“ก็บอกว่าไม่ได้กลัวไง คุณมีอะไรให้ฉันต้องกลัวไม่ทราบ” เธอยืนยันเสียงแข็ง
“ถ้าแค่กลัวหมา ก็ไม่เห็นจะต้องเดินหนีออกไปแบบนี้เลยนี่ นอกซะจากว่าจริงๆ แล้วเธอไม่ได้กลัวหมา แต่ว่ากลัวฉันมากกว่า” เห็นรอยยิ้มที่จุดอยู่ตรงมุมปาก คนรู้สึกประหนึ่งกำลังถูกสบประมาทถึงกับขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความขุ่นเคือง
“เออ…ฉันกลัวคุณ แต่เพราะอะไรรู้ไหม เพราะคุณมันน่ากลัวกว่าหมายังไงล่ะ” สิ้นเสียงเธอก็หันกลับไปทางเดิม
“ไร้มารยาท ไม่เคยมีใครสั่งสอนรึไงว่าไม่ควรพูดจาแบบนั้นกับผู้ใหญ่ คุณดรัณนี่ชักยังไง ฝากฝังคนแบบนี้มาทำงานได้ยังไง เห็นทีคงต้องเรียกมาคุยกันจริงๆ จังๆ สักที” เท้าทั้งคู่ของมีนาหยุดชะงักอีกครั้ง เพียงเพราะชื่อที่คุณแม่บ้านพูดถึง ซึ่งดูเหมือนเขาเองก็สังเกตเห็น
“งั้นก็เรียกมาคุยกันซะวันนี้เลยสิ” เจตต์เสริมขึ้นพลางลอบมองท่าทีของเธอ
“พี่ดรัณไม่เกี่ยว อยากด่าอยากว่าก็มาลงที่ฉันสิ พี่ดรัณเขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วย” มีนาหันขวับมามองเขานัยน์ตาขุ่นขวาง แต่มันกลับยิ่งทำให้เขาหยักยิ้มชอบอกชอบใจ เมื่อได้รู้ว่าอะไรคือจุดอ่อนของเธอ
“จะไม่เกี่ยวได้ยังไง ในเมื่อเขาเป็นคนฝากเธอให้มาทำงานนี้ รู้ไหมว่ากว่าฉันจะรับเธอเข้ามา คุณดรัณเขาทั้งพูดทั้งชมเธอสารพัด ถึงขนาดใช้เกียรติตัวเองรับรองเธอ หึ! ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าเขารู้ว่าเด็กฝากของตัวเองทำตัวไร้มารยาท ขาดความรับผิดชอบแบบนี้ เขาจะทำหน้ายังไง” สีหน้าอวดดีไม่ยอมคนก่อนหน้าเปลี่ยนกังวลจนเขาสังเกตได้ และใคร่อยากจะรู้นักว่าคุณดรัณที่สองคนนี้พูดถึงคือใคร แน่นอนว่าเขาไม่รู้จัก เพราะปกติไม่ว่าจะเป็นเรื่องในบ้านหรือแม้กระทั่งเรื่องของจันทร์เจ้าลูกสาวเพียงคนเดียว พริ้มเพราก็เป็นธุระจัดการให้ทั้งหมด
“ก็ได้ค่ะ ฉันจะทำงานนี้ต่อ” เสียงเธออ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“เสียใจ เพราะฉันไม่รับคนที่ไร้มารยาทและขาดความรับผิดชอบอย่างเธอ” คุณแม่บ้านสวนกลับอย่างทันท่วงที
“นี่ตกลงพวกคุณจะเอายังไงกับฉันกันแน่ หรือเห็นว่าฉันตัวคนเดียว เลยคิดจะรังแกยังไงก็ได้ ไม่เคยมีใครบอกรึไง…ว่าเป็นผู้ใหญ่ไม่ควรรังแกเด็ก” เธอตอกกลับอย่างไม่คิดจะยอมเช่นกัน
“นี่เธอ…” คุณแม่บ้านชักสีหน้าเป็นโกรธกรุ่น และก่อนที่เรื่องจะบานปลายใหญ่โต เจ้าของบ้านอย่างเจตต์จึงรีบแทรกขึ้น