“ชื่อของข้าคือโมเลส เป็นผู้ติดตามท่านหญิงเมอริอาร์”
น้ำเสียงที่ไม่มีความยำเกรงแม้ว่าจะก้มศีรษะลงทำให้อูเซอร์คาเรระวังตัวมากขึ้น แม้เขาจะสละตำแหน่งเจ้าชายแห่งอียิปต์แต่ก็ยังเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ที่ควรให้ความเคารพ
“แต่เมื่อครู่ข้าเห็นเจ้าล่วงเกินนาง”
“เป็นแค่การเข้าใจผิดกันเท่านั้นเจ้าคะ” เมอริอาร์ก้าวมาขวาง ถึงเธอจะไม่ชอบสิ่งที่โมเลสทำแต่ก็ไม่ต้องการให้ใครเข้าใจเธอผิดด้วย
“เจ้าแน่ใจหรือ” ดวงตาคมกริบจ้องมองราวเค้นหาความจริงทำให้เธอเบือนหน้าไปทางอื่น
“เจ้าคะ” เมอริอาร์หันไปทางโมเลส “ท่านกลับไปแจ้งข่าวแก่บิดาข้าเรื่องที่องค์ฟาโรห์ประทานพิธีแต่งงานให้ข้าและท่านแม่ทัพอูเซอร์คาเร”
โมเลสกันฟันแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็ก้มหน้ารับคำสั่งของเมอริอาร์ “แล้วท่านหญิงจะกลับไปที่หมู่บ้านหรือไม่”
“เมอริอาร์จะอยู่กับข้าที่ค่ายทหาร” อูเซอร์คาเรชิงตอบก่อนที่หญิงสาวจะอ้าปากด้วยซ้ำ “นางจะได้รับเกียรติและการคุ้มครองจากข้า-แม่ทัพแห่งอียิปต์ เพราะฉะนั้นอย่าได้กังวลเรื่องอื่นไป”
เมอริอาร์ได้แต่ตะลึงงันจนเมื่อร่างเล็กๆ ถูกรวบเอวมาแนบชิด ใบหน้าของแม่ทัพหนุ่มโน้มมาใกล้แก้มเนียนจนหญิงสาวสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากลมหายใจของเขา ร่างกายเธอร้อนผ่าวราวกับมีเปลวไฟคุกรุ่นอยู่ภายใน เธออยากหลบตาเขาแต่ก็ดั่งต้องมนต์สะกดทำให้ไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตา เพราะอย่างนี้ใช่ไหม พี่สาวของเธอจึงได้หลงรักเขาจนหมดใจและพร้อมยอมตายเพื่อเขา
“เจ้าบอกคนของเจ้าให้ไปรายงานบิดาของเจ้าอย่างที่ข้าพูด” อูเซอร์คาเรกระซิบที่ข้างหูของหญิงสาว ใบหน้าหวานแดงระเรื่อขึ้นมาทันทีอย่างไม่รู้ตัว
“ท่านไปรายงานบิดาข้าอย่างที่ท่านแม่ทัพพูดเถิด” เมอริอาร์สั่งด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
“ขอรับท่านหญิง” โมเลสรับคำสั่งอย่างขัดไม่ได้แล้วหันหลังเดินจากไปเหลือสองหนุ่มสาวยืนอยู่เพียงลำพัง
“ท่านปล่อยข้าได้แล้วเจ้าคะ” หญิงสาวผลักเขาออกแต่มือเรียวไปสัมผัสถูกแผลของชายหนุ่มอย่างไม่ตั้งใจ ใบหน้าคมถึงกับนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ
“ท่านแม่ทัพ!”
“ช่วยพยุงข้าไปนั่งที่ใต้ร่มไม้นั่นก่อนได้ไหม” เขาร้องขอและหญิงสาวก็ช่วยประคองเขามานั่งใต้ร่มไม้ที่ทอดเงาร่มรื่น
“ข้าไม่รู้ว่าท่านยังเจ็บแผลอยู่” เมอริอาร์พึมพำหน้าซีดขึ้นมาทันที เธอลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรกัน “ข้าจะไปตามหมอหลวงให้”
“ไม่ต้อง” อูเซอร์คาเรฉวยข้อมือเล็กๆ ไว้ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นแต่ทำให้หญิงสาวเสียหลักล้มลงสู่อกกว้าง
“ข้อขอโทษ” เธอยันตัวออกห่างแต่แล้วใบหน้าที่ตึงเครียดก็เปลี่ยนไปเมื่อเห็นรอยยิ้มปรากฏที่ใบหน้าของชายหนุ่ม
“ท่านหลอกข้ากระนั้นหรือ”
“มิได้” เขาหัวเราะในลำคอแล้วปล่อยหญิงสาวเป็นอิสระ ทว่าปลายนิ้วกลับเกี่ยวเส้นผมของเธอพันรอบข้อนิ้วไว้ “ทีเจ้ายังไม่พูดความจริงกับข้าเลย”
“เรื่องใดกัน” เธอค้อนเขาอย่างไม่รู้ตัว
“เจ้ากับชายผู้นั้นเป็นอะไรกัน”
“โมเลสเป็นเสมือนพี่ชายข้า” หญิงสาวตอบเสียงขุ่น “เขาเป็นบุตรชายของช่างตีเหล็กแต่มีฝีมือเรื่องดาบและธนูจึงได้อยู่เป็นคนสนิทของบิดาข้า และเป็นผู้คุ้มครองข้าตลอดการเดินทางมาที่เมมฟิส”
“แต่แววตาของเขาไยมองเจ้าราวกับหึงหวง”
“ข้าไม่อาจรู้ได้หรอกว่าเขาคิดสิ่งใดแต่ข้ามิได้มีอะไรกับเขา”
อูเซอร์คาเรยกปอยผมของหญิงสาวขึ้นสูดดมกลิ่นหอมละมุนของดอกมะลิ เมอริอาร์ประสานสายตากับเขาอย่างตกตะลึงและหวั่นไหวในใจนัก ไม่เพียงแต่ร่างกายเท่านั้นที่ไม่อาจควบคุมได้ยังร่วมถึงหัวใจที่เต้นแรงผิดปกติ
“ท่านหมายถึงสิ่งใดกันแน่”
“เจ้ากำลังคิดถึงเรื่องใดอยู่”
“ท่านเกรงว่าข้าจะไม่บริสุทธิ์ใช่ไหม” ทำไมเธอต้องพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเขานะ “แม้ข้าจะเป็นเพียงหญิงชาวบ้านที่เติบโตในชนเผ่าทะเลทราย แต่บิดาของข้าก็พร่ำสอนให้รักษาพรหมจรรย์”
“เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ดีแค่ไหนเชียว” เขายิ้มเจ้าเล่ห์ นานแล้ว...นานมากทีเดียวที่เขาไม่เคยนึกอยากหยอกล้อหญิงสาวเช่นนี้ “มีหลายร้อยวิธีที่จะมีความสุขโดยที่เจ้ายังครองพรหมจรรย์”
“หยาบคายที่สุด” หญิงสาวผุดลุกขึ้นยืนด้วยความเดือดดาลทว่าเขาก็ปล่อยเธออกอย่างง่ายดาย “ถึงคืนวันแต่งงานเมื่อไหร่ท่านจะรู้เองว่าข้ายังบริสุทธิ์หรือไม่”
“กว่าจะถึงตอนนั้นข้าอาจแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว”
“ท่าน!!” เมอริอาร์กระทืบเท้าเร่าๆ “ท่านจะพิสูจน์ยังไงว่าข้าพูดจริง”
“ข้าควรเป็นคนถามประโยคนั้นมากกว่า” เขาลุกขึ้นยืนแล้วจับฝ่ามือของเธอมาคลึงเล่นเบาๆ หญิงสาวยืนงงกับคำพูดของเขาจึงไม่อาจตั้งตัวเมื่อริมฝีปากอิ่มถูกฉกจูบอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีเขียวเบิกกว้างอย่างตกใจ แล้วความร้อนจากลมหายใจของเขาก็ทำให้เธออ่อนระทวยจนแทบทรงตัวไม่อยู่ไม่รู้ว่าถูกดันไปชิดต้นไม้ มือข้างหนึ่งของเขาประคองท้ายทอยของเธอไว้เพื่อรับจุมพิตที่ลึกล้ำกว่าเดิม
“อย่า...ได้โปรด...” เมอริอาร์ละล่ำละลักเมื่อเขาถอนจุมพิตแต่ริมฝีปากยังคงขบเม้มที่ติ่งหูสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วร่างจนกายหญิงสาวสะท้านสั่นอย่างมิอาจควบคุมได้
“เมอริอาร์...” อูเซอร์คาเรกระซิบที่ข้างหูด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “อีกเพียงสองราตรีข้าก็จะรู้ว่าเจ้าพูดจริงหรือไม่และเมื่อถึงเวลานั้นข้าจะประกาศความเป็นเจ้าของเจ้าให้บุรุษทุกคนรู้”
ถ้อยคำของชายหนุ่มและแววตาที่จริงจังทำให้เมอริอาร์สับสน เขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ภายใต้ท่าทีที่เย็นชากลับมอบความเร่าร้อนให้ บางครั้งมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และบางทีก็มีแววตาห่วงใยเขาคิดสิ่งใดอยู่?เธอหวาดกลัวคำตอบเหลือเกิน.
เด็กสาวมองหญิงสาวที่อายุมากกว่าห้าปีกำลังนั่งหวีผมยาวสลวยให้เธออย่างเบามือ น้ำเสียงที่แสนอ่อนหวานรวมทั้งกิริยาที่งดงามเพียบพร้อม เด็กสาวมักจะเห็นพี่สาวของตนสวมเสื้อผ้าอาภรณ์งดงามเสมอ แม้ดวงตาจะเศร้าลึกแต่ทุกครั้งที่เอ่ยชื่อ ‘เจ้าชายอูเซอร์คาเร’ ใบหน้านั่นจะปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา
‘ไยพี่ข้าถึงชอบอยู่ในวังนัก’
‘เจ้าไม่ชอบหรอกหรือ’ เซราเนียหัวเราะเสียงใส
‘ข้าชอบอยู่ข้างนอกมากกว่า’
‘ทำไมเล่า’
‘ข้าทำตัวเรียบร้อยเหมือนพี่ไม่ได้หรอก…ข้าชอบวิ่งเล่นในโอเอซิสหรือไม่ก็เลี้ยงอูฐ’
‘แต่ในวังเจ้าจะได้สวมใส่เสื้อผ้าสวยๆ และมีอาหารดีๆ กินอิ่มท้อง’
‘อยู่ข้างนอก…ข้าก็มิอดอยากหรอกพี่เซราเนีย’
เซราเนียโอบร่างบางของน้องสาวมากอดแน่น ‘ข้าก็เหมือนเจ้านั้นแหละ ทว่าในวังนี้มีชายที่ข้ารักอยู่ ข้าจึงปรารถนาจะอยู่ใกล้ชิดเขา’
‘แล้วพี่ไม่รักข้าหรือ?’ เสียงของเด็กสาวเต็มไปด้วยความตัดพ้อ แต่กลับสร้างเสียงหัวเราะให้พี่สาวเพิ่มมากขึ้น
‘รักซิ…เราเหลือกันอยู่แค่สองคนเท่านั้นนะ’ มืออบอุ่นลูบผมยาวของน้องสาวอย่างรักใคร่แต่ดวงตากลับมีภาพใครอีกคนซ้อนอยู่
‘จำไว้นะเมอริอาร์ หากวันหนึ่งวันใดเจ้าพบคนที่เจ้ารักหมดหัวใจ เจ้าจะเข้าใจสิ่งที่พี่ทำ’
“พี่เซราเนีย”
“ท่านหญิงเพคะ ตื่นเถิดท่านหญิง”
เมอริอาร์ลืมตาตื่นอย่างงุนงงและสับสน เจย์นาเรียกหญิงสาวให้ตื่นอย่างเกรงใจ แต่เพราะวันนี้เป็นวันสำคัญทำให้ต้องปลุกเจ้านายของตนลุกขึ้นจากเตียง