บทที่9. จุมพิตอ่อนโยน

1390 Words
เขาไม่ได้จุมพิตอย่างดุเดือดแต่กลับอ่อนโยนจนปล้นชิงสติปัญญาทำให้สมองของเธอสับสน  เมอริอาร์ไม่เคยรู้เลยว่าเมื่อชายหนุ่มหญิงสาวสัมผัสกันจะเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดเช่นนี้ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยอยู่ในวงแขนของใครและไม่เคยได้รับจุมพิตที่แสนรัญจวนเช่นนี้มาก่อน “เมอริอาร์...” อูเซอร์คาเรถอนจุมพิตแต่ยังพึมพำเรียกชื่อเธอชิดริมฝีปาก “เจ้าต้องเป็นภรรยาของข้า” สติของหญิงสาวกลับคืน   เธอผลักเขาออกสุดแรงและหลุดออกจากวงแขนที่โอบรัดอย่างง่ายดายใบหน้าหวานแดงจัดเธอโกรธตัวเองที่ปล่อยใจไปกับอารมณ์ชั่วร้ายที่เขาสร้างขึ้นจนน้ำตาเอ่อคลอที่ดวงตาคู่สวย       “ข้าเกลียดท่าน ข้าจะเกลียดท่านตลอดไป” เมอริอาร์สะบัดหน้าแล้วหมุนตัววิ่งหนีโดยไม่สนใจว่าชายหนุ่มรู้สึกเช่นไร อูเซอร์คาเรปล่อยให้หญิงสาววิ่งจากไปอย่างไม่คิดจะติดตามหรือฉุดรั้ง อีกสามวันข้างเธอจะเป็นภรรยาของเขา ชายหนุ่มไม่แน่ใจนักว่าเธอจะเต็มใจแต่งงานกับเขาอย่างที่ปากหวานๆ เมื่อครู่พูดหรือไม่ แต่เขาแน่ใจว่านี่จะเป็นหนทางเดียวที่เขาจะปกป้องเธอได้ เพื่อชดใช้ความผิดที่มีต่อเซราเนีย บางทีอาจเป็นสิ่งที่ปวงเทพเจ้าลิขิตให้เขาชดใช้ความผิดที่เคยก่อขึ้น ชายหนุ่มเดินไปที่ลำน้ำไนล์แล้วทรุดตัวลงคุกเข่าใช้มือข้างหนึ่งควักนี้ขึ้น "ขอปวงเทพอวยพรแก่ข้าด้วยเถิด เพราะนี้จะเป็นวิธีเดียวที่ข้าจะปกป้องคุ้มครองเจ้าได้ เมอริอาร์”. “บาดแผลของเจ้ายังไม่หายดี  ข้าหวังจะรั้งตัวเจ้าไว้รักษาก่อนเดินทางกลับค่าย”          ฟาโรห์เนเฟอร์คาเรตรัสกับอนุชาตามลำพังที่เฉลียงของวังซึ่งสามารถมองเห็นบริเวณอุทยาน แม้พระองค์จะทรงคาดคั้นหรือหลอกล่ออย่างไรก็ไม่สามารถทำให้อนุชาเอ่ยออกมาได้ว่าผู้ใดกันที่ฝากบาดแผลนั่นไว้ ใครกันที่มีฝีมือร้ายกาจขนาดทำให้แม่ทัพผู้เกรียงไกรบาดเจ็บได้ “กระหม่อมจำเป็นต้องรีบกลับพ่ะย่ะค่ะ” อูเซอร์คาเรเอ่ยขึ้น “การไร้แม่ทัพประจำกองทหาร...หากฝ่ายศัตรูฉวยโอกาสนี้เล่นงานเราจะลำบาก” “แต่เจ้าก็ยังอาสาที่รับตำแหน่งแม่ทัพด้วยตนเอง” “กระหม่อมเชื่อสายตาตนเองมากกว่าผู้อื่น” ชายหนุ่มมองเลยไปที่มุมหนึ่งในสวนดอกไม้ อูเซอร์คาเรหรี่ตาลงเล็กน้อย เพื่อจดมองหญิงสาวบอบบางยืนอยู่ตรงนั้นกับชายร่างใหญ่ที่เป็นคนสนิทติดตามมาจากเผ่า        “แต่ข้าเพิ่งประทานเจ้าสาวให้ เจ้าก็ควรมีเวลาให้นาง”           “การแต่งงานนี้จะทำให้ศัตรูชะล่าใจ” ใบหน้าคมเข้มเอ่ยพูดทั้งที่สายตาเพ่งมองสิ่งที่เคลื่อนไหวด้านล่าง “เจ้าจะไม่ทำร้ายจิตใจเจ้าสาวของเจ้าไปหน่อยหรือ?” ฟาโรห์เนเฟอร์คาเรทรงเป็นห่วงเมอริอาร์มากว่า    เธอไม่ได้รับรู้เรื่องใดเลยนอกจากรู้ฐานะของตนที่ส่งมาถวายตัวเท่านั้น “บางทีการไม่รู้อะไรเลยจะเป็นสิ่งดีสำหรับชีวิตของนางเอง” แต่เขาเองสาบานว่าจะปกป้องเธอด้วยชีวิตของเขา เพื่อชดใช้ความผิดที่เคยก่อไว้กับเซราเนีย “พอเสร็จพิธีแต่งงานเจ้าจะพานางกลับไปอยู่ที่ค่ายด้วยอย่างนั้นหรือ”  อูเซอร์คาเรเลิกคิ้วแล้วหันมาสนใจในสิ่งที่ฟาโรห์เนเฟอร์คาเรตรัส      ทั้งที่ทรงประทับยืนอยู่ใกล้ๆ “หรือพระองค์จะเอาตัวนางไว้ที่นี่” “ข้าก็แค่ไม่อยากให้นางลำบาก” ทรงสรวลขึ้น “ข้าเชื่อว่านางจะไปกับข้า” อูเซอร์คาเรหัวเราะขึ้นบ้าง แต่เมื่อย้ายสายตากลับไปที่เบื้องล่างก็อดเขม็งมองไม่ได้  “แล้วข้าจะพานางไปเยี่ยมครอบครัวของนางเอง” “ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้แจ้งไปที่บิดาของนางให้สบายใจ” “หรืออาจจะหนักใจมากกว่าเดิม” เขากระตุกยิ้มที่มุมปาก   “กระหม่อมต้องขอตัวไปหาว่าที่ภรรยาในอนาคตก่อนพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มก้มศีรษะลงแล้วหมุนตัวออกมาอย่างรวดเร็วไม่รอคำค้านของฟาโรห์ พระองค์มองไปด้านล่างทิศทางอนุชาจ้องมองเมื่อครู่แล้วก็ทรงแย้มโอษฐ์ออกมา “เอาเรื่องกองทัพมาบังหน้า ที่แท้ทนรอเข้าพิธีแต่งงานไม่ไหวละมากกว่า” ฟาโรห์เนเฟอร์คาเรทรงสรวลขึ้นแล้วก้าวพระบาทไปที่ห้องว่าราชการ แต่ในพระทัยก็อดชื่นชมมเหสีของตนไม่ได้เพราะเจ้าของความคิดที่ให้อูเซอร์คาเรกับเมอริอาร์แต่งงานกันคือมเหสีอังค์เนส เมอริอาร์ถอนหายใจหนักๆ ข่าวการแต่งงานของเธอกับแม่ทัพอูเซอร์คาเรกระจายไปอย่างรวดเร็วจนทำให้ตลอดทั้งวันเธอวุ่นวายเหลือทน แม้ว่ามเหสีอังค์เนสจะทรงมาช่วยเธอธุระจัดการทุกสิ่งเสร็จสรรพอย่างไม่ถือพระองค์ แต่เธอก็อดหงุดหงิดไม่ได้    โดยเฉพาะกับคนที่เปรียบเสมือนคนในครอบครัวกลับมาทำหน้าหงุดหงิดใส่เธอซ้ำเติมกันอีก “ไยเจ้าไม่เอ่ยปฏิเสธฟาโรห์เนเฟอร์คาเรไปเมอริอาร์” “ข้ายังจะมีสิทธิ์ปฏิเสธสิ่งใดได้อีกเล่าพี่โมเลส” เมอริอาร์ตอบเสียงขุ่น ไม่เข้าใจว่าเขาจะทำตัวเดือดร้อนแทนเธอทำไม ก็ในเมื่อคนที่ต้องแต่งงานคือเธอมิใช่เขา “องค์ฟาโรห์มิได้ต้องการข้าและข้าก็มิปรารถนาจะเป็นนางสนมของพระองค์” “เจ้าก็เลยไปเป็นภรรยาของแม่ทัพอูเซอร์คาเร”โมเลสเผลอตะคอกใส่ “ท่านคงลืมไปแล้วว่าแม่ทัพอูเซอร์คาเรที่ท่านกล่าวถึงเป็นอนุชาของฟาโรห์เนเฟอร์คาเร” หญิงสาวเตือนสติเขา “เป็นเจ้าเองเสียแล้วที่หลงลืมอะไรไป” โมเลสกัดฟันแน่นจนเป็นสันนูน “แล้วก็มีปูมหลังเป็นกบฏเหมือนกับที่ตอนนี้เราถูกมองเช่นนั้น” “ข้าไม่เคยลืมเรื่องนั้น” เมอริอาร์เชิดหน้าอย่างท้าทาย “แต่ข้าคิดว่าข้าเข้าใจพระประสงค์ของฟาโรห์และพระมเหสี” “ถ้าเช่นนั้นคงมีแต่ข้าที่โง่เขลาไม่เข้าใจว่าเจ้าคิดสิ่งใด”          “ท่านจะเดือดร้อนไปไยในเมื่อคนแต่งงานคือข้าแล้วคนที่ไร้อิสรภาพก็คือข้า” เธอตวัดเสียงโต้ตอบเขา “ถ้าเจ้าได้เป็นสนมเจ้าอาจมีโอกาสได้ไต่เต้าเป็นมเหสีฝั่งซ้ายขององค์ฟาโรห์” “พี่โมเลส!” เมอริอาร์อุทานอย่างตกใจ “ท่านหยุดพูดในสิ่งมิบังควรเช่นนี้ ข้าขอยืนยันว่ามิเคยมีความคิดเช่นท่าน ข้าหวังให้เผ่าของเราอยู่อย่างสงบสุขเท่านั้นถ้าท่านคิดเช่นนี้ท่านกลับไปที่เผ่าเถิด”  “เจ้าไล่ข้าหรือเมอริอาร์” เขาปราดเข้ามาบีบต้นแขนแล้วกระชากร่างบางมาใกล้ “เจ้ากล้าดีอย่างไรจึงพูดเช่นนี้กับข้า” โมเลสโน้มหน้าลงต่ำเพื่อจะครอบครองริมฝีปากอิ่มของหญิงสาว  แต่เธอเบือนหน้าหนีแล้วยกมือเล็กๆ พยายามผลักอกที่แกร่งดุจหินผาของเขาออก “หยุดนะ! ท่านจะทำอะไร”           “ข้าไม่น่าปล่อยเจ้ามาเนิ่นนานขนาดนี้ ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้ารักและห่วงแหนเจ้าที่สุด” “ท่านหยุดพูดพล่อยๆ ได้แล้ว ข้าไม่เคยคิดอะไรกับท่าน”   หญิงสาวนิ่วหน้าเพราะความเจ็บแต่ก็พยายามเบือนหน้าหลบ แต่กระนั้นแก้มเนียนก็ถูกเคราสากทิ่มจนรู้สึกเจ็บ โมเลสไม่เคยหยาบคายกับเธอแบบนี้มาก่อน   แล้วจู่ๆ ก็มือแข็งแกร่งมากระชากไหล่โมเลสอย่างแรงตามด้วยหมัดหนักๆ จนโมเลสหงายหลังล้มคว่ำไปทันที “เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”   อูเซอร์คาเรเอ่ยถามเมื่อเห็นหญิงสาวยืนนิ่งอย่างตกใจ “มะ...มะ...ไม่เป็นไรเจ้าคะ” หญิงสาวส่ายหน้าไปมาจนผมยาวปลิวสยาย         “เจ้าเป็นใครกัน” อูเซอร์คาเรเอ่ยถามแล้วดึงหญิงสาวมาเคียงข้างอย่างปกป้อง สายตาคมกริบจ้องมองไปยังร่างสูงใหญ่ที่ขยับตัวลุกขึ้นแล้วยกหลังมือเช็ดเลือดที่มุมปาก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD