้
“เจ้าอยากอยู่ที่นี่หรือ?”