ร่างสูงตัดสินใจได้ดังนั้นก็ผุดลุกขึ้นเต็มความสูง แต่แล้วความตั้งใจก็ต้องชะงักลงอีกครั้งเมื่อบานประตูที่ปิดไปแล้วเปิดออกอีกหน
ทีแรกเขาคิดว่าจะเป็นเหอปี้เวิ่นที่เข้ามา จึงตะโกนออกไปเสียงเข้มอย่างเดือดดาลโดยที่ยังไม่ทันได้มองหน้าผู้ที่มาใหม่เสียด้วยซ้ำ “ข้าไม่อยากจะฟังเจ้าพูดอะไรอีกแล้ว!”
“เจ้าชุน” เสียงทุ้มเข้มส่งผลให้คนหนุ่มสะดุ้งโหยง ครั้นมองเห็นอีกฝ่ายได้อย่างเต็มตาก็รีบกล่าวขอโทษ
“ขออภัยด้วยท่านสาม ข้าคิดว่าเป็นเจ้าปี้เวิ่น”
อิงซานได้ฟังแล้วก็หัวเราะพร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆ “แล้วเจ้ากำลังจะไปไหน”
“ข้า...”
น่าแปลก พอเขาจะเอ่ยลาพ่อค้าขายปลาเพื่อไปแก้แค้นให้กับครอบครัวขึ้นมาจริงๆ ก็กลับพูดไม่ออก
ผู้เป็นเจ้าของบ้านมองปฏิกิริยาอ้ำอึ้งของอีกฝ่าย ก่อนจะเบือนหน้าไปยังบานหน้าต่างเล็ก พบว่าฝนหยุดตกแล้ว
“ดีจริงเชียวที่ฝนหยุดตกแล้ว เจ้าอยากจะออกไปสูดอากาศด้านนอกบ้างหรือไม่”
นับตั้งแต่หลี่ชุนได้รับบาดเจ็บและมารักษาตัวอยู่ที่บ้านอิงซาน เขาก็ไม่เคยมีโอกาสออกไปเดินสำรวจเมืองด้านนอกเลยสักครั้ง แม้อารมณ์ของชายหนุ่มยังไม่เสถียรดีนัก แต่เขาก็ตอบรับคำเชิญชวนที่หยิบยื่นมาให้อย่างเสียไม่ได้
เมื่อชายหนุ่มออกมายังด้านนอกก็กินข้าวต้มเพียงไม่กี่คำ ดวงตากวาดสำรวจโดยรอบก็ไม่เห็นวี่แววของผู้ที่ทำให้เขาอารมณ์เสียเลยแม้แต่เงา
“ท่านเหอบอกว่าจะไปทานอาหารที่โรงเตี๊ยมเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศจ้ะ” เสียงของฮูหยินมาพร้อมกับถ้วยน้ำชาที่ยื่นมา ท่าทีการแสดงออกเหมือนกับอ่านใจได้ส่งผลให้ชายหนุ่มรีบเอ่ยแก้ตัวอย่างร้อนรน
“ใครว่าข้ากำลังมองหาเขากัน!”
หลี่ชุนคิดพลางตักข้าวต้มใส่ปากกินจนเกลี้ยง ในใจตระเตรียมคำพูดมากมายเผื่อว่าบังเอิญสวนทางกับเจ้าคนกวนประสาทในระหว่างที่เดินสำรวจเมือง
ทว่าสถานที่ที่อิงซานพาทายาทตระกูลพ่อค้าใหญ่หาใช่ท้องถนนภายในเมืองหงเล่อไม่ ครั้นคนที่เพิ่งฟื้นตัวต้องเดินทางออกนอกกำแพงเมืองมาไกลพอสมควร สิ่งแรกที่เขาสัมผัสคืออาการที่เย็นชื้นและกลิ่นฝนที่ยังไม่หายสนิท
ไร้ซึ่งเสียงพูดคุยที่แสนวุ่นวายของชาวบ้าน ปราศจากเสียงรบกวนของผู้คนที่เดินไปมาอย่างขวักไขว่ ราวกับว่าอิงซานตั้งใจจะพาเขามายังสถานที่เงียบๆ เพื่อให้เขาคิดทบทวนอะไรบางอย่าง
แต่ถึงกระนั้น คุณชายแห่งตระกูลหลี่ที่เวลานี้มีใบหน้าบูดบึ้งกำลังยืนพิงลำต้นหนาของต้นเมเปิล บริเวณสีข้างและท้องมีผ้าพันแผลภายใต้เสื้อผ้าผิวหยาบสีเทาจึงทำให้เขามิอาจนั่งบนพื้นได้ดั่งใจนึก
ความรู้สึกมิได้ดั่งใจถึงสองคราภายในระยะเวลาไล่เลี่ยกันทำให้คนที่มักจะถูกตามใจอยู่เสมอไม่สบอารมณ์
เจ้าเหอปี้เวิ่นผู้นั้นมีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าเขาไม่พร้อม แถมบุคลิกยังเปลี่ยนไปราวกับคนละคนราวกับอีกฝ่ายได้ผ่านประสบการณ์อะไรมามากมาย ทั้งๆ ที่เขามีอายุมากกว่าแท้ๆ !
