9. เขาจำฉันไม่ได้
"ตอนนี้ยายเป็นยังไง ยังเจ็บอยู่ไหม เจ็บตรงไหนบ้าง"เขาคุยกับพยาบาลแล้วหันไปถามแม่ฉัน ตอนนี้ฉันยังไม่เห็นหน้าเขาเพราะพยาบาลบังไว้ รู้แต่เพียงว่ายิ่งได้ยินเสียงฉันก็ยิ่งคุ้น...
"เจ็บอยู่จ้ะ แต่ไม่เจ็บเท่าเมื่อเช้าแล้ว เจ็บตรงนี้"
ฉันได้ยินแค่เสียงแม่ที่ตอบออกไป...
"อ้อ โอเค ที่เจ็บตรงนั้นมันเป็นเพราะท่อน้ำดีของคุณยายมันอุดตันนะ อาการของท่อน้ำดีอุดตันมันจะทำให้คุณยายไม่อยากอาหาร น้ำหนักลด ปัสสาวะมีสีเข้ม แล้วก็ตัวเหลืองตาเหลือง ที่เรียกว่าดีซ่าน ต้องผ่าถึงจะหาย ถ้าไม่ผ่ามันก็จะลุกลาม รักษาไม่ได้ ถึงขั้นเสียชีวิต คุณยายพร้อมจะผ่าไหม"
"ถ้าผ่าแล้วหายก็ต้องผ่าแหละจ้า"
"ถ้าผ่า โอกาสหายเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ มีโอกาสเสียชีวิตแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ ตกลงว่าคุณยายจะผ่านะ แล้วญาติว่ายังไงครับ จะให้ผ่าที่นี่หรือผ่าที่อีกโรงพยาบาล ถ้าผ่าที่นี่ผมจะเป็นคนผ่าให้..."
หมอคนนั้นถามพร้อมหันกลับมามองหน้าฉัน...และเป็นตอนนั้นนั่นเองที่ฉันแทบไม่ยินคำถามต่อมาของเขาอีกเลย...
ผมแบบนั้น คิ้วแบบนั้น ตาแบบนั้น จมูกแบบนั้น ริมฝีปากแบบนั้น และน้ำเสียงแบบนั้น...นี่เขา...ยังทำงานที่โรงพยาบาลนี้อยู่อีกเหรอ?
"ว่าไงครับญาติ..."เขาถามอีกครั้งด้วยเสียงเรียบนิ่ง ฉันเหมือนอมพะงัน พอจะอ้าปากพูดก็ปากสั่นปากซีดเหมือนคนมีความผิด เขากับตาชินหน้าเหมือนกันมาก เหมือนมากๆ ตอนนี้นั่นคือสิ่งเดียวที่ฉันคิดอยู่ในหัว ฉันเหมือนคนไม่มีสติ...
"ญาติคะ คุณหมอถามว่าจะให้คนไข้ผ่าที่นี่ไหม"พยาบาลเดินมาสะกิดแขนถามฉัน ฉันที่เผลอจ้องหน้าหมอคนนั้นอย่างไม่ตั้งใจถึงขั้นสะบัดหัวแรงๆ รีบตั้งสติให้เร็วที่สุดแล้วตอบออกไปด้วยเสียงเพี้ยนๆ
"ผ่า...ผ่าค่ะ ผ่าที่โรงพยาบาลนี้ค่ะ"
"ตกลงว่าให้ผ่าที่นี่นะครับ"
"ค่ะ"
"มีอะไรจะถามผมไหม"
"คะ...คือ ผ่าต้องใช้เวลานานไหมคะ"
"หมายถึงเวลาที่จะต้องใช้ผ่าในห้องผ่าตัดใช่ไหม ถ้าเป็นเวลาในห้องผ่าตัดในกรณีผ่าเคสนี้จะใช้เวลาประมาณสามถึงสี่ชั่วโมง ถ้านานกว่านั้นก็ไม่เกินห้าชั่วโมง เป็นเคสที่ไม่ใหญ่ถึงกับผ่าหัวใจ แต่ก็ไม่เล็กเหมือนผ่าไส้ติ่ง"
"แล้วหลังจากผ่าจะได้นอนพักฟื้นนานไหมคะ"
"ก็...เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับคนไข้นะ ถ้าคนไข้แข็งแรงเร็ว ลุกนั่งเองได้ ตัดไหมเสร็จก็จะอนุญาตให้กลับบ้านได้ภายในหนึ่งสัปดาห์"
"ค่ะคุณหมอ"
ฉันตอบแล้วคุณหมอก็ก้มเขียนอะไรในแฟ้มเขาอีก เขียนๆๆ แล้วก็หันไปคุยกับพยาบาลก่อนจะเดินฉับๆ ออกไปจากห้อง
ส่วนฉันก็ได้แต่มองตามสายตาละห้อย!
เขาจำฉันไม่ได้...
แต่ฉันจะเศร้าทำไมอ่ะ เขาจำไม่ได้ก็ดีแล้วนี่ จะเป็นหมอผ้าเช็ดหน้าแล้วไง จะเป็นผู้ชายคนแรกที่ฉันคิดถึงและเก็บผ้าเช็ดหน้าเขาไว้อย่างดีแล้วไง...จะเป็นผู้ชายคนแรกของฉัน แถมยังเป็นพ่อของชินแล้วไง...เขาไม่ได้มารู้กับฉันเสียหน่อย ฉันเองก็หวังให้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ดีเสียอีกที่เขาจำฉันไม่ได้และไม่รู้ว่าคืนนั้นระหว่างฉันกับเขามันเกิดอะไรขึ้น
อย่างน้อยฉันก็จะได้ไม่ต้องคอยหลบหน้าหรือคอยระแวงเมื่อต้องกลับมาเจอกับเขาอีกครั้งแบบไม่ได้ตั้งตัว
แต่เขายังอยู่ที่นี่แถมยังกลายเป็นหมอประจำไข้แม่ฉันนี่นะ...โลกกลมของแท้
"เป็นอะไรหรือเปล่าขิม"
เสียงถามของแม่ ทำให้ฉันที่ยังยืนมองตามหมอคนนั้นอย่างไม่รู้ตัวเหมือนได้สติ ฉันกะพริบตาปริบๆ รีบหันกลับไปมองแม่เมื่อโดนหมอคนนั้นเหมือนมองฉันคืน
เขายืนคุยกับพยาบาลในห้องบุคลากรซึ่งอยู่หน้าห้องพักแยกที่แม่ฉันนอน ที่กั้นไว้มีกระจกใสที่สามารถมองเห็นกันได้ทั้งห้อง นั่นทำให้คนในห้องคนไข้กับห้องทำงานบุคลากรสามารถมองผ่านไปหากันได้แบบร้อยแปดสิบองศา!
"ทำไมเหงื่อเยอะจัง หน้าแดงๆ ด้วย ป่วยหรือเปล่าลูก"
"เปล่าค่ะแม่ แค่ร้อนๆ"ฉันตอบแม่แล้วหย่อนสะโพกนั่งบนเก้าอี้ หยิบพัดวีที่วางบนตู้หัวเตียงมาพัดใบหน้าระบายความร้อน
วันต่อมา
วันนี้ หลังจากจ้างแท็กซี่ลงไปส่งที่บ้าน ฉันกับน้องชายอายุสิบหกซึ่งเรียนมัธยมที่โรงเรียนในตัวจังหวัดก็ตระเตรียมของกันเพื่อที่จะย้ายมาอยู่บ้านเช่าในเมืองกันแบบชั่วคราว เขตแดน ปกติเขาจะขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาเรียนในเมืองแบบมาเช้าเย็นกลับ แต่เมื่อแม่ต้องนอนโรงพยาบาลแถมชินลูกชายของฉันก็ไม่มีคนอยู่ด้วยในตอนกลางคืน ฉันก็เลยจำเป็นที่จะต้องเช่าบ้านในเมืองชั่วคราวเพื่อให้เขตมาแต่โรงเรียนแล้วก็มาอยู่ที่บ้านกับหลาน หรือถ้าวันไหนเขตอยากมาอยู่กับแม่ฉันก็จะกลับไปอยู่กับลูกที่บ้านสลับสับเปลี่ยนกันโดยไม่ต้องเสียเวลาเหมือนเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านกับโรงพยาบาลซึ่งนับระยะทางไปกลับแต่ละทีก็เกือบสี่สิบกิโลเข้าไปแล้ว แถมนอกจากรถมอเตอร์ไซค์ของเขตก็ไม่มีรถอื่นจะพาเทียวด้วย...
และนอกจากจะเตรียมของเพื่อขึ้นมาพักในเมืองแล้ว วันนี้ฉันก็ยังต้องเตรียมตัวพาลูกไปฝากเข้าเรียนในโรงเรียนเตรียมอนุบาลกับยายครูเมย ซึ่งโรงเรียนอยู่คนละฟากถนนกับโรงพยาบาลอีกด้วย
เมยมีรถเก๋งคันเล็กสีแดงคันหนึ่ง บ้านฉันกับบ้านเมยอยู่ไม่ห่างกันมาก ฉันกับลูกติดรถกับเมยกลับเข้ามาในตัวเมืองอีกครั้งและเมยก็พาฉันไปขนของลงไว้ที่บ้านเช่าซึ่งเมยเป็นคนแนะนำและเป็นคนพามาเพราะเห็นว่าบ้านราคาไม่แพงและเหมาะกับเด็ก แถมยังอยู่ใกล้โรงเรียนกับโรงพยาบาล ส่วนตาชินของฉันดูจะชื่นชอบครูเมยของเขามากเป็นพิเศษ ตอนอยู่บนรถก็คุยกันตลอดเส้นทาง ตอนมาถึงโรงเรียนและตอนที่ฉันต้องทิ้งเขาไว้เพื่อไปเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลชินก็ไม่ร้องไห้สักแอะ...มีแต่ฉันนี่สิที่แอบน้ำตาซึมตอนยืนส่งลูกเดินเข้าโรงเรียนไปกับคุณครู
คิดถึงลูกมาก ตั้งแต่คลอดและเลี้ยงมาจนสามปีฉันกับลูกแทบไม่เคยอยู่ห่างกันเลย เราอยู่กันสองคนแม่ลูกมาโดยตลอด รู้อยู่แล้วแหละว่าพออายุถึงคราวต้องส่งเข้าเรียนฉันก็ต้องปล่อย แต่ถึงอย่างนั้นคนเป็นแม่มันก็อดคิดถึงและอดเป็นห่วงไม่ไหว แล้วนี่ยังต้องมาส่งเข้าเรียนเร็วกว่าที่คิดเอาไว้อีกตั้งหนึ่งปี มันเร็วมาก เร็วเกินไป เร็วแบบไม่เคยคิดไม่เคยเตรียมใจมาก่อนด้วยซ้ำ
"คูมแม่..."
เสียงเรียก ทำให้ฉันซึ่งกำลังจะเดินออกจากประตูรั้วโรงเรียนหันกลับไปมอง เจ้าคิ้วดกวิ่งมาหาฉันแล้วกอดที่ขา ตอนแรกฉันนึกว่าลูกจะร้องไห้ไม่อยากเข้าไปเรียนแล้ว แต่เปล่าเลย...
"คูมแม่ไม่ย้องไห้นะครับ ชินจาเป็นเด็กดีของคูมครู ชินจาคิดถึงคูมแม่มากๆ ด้วย"เด็กน้อยเกาะขาเงยหน้าบอกฉัน ฉันยิ้มทั้งน้ำตาก่อนจะก้มลงไปหอมหน้าผากมนของเขาแล้วกอดอีกครั้ง
"เจอกันตอนเย็นนะลูก อย่าซนมากล่ะ"
"ชินจาไม่ดื้อไม่ซนครับ"
คำพูดของลูกชายฉันยังคงดังก้องในหัวของฉัน ฉันเดินข้ามสะพานลอยไปที่โรงพยาบาลช้าๆ ขณะที่น้ำตายังซึมออกมาไม่หาย
ลูกฉันเข้มแข็งมากที่ไม่ร้องไห้ ส่วนฉันทำไมถึงต้องอ่อนไหวมากขนาดนี้ก็ไม่รู้ หรือมันอาจจะเป็นเพราะฉันเลี้ยงดูเขาคนเดียวมาตั้งแต่เด็ก เรามีกันอยู่สองคน ฉันทำงานอะไรหรือทำที่ไหนก็มักจะมีเขาอยู่ในสายตาตลอดเวลา สุดท้ายวันที่ต้องส่งลูกเข้าเรียนฉันจึงต้องกลายไปเป็นคุณแม่ขี้แยแบบนี้...
ติ๊ง!!
"ไม่เข้ามาเหรอครับ"
เสียงถามของใครบางคน ทำให้ฉันที่กำลังยื่นเหม่อหน้าลิฟต์รีบก้าวเข้าไปก่อนลิฟต์จะปิด ช่วงนี้ฉันสติหลุดบ่อยมาก เอาจริงๆ ก็นับตั้งแต่เมื่อวานมานั่นแหละ ปกติฉันไม่ได้หลุดง่ายขนาดนี้ ตั้งแต่เมื่อวานมาถึงวันนี้มันมีแต่เรื่องที่ไม่คาดฝันให้ฉันต้องคิด ไหนจะเรื่องแม่ ไหนจะเรื่องหมอคนนั้น และวันนี้ยังต้องมาคิดเรื่องลูก...เรื่องให้คิดมีอยู่เต็มหัวของฉันไปหมด
"ไปชั้นไหนครับ"เสียงผู้ชายคนเดิมถามฉันอีกครั้ง
"ชั้นสิบค่ะ"ฉันตอบแล้วจะเอื้อมมือไปกดเลขสิบ แต่ปรากฏว่าที่เลขสิบมีคนกดแล้ว คาดว่าผู้โดยสารร่วมอยู่ในลิฟต์จะมีคนไปที่ชั้นสิบเหมือนกัน
"เมื่อวานผมเห็นคุณมองผมแปลกๆ ..."
เสียงผู้ชายคนเดิมพูดขึ้น เสียงฟังดูคุ้นๆ แต่ฉันไม่รู้ว่าเขาพูดกับฉันหรือเปล่า พอมองดูรอบๆ กลับปรากฏว่าในลิฟต์มีแค่ฉันกับเขา...แค่สองคน
"พูดกับฉันเหรอคะ..."ฉันหันไปถาม ก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดปาก เมื่อเขาที่ว่าคือหนึ่งในคนที่ทำให้สติของฉันไม่อยู่กับตัวตอนนี้...
**แจ้งคุณนักอ่านถึงช่วงเวลาอัพงานนะคะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปตอมส์ขออนุญาตเปลี่ยนเวลาอัพงานจากตอนเที่ยงมาเป็นตอนเย็นแทนนะคะ