7. แม่อาจต้องผ่า
"เมื่อกี้พยาบาลบอกว่ามีคุณหมอเข้ามาตรวจค่ะ แม่น่าจะยังไม่ฟื้น แต่เดี๋ยวจะมีหมออีกคนมาคุยด้วย เขาจะให้แม่ลงไปเอกซเรย์ เดี๋ยวขิมไปซื้อน้ำมาให้แม่ดื่มนะคะ เขาให้ดื่มน้ำแล้วกลั้นปัสสาวะรอเอกซเรย์"
ฉันบอกแม่แล้วเดินไปซื้อน้ำเปล่ากับพยาบาลที่อยู่หน้าห้อง พอให้แม่ดื่มน้ำหมอตัวสูงๆ ที่พยาบาลบอกไว้ก็เดินเข้ามายืนอยู่ที่ปลายเตียง เขาใส่เสื้อกาวน์สีขาวสั้นระดับสะโพกเหมือนหมอผ้าเช็ดหน้าที่ฉันเคยเจอ แต่น่าจะสูงกว่าหมอผ้าเช็ดหน้านิดหน่อย เขาเปิดดูแฟ้มแล้วมองดูแม่สลับกับมองหน้าฉัน
"คุณนวลฤดีใช่ไหมครับ"
"จ้า"แม่ฉันตอบ
"คนนี้ญาติใช่ไหมครับ"
"ค่ะ"ฉันตอบ
"เอ่อ เมื่อกี้อาจารย์เพิ่งเข้ามาตรวจ อาจารย์บอกว่าจากที่ตรวจดูอาการเบื้องต้นและผลเอกซเรย์ที่ถูกส่งมาสงสัยว่าจะเป็นท่อน้ำดีอักเสบ แล้วก็อุดตันนะครับ อาจจะต้องได้ผ่า แต่เดี๋ยวรอดูผลเอกซเรย์ที่นี่อีกทีถึงจะชัวร์และกำหนดได้ว่าจะได้ผ่าวันไหน ส่วนถ้าได้ผ่าก็จะมีสองทางเลือก คือจะให้ผ่าที่นี่หรือส่งไปที่อีกโรงพยาบาลหนึ่งที่ต่างจังหวัดซึ่งใหญ่กว่า มีหมอที่เชี่ยวชาญกว่า แต่อาจารย์ที่นี่ที่จะเข้าผ่าตัดในเคสนี้เป็นเคสแรกๆ ของอาจารย์เลย แต่ไม่ใช่ว่าอาจารย์ไม่เคยผ่าเคสแบบนี้เลยนะ เพียงแต่เคสนี้เป็นเคสใหญ่เคสแรกของอาจารย์ที่จะได้ผ่า และผ่าที่นี่ก็จะมีหมอเข้าไปช่วยดูหนึ่งคน ชื่ออาจารย์บรมวุฒิ อาจารย์คนนี้ชำนาญเป็นมือเอกของเคสแบบนี้แล้วก็ว่าได้นะ นั่นแสดงว่าในการผ่าครั้งนี้จะมีคุณหมอเข้าไปด้วยกันสองคน ซึ่งปกติไม่มีนะ ถ้าจะให้หมอแนะนำก็คืออยากจะให้ผ่าที่นี่ เพราะในกรณีเคสแบบนี้ถ้ายิ่งผ่าเร็วก็จะยิ่งเป็นผลดีกับคนไข้เอง ถ้าต้องส่งไปที่ต่างจังหวัด บางทีเตียงก็อาจจะไม่พอ อาจจะได้รอนาน แล้วถ้านานขึ้น การผ่าก็จะยากมากขึ้นด้วย อันนี้อาจารย์ฝากมาบอกแค่นี้ก่อน ถ้าผลเอกซเรย์ออกแล้วอาจารย์อาจจะขึ้นมาคุยด้วยในช่วงบ่ายๆ คนไข้กับญาติคนไข้ก็ลองๆ ปรึกษากันดูแล้วรอให้คำตอบกับอาจารย์ตอนนั้นเลยก็ได้...นะครับ"
พอหมอพูดจบและตอบคำถามที่ฉันถามไปเสร็จแล้ว เขาก็เดินไปคุยกับคนไข้คนอื่นในขณะที่ฉันเดินเข้าไปจับมือแม่เพื่อให้กำลังใจ
"แม่ต้องผ่าเหรอ"แม่ถามเสียงสั่น
"ไม่เป็นไรนะคะแม่ ผ่าแล้วก็หาย หมอบอกว่าผ่าแล้วก็ไม่เป็นไรแล้ว จะได้ไม่ต้องเจ็บอีกไง หมอสมัยนี้เก่งจะตาย ผ่าแป๊บเดียวก็หายแล้ว"
"ไม่ผ่าไม่ได้เหรอ"
แม่บีบมือฉันแน่น ดูก็รู้ว่าแม่กลัวมาก...ฉันเองก็กลัวเหมือนกัน
"แม่ต้องเชื่อฟังหมอถึงจะหายนะคะ ถ้าหมอบอกว่าผ่าก็ต้องผ่า มันไม่น่ากลัวหรอก คนอื่นก็ผ่ากันตั้งเยอะแยะ ก็หายหมด"
"แล้วถ้าไม่หายล่ะ"
"ต้องหายสิคะ"ฉันบอกแล้วนั่งจับมือแม่ไว้เกือบครึ่งชั่วโมง เข้าใจดีว่าแม่กลัวแค่ไหน แม่คงคิดมากกังวลไปหมด เพราะแบบนี้ฉันจึงต้องคอยอยู่ด้วยตลอดเวลา
ส่วนตาชิน ตอนนี้ฉันยังไม่รู้เลยว่าฉันจะเอายังไงกับลูกดี สมมุติถ้าแม่ต้องผ่าจริงๆ ในระหว่างที่นอนโรงพยาบาลแล้วฉันมาเฝ้า ลูกชายของฉันจะอยู่กับใคร ตอนกลางวันเขตก็ต้องไปโรงเรียน ถ้าจะพามาโรงพยาบาลด้วยก็พาเข้ามาในห้องไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่ฉันยังคงกังวลรองจากเรื่องแม่
"ป่านนี้หลานแม่ไม่งอแงแล้วเหรอ ไม่ต้องนั่งจับมือแม่ตลอดก็ได้ ออกไปดูลูกหน่อยเถอะไป ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจอกับน้าสักครั้ง เคยเห็นแต่ในโทรศัพท์ ป่านนี้ไม่รู้เป็นยังไงบ้าง"
แม่ฉันที่นอนนิ่งมาหลายนาทีพูดกับฉันขึ้นเป็นครั้งแรก ฉันรู้ว่าตอนนี้แกก็ยังคิดมากและกังวลอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ลืมจะคิดถึงหลาน
"ถ้างั้นขิมออกไปแป๊บเดียวแล้วจะเข้ามานะคะ อีกหน่อยเขาจะมาพาแม่ลงไปเอกซเรย์แล้ว"ฉันบอกแล้วแม่ก็พยักหน้าให้ฉันเบาๆ
พอเดินออกมาถึงหน้าห้อง มองไปยังเก้าอี้ติดริมหน้าต่างจึงเห็นว่าน้ากับหลานนั่งพิงกันอยู่ เจ้าคิ้วดกของฉันเรียกหาฉันทันทีที่เห็นฉันเดินออกมา ฉันเดินเข้าไปหาเขาก่อนจะนั่งยองๆ ลงไปด้านหน้า
"หิวไหมลูก"
ฉันถาม คราวนี้เจ้าคิ้วดกไม่ปฏิเสธเหมือนกับครั้งก่อน เขาไม่ปฏิิเสธและไม่ได้ยอมรับว่าหิว เพียงแต่กะพริบตาปริบๆ เหมือนใช้ความคิดอะไรสักอย่าง
"เมื่อกี้คุยกับพวกน้าๆ ป้าๆ ตั้งนาน คงหมดพลังเริ่มหิวแล้วมั้ง"เขตพูดพร้อมกับยกมือขึ้นยีผมหลาน
"อีกหน่อยเขาจะมาพาแม่ไปเอกซเรย์ ถ้าพี่พาชินไปหาอะไรทานตอนนี้ไม่รู้จะขึ้นมาทันไหม"
"เดี๋ยวฉันไปกับแม่เอง พี่ขิมพาหลานฉันไปหาอะไรทานเถอะ ดูทรงจะหิวมากแต่ยังเก๊กอยู่"เขตพูดติดตลกแล้วจิ้มแก้มป่องของลูกชายฉันด้วยท่าทางมันเขี้ยวที่สุด
"ถ้างั้นเขตเข้าไปอยู่กับแม่ก่อนนะ พี่จะรีบไปรีบกลับขึ้นมา ถ้าเขตลงไปกับแม่ที่ห้องเอกซเรย์แล้วก็โทรบอกพี่ด้วย"
"ได้ๆ"
"โอเค เดี๋ยวจะซื้ออะไรอร่อยๆ ขึ้นมาให้"ฉันบอกน้องแล้วอุ้มชินน้อยขึ้นมาคาบเอว เขตเดินมากดลิฟต์ให้ฉันแล้วเดินเข้าห้องไปอยู่กับแม่ ส่วนฉันกับลูกเมื่อลงจากลิฟต์มาถึงชั้นล่างก็เข้าร้านสะดวกซื้อซึ่งอยู่ภายในโรงพยาบาลและอยู่ใกล้ที่สุดเป็นลำดับแรก
"ชินอยากทานอะไรลูก เอาข้าวต้มหรือจะเอาข้าวผัด"ฉันถามลูก เมื่อเดินมาถึงหน้าตู้เย็นที่ใส่พวกอาหารสำเร็จรูปซึ่งใช้เวลาเวฟไม่กี่วินาทีก็สุกพร้อมทาน
"ชินยักกินทั้งหมดเยย หิวมากเยยครับคูมแม่"
เจ้าเด็กน้อยที่ทำเป็นเก๊กมาตั้งนาน สารภาพพร้อมลูบหน้าท้องตัวเอง ฉันถึงกับกลั้นขำไม่ไหวจึงได้ยื่นมือไปหยิบทั้งข้าวต้ม ทั้งข้าวผัดมาใส่ตะกร้าสามถึงสี่กล่อง พอได้ข้าวแล้วก็ไม่ลืมน้ำอีกสามสี่ขวด ปิดท้ายด้วยขนมขบเคี้ยวอีกหลายๆ ห่อ นั่นทำให้ถูกใจสายกินไม่น้อย
"คูมแม่เอาทาร์ตไข่ด้วย ชินจำได้ว่าคูมแม่ชอบกิน"
เด็กน้อยชี้ไปยังทาร์ตไข่ในตู้ขนม แน่นอนว่าชินจังไม่ชอบกิน แต่มันคือของโปรดของฉันสุดๆ ...ดีใจจังที่ลูกจำได้
"รู้ใจจังเลยนะลูกคนนี้ แล้วชินจะเอาอะไรอีกไหม ถ้าไม่เอาแม่จะเอาไปให้เขาคิดเงินแล้วนะ"
"ไม่เอาอะไรอีกแย้วครับ เยอะแย้ว ชินต้องประหยัดเงินไว้ให้คูมแม่ส่งชินเยียนหมอ..."
จ้า ประหยัดเงินไว้ให้ชินเรียนหมอแล้วไปเป็นนายกเพื่อพาแม่เที่ยว...ประหยัดแบบของกินเต็มตะกร้า ไม่รู้ลูกประหยัดหรือแม่ซื้อแบบไม่คิด!
เมื่อซื้อของกินอะไรเสร็จแล้วฉันก็อุ้มลูกออกมาจากร้านสะดวกซื้อที่คนค่อนข้างแออัดเพราะภายในโรงพยาบาลมีร้านสะดวกซื้ออยู่แค่ร้านเดียว แถมยังเป็นร้านเล็กๆ พวกหมอ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ คนไข้หรือญาติคนไข้ก็ต่างมาซื้ออะไรๆ กันที่นี่หมด แต่ถ้าใครไม่ขี้เกียจเดินตากแดด ด้านนอกรั้วซึ่งเดินออกไปอีกนิดเดียวก็จะมีของกินของขายอยู่บ้างตามริมถนน พอกลางคืนพื้นที่แถวนั้นก็จะกลายเป็นถนนคนเดินมีของกินของใช้ให้ได้จับจ่ายใช้สอยกันจนถึงช่วงดึกๆ เยอะแยะทีเดียว
เมื่อซื้อของครบ ฉันกับลูกก็ช่วยกันหิ้วถุงของกินของใช้ ไหนจะเสื่อปูนั่งที่ซื้อได้จากหน้าร้านสะดวกซื้อเดินกลับไปยังตึกฉุกเฉินที่เราลงมา
เจ้าชินจังของฉันช่วยถือเสื่อ ส่วนฉันก็ถือถุงของกินและน้ำ ทุกอย่างรวมกันหนักอยู่ไม่น้อย นั่นทำให้ตอนไปถึงหน้าลิฟต์ฉันต้องขอให้คุณหมอที่เพิ่งขึ้นไปให้ข้อมูลเรื่องการผ่าตัดของแม่ในก่อนหน้านี้และกำลังมารอขึ้นลิฟต์เหมือนกันช่วยกดลิฟต์ให้
"ไปชั้นสิบใช่ไหมครับ"หมอคนนั้นถามหลังจากเดินเข้ามายืนในลิฟต์ด้วยกัน
"ค่ะ"ฉันตอบ จากนั้นหมอก็กดไปที่เลขสิบแล้วก้มดูโทรศัพท์ ส่วนฉันก็ก้มลงมองลูกชายที่เงยหน้าขึ้นมามองฉัน