8. อาจารย์หมอคนนั้น...
และในระหว่างนั้นอยู่ๆ โทรศัพท์ของฉันก็มีสายเรียกเข้า ฉันให้ลูกหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าสะพายใบเล็กมากดรับสายแล้วเปิดลำโพง เจ้าชินจังของฉันทำได้เพราะฉันเคยให้เขารับสายให้แล้วหลายครั้ง คนที่โทรมาคือเขตแดนน้องชายของฉัน เขตโทรมาบอกว่าตอนนี้แม่กำลังรอเข้าเอกซเรย์อยู่หน้าห้องเอกซเรย์ชั้นห้า ฉันรับรู้แล้วเขตก็วางสายไป
"ให้กดชั้นห้าให้ไหมครับ"หมอคนนั้นถามฉัน
"ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะ"ฉันขอบคุณแล้วหมอคนนั้นก็ก้มดูโทรศัพท์ของเขาอีกครั้ง
"คูมหมอหย่อมากเยย"
อยู่ๆ เจ้าคิ้วดกของฉันก็ชมคุณหมอเขาขึ้นมาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หมอคนนั้นขำเบาๆ ทั้งยังหน้าแดงอย่างเห็นได้ชัด
"โตขึ้นอยากเป็นอะไรลูก"หมอคนนั้นถามลูกชายฉัน
"อยากเป็นคูมหมอครับ"
"ได้เป็นแน่นอน ตั้งใจเรียนนะ อายุกี่ขวบแล้วเอ่ย"
"ฉามครับ"
"โห สามขวบเองเหรอ พูดเก่งมาก หลานผมจะสี่ขวบแล้วยังพูดไม่ชัดอยู่เลย"หมอคนนั้นพูดติดตลก จากนั้นลิฟต์ก็พามาถึงชั้นสิบ ฉันจูงลูกออกมาจากลิฟต์ในขณะที่หมอคนนั้นยังต้องไปต่อ เจ้าคิ้วดกของฉันไม่รู้ว่าถูกชะตาอะไรกับเขาถึงได้หันกลับไปยกมือโบกให้
หรือว่าหาเสียงไว้ลงนายกก็เลยตีสนิทกับคนไปทั่ว...ร้ายไม่เบาเลยลูกชายฉัน!
พอมาถึงหน้าห้องชั้นสิบ ซึ่งมีระเบียงหน้าห้องและระเบียงรับลมด้านหน้าให้พวกญาติคนไข้ได้ออกไปสูดอากาศหรือปูเสื่อทานอาหาร รวมทั้งนอนพักผ่อนในระหว่างมาเฝ้าญาติที่เข้ารับการรักษาในห้องปลอดเชื้อ ฉันก็จูงมือลูกออกไปปูเสื่อทานข้าวที่นอกระเบียง
เราใช้เวลาทานมื้อเที่ยงด้วยกันไม่นานมากนัก จากนั้นฉันก็เก็บของกินของใช้ที่ซื้อขึ้นมาฝากไว้กับป้าๆ ที่นั่งคุยกันอยู่ตรงนั้นก่อนจะพาลูกไปเข้าลิฟต์ลงไปยังชั้นห้าซึ่งแม่ไปเอกซเรย์อีกครั้ง พอลงไปถึงแม่ก็ออกมาจากห้องเอกซเรย์พอดี เป็นตอนนั้นในช่วงเวลาสั้นๆ ที่แม่กับตาชินได้เจอหน้ากันและพูดคุยกัน
"หลานยายโตขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย"แม่ยิ้มแก้มปริเมื่อเห็นเจ้าคิ้วดกมายืนให้มองหน้าใกล้ๆ
"คูมยายรีบหายเย็วๆ ไปเย่นกับชินนะครับ"
"ยายมีหลานชายน่ารักขนาดนี้ยายต้องรีบหายเร็วๆ แล้วแหละ โตมาดีมากเลยนะหลานฉัน พูดเก่งอีกต่างหาก ลูกเก่งมากเลยนะขิม แม่ไม่ผิดหวังในตัวแกเลย"แม่มองหน้าชินด้วยความเอ็นดูแล้วก็เงยหน้าขึ้นมาชมฉัน ตอนนั้นฉันถึงกับยืนน้ำตาซึมเพราะซาบซึ้งใจ
ฉันที่คิดว่าทำให้แม่ผิดหวังมาโดยตลอด พอมาได้ยินแบบนี้คือมันฮีลใจฉันเป็นอย่างมาก มากถึงมากที่สุด
"หนูเก่งแค่ไหนก็คงไม่เท่าแม่ แม่เลี้ยงทั้งหนูทั้งเขตให้โตมาได้ขนาดนี้แม่ของหนูเก่งที่สุดแล้ว และป่วยครั้งนี้ก็เรื่องจิ๊บจ๊อยสำหรับคุณแม่คนเก่งของเรา อีกนิดเดียวเราก็จะผ่านมันไปได้แล้วเนอะ"ฉันจับมือให้กำลังใจแม่ แม่พยักหน้ารับเบาๆ พร้อมยิ้มให้ฉันส่งไปถึงเขตและเจ้าตัวเล็ก
หลังจากนั้นบุรุษพยาบาลก็เข็นรถเข็นพาแม่กลับขึ้นไปที่ห้องพักฟื้นที่อยู่ชั้นสิบ เขตขึ้นไปกับแม่และบุรุษพยาบาลในลิฟต์เฉพาะ ส่วนฉันกับลูกก็ต้องกลับไปขึ้นลิฟต์ปกติที่เราลงมาในก่อนหน้านี้
เมื่อมาถึงห้องพยาบาลก็เข้ายาเข้าน้ำเกลือให้แม่อีกครั้ง ส่วนฉันก็ฝากตาชินไว้กับเขตให้นั่งเล่นนอนเล่นบนเสื่อที่ซื้อมาให้
ฉันคิดว่าหลังจากหมอประจำไข้ของแม่ขึ้นมาพูดเรื่องวันผ่าตัด ถ้ามันต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะได้ผ่าและกว่าจะพักฟื้นพักรักษาตัวในโรงพยาบาลฉันก็คงต้องคิดเรื่องลูกว่าจะเอายังไง ที่บ้านไม่มีใครอยู่ เขตเองนอกจากวันนี้ในวันต่อไปก็คงต้องกลับไปเรียน คงมาอยู่กับหลานที่นอกห้องในระหว่างผลัดกันเข้ามาอยู่กับแม่แบบนี้ไม่ได้
"คิดอะไรอยู่เหรอ"
แม่ถามฉัน ในระหว่างที่ฉันกำลังนั่งคิดว่าจะจัดสรรเวลาให้แม่กับตาชินยังไง คือตอนนี้ฉันยังมืดแปดด้านคิดอะไรไม่ออกจริงๆ ถ้าพยาบาลอนุญาตให้พาเด็กเข้ามาในห้องด้วยสักนิดฉันจะไม่เครียดขนาดนี้เลย
"คิดเรื่องตาชินค่ะแม่ หมอไม่อนุญาตให้พาเด็กเข้ามา ขิมไม่รู้ว่าวันต่อไป พอเขตมันต้องกลับไปเรียนแล้วขิมมาอยู่เฝ้าแม่แบบนี้ชินเขาจะอยู่ข้างนอกกับใคร"ฉันบอกแม่ตามตรง แม่คิดหาหนทางสักพักแม่ก็พูดขึ้น
"ถ้าแม่ได้นอนโรงบาลไม่นานให้เขตมันลาโรงเรียนมาอยู่ด้วยก็คงจะได้ แต่ถ้าอยู่นานก็คงต้องคิดทางอื่น...แต่ถ้าลำบากก็ไม่ต้องอยู่เฝ้าก็ได้ ที่นี่โรงพยาบาล มีหมอมีพยาบาลคอยดูเยอะแยะ"
"ไม่ได้หรอกค่ะ หนูเป็นห่วง จะปล่อยให้แม่อยู่แบบนั้นได้ยังไง"
"แล้วจะทำยังไงล่ะในเมื่อเราก็มีกันเท่านี้ ตาหนูน่าห่วงกว่าแม่อีก เด็กกำลังซน ปล่อยให้คลาดสายตาไม่ได้แม้แต่นิดเดียว"
"หรือว่าหนูควรพาตาชินไปฝากเข้าโรงเรียนเตรียมอนุบาลคะแม่ แต่ถ้าแบบนั้นลูกก็จะยิ่งอยู่ไกลสายตา น่าห่วงกว่าอีก"
พูดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมายาวๆ เพราะเป็นห่วงลูก ตั้งแต่เกิดมาจนโตขนาดนี้ชินยังไม่เคยห่างหูห่างตาจากฉันแม้แต่ครั้งเดียว อีกอย่างฉันคิดจะส่งลูกเข้าเรียนตอนลูกสี่ขวบ ถ้าต้องส่งเข้าเรียนกะทันหันพลันด่วนโดยที่ไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าให้ลูกเตรียมตัวเตรียมใจฉันกลัวว่ามันจะทำให้ลูกต้องมีปัญหาเพราะยังไม่พร้อม
"จริงสิ เมยเพื่อนลูกเขาเป็นครู สอนอยู่ที่โรงเรียนเตรียมอนุบาลใกล้ๆ โรงพยาบาลนี่เอง ถ้าอยากส่งลูกเข้าเรียนกับคนที่น่าไว้ใจก็ลองๆ ถามเมยมันดูสิ"
"เมยเหรอคะ ใช่ๆ เมยกับขิมติดต่อกันอยู่ตลอด แถมเมยยังเคยคอลไปหาขิมคุยกับชินก็ตั้งหลายครั้ง บางทีถ้าเป็นเมยชินเขาอาจจะโอเค เดี๋ยวขิมจะลองโทรถามเมยแล้วไปพูดกับลูกดูนะคะ ถ้าฝากเข้าไปอยู่กับเมยขิมคงสบายใจ แถมโรงเรียนยังอยู่ใกล้โรงพยาบาล ขิมคงแวะเข้าไปดูได้
นั่น...คือทางออกสำหรับเรื่องนี้ และพอฉันโทรไปคุยกับเมยเมยก็บอกไม่มีปัญหา ส่วนชินที่ฉันกลัวจะไม่เห็นด้วยในตอนแรกๆ กลับผิดไปจากที่คิดอย่างน่าใจหาย
เจ้าเด็กน้อยดูกระดี๊กระด๊าตอนฉันออกไปถามว่าอยากไปโรงเรียนหรือเปล่า...แต่ไม่รู้หรอกนะว่าดี๊ด๊าวันนี้ วันไปส่งเข้าเรียนแล้วไม่ต้องเจอคุณแม่ตลอดทั้งวันจะร้องไห้หาแม่หรือเปล่า ส่วนฉัน...ถ้าวันไปส่งเข้าเรียนแล้วลูกร้องไห้งอแงฉันคิดว่าฉันคงจะใจอ่อนอุ้มลูกเดินข้ามถนนกลับมาด้วยกันเลยแหละ...ขนาดตอนออกมาพูดเรื่องจะส่งลูกเข้าเรียนให้เขาอยู่ห่างสายตาฉันยังเศร้าเลย
"ญาติคุณนวลฤดี คุณหมออยากคุยด้วยค่ะ"
เสียงเรียกจากพยาบาลที่ออกมาเรียกอยู่ที่หน้าห้อง ทำให้ฉันซึ่งกำลังคุยกับลูกต้องฝากลูกไว้กับเขตอีกครั้งแล้วเดินเร็วๆ ตามพยาบาลไป
"คนนี้ญาติใช่ไหมครับ ผลตรวจเอกซเรย์ออกแล้วนะ เป็นตามที่วินิจฉัยเบื้องต้นเอาไว้ก็คือเป็นท่อน้ำดีอักเสบ แล้วก็อุดตัน...ต้องผ่าตัดนะ ต้องผ่าด่วนเลย ปล่อยไว้นานกว่าหนึ่งเดือนไม่ได้ ญาติกับคนไข้ว่ายังไง ปรึกษากันหรือยัง"
หมอผู้ชาย ใส่เสื้อด้านนอกเป็นชุดกาวน์ยาวสีขาว ผมหยักศกเล็กน้อยกำลังก้มอ่านอะไรบางอย่างในแฟ้มและพูดโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองฉันหรือว่ามองแม่ ส่วนฉันที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ได้เพียงรับฟังและมองหน้าแม่ที่นอนบนเตียงไปด้วย
แต่จะว่าไปทำไมฉันรู้สึกคุ้นๆ เสียงหมอคนนี้จัง...เสียงก็คุ้น ด้านหลังก็คุ้น แม้แต่ต้นคอนั่น...เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน
"ถ้าผ่า จะได้ผ่าวันไหนคะ"ฉันถามคุณหมอ
"ถ้าเร็วสุดก็วันมะรืน ตามที่ห้องผ่าตัดว่าง แต่ถ้าช้าหน่อยก็อาจจะอีกสามถึงสี่วัน แต่ถ้าตัดสินใจจะผ่าและผ่าที่นี่ผมจะพยายามหาคิวห้องผ่าตัดให้ได้เร็วที่สุด เพราะไอ้อาการที่เป็นอยู่ตอนนี้ถ้ายิ่งผ่าเร็วก็จะยิ่งผ่าง่าย แต่ถ้าปล่อยไว้นานขึ้นมันจะลุกลามและผ่ายากขึ้น บางทีผ่าแล้วอาจจะไม่หายขาด"เขาตอบแล้วปิดแฟ้มที่ก้มอ่านอยู่ จากนั้นก็เดินไปก้มดูอาการแม่ใกล้ๆ แล้วหันมาพูดอะไรบางอย่างกับพยาบาลที่เข้ามาด้วย