‘ข้าไม่ได้ห้ามมิให้เจ้าแก้แค้น แต่ดูสภาพของเจ้าตอนนี้ หากไปบุกรังโจรก็คงไม่พ้นการเอาชีวิตไปทิ้ง’
ชายหนุ่มขบกรามแน่น ครอบครัวของเขาถูกกองโจรดักปล้นรถสินค้าและสังหารจนไม่มีใครรอดชีวิต แล้วจะให้เขารออยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลยน่ะหรือ
‘ย่ามันสิ!’
เขาทำไม่ได้! ถ้าหากเขาปล่อยเรื่องนี้ไปแล้วเขาจะยังให้อภัยตนเองได้อีกหรือ!
เขารู้สึกหงุดหงิดและไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสรรพนาม ‘ตะพาบน้ำ’ ที่อีกฝ่ายเรียกจนเขารู้สึกว่าตนเองถูกเปรียบเทียบให้กลายเป็นสัตว์ตัวน้อยๆ ในสายตาของคนร่างบางตัวเล็กๆ ผู้นั้น
หึ! ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด!
“หลี่ชุน เจ้าตกปลาเป็นหรือไม่”
เสียงของผู้สูงวัยกว่าดึงสติของหลี่ชุนให้กลับมายังปัจจุบันอีกครา ดวงตาสีชาจับจ้องไปยังผู้ที่นั่งหันหลังอยู่บนโขดหินซึ่งกำลังจับเตรียมอุปกรณ์สำหรับการตกปลาด้วยท่าทีชำนาญการ
อารมณ์ของเขาขุ่นมัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงตอบไปอย่างห้วนสั้น “ไม่เป็น”
“เช่นนั้นเอง” ผู้ฟังไม่เพียงไม่ถือสา ทั้งยังชวนคนอายุน้อยกว่าคุยอย่างต่อเนื่องอีกต่างหาก “น่าเสียดายที่เจ้าบาดเจ็บอยู่ ไว้พอหายดีแล้วเจ้าน่าจะลองดูบ้างนะ”
อิงซานเหวี่ยงเบ็ดออกไปไกล เสียงของเส้นเอ็นที่จมหายลงไปในน้ำพร้อมกับเหยื่อส่งผลให้เกิดระลอกคลื่น หลี่ชุนอดไม่ได้ที่จะมองมันอย่างเผลอไผล
ยามเมื่อแสงแดดตกกระทบลงบนผิวทะเลสาบราวกับอัญมณีเปล่งประกายระยิบระยับละลานตา บวกกับการเคลื่อนไหวของผู้ที่กำลังตกปลาอยู่ริมน้ำทำให้องค์ประกอบของภาพดูสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
ความสวยงามของมันทำให้อารมณ์ของชายหนุ่มผ่อนคลายลงโดยไม่รู้ตัว
สายตาของพ่อค้าขายปลายังคงจับจ้องอยู่ที่กิ่งไม้ซึ่งเขาใช้เป็นทุ่นลอยน้ำ ส่วนปากก็พูดคุยกับคนที่บาดแผลยังไม่หายดีที่ยืนเยื้องออกไปทางด้านหลัง “การตกปลาถึงจะดูเหมือนง่าย แต่แท้จริงแล้วก็ไม่อาจทำได้หากไม่มีการเตรียมพร้อม ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องสอดคล้องกันจึงจะดี...”
ผู้ที่กำลังตกปลาไม่มีตาหลัง ทว่าเขาก็สามารถรับรู้ถึงสายตาของชายหนุ่มที่จ้องมองมา ราวกับว่ากำลังรอรับฟังสิ่งที่เขาพูดอย่างเงียบๆ คาดว่าอารมณ์หงุดหงิดน่าจะทุเลาลงแล้ว
ด้วยเหตุนี้เสียงแหบห้าวจึงกล่าวต่อ “ทั้งคันเบ็ดที่แข็งแรง ตะขอเกี่ยวเหยื่อ เหยื่อ สายเอ็น แหล่งน้ำ ปลา และที่สำคัญคือผู้ที่ตกปลาเอง การตกปลาจะใจร้อนมิได้ มิเช่นนั้นสุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว”
หลี่ชุนนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ที่แท้พ่อค้าขายปลาต้องการใช้เรื่องการตกปลามาเตือนเขาเรื่องการไปแก้แค้น
เวลานี้เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนร้ายเป็นใครและอยู่ที่ไหน แม้ยากจะยอมรับ แต่คำพูดของเหอปี้เวิ่นนั้นถูกต้อง หากเขาคิดจะแก้แค้นอย่างใจร้อนเช่นนี้ก็คงไม่แคล้วเอาชีวิตไปทิ้งอย่างน่าสมเพช
อันที่จริง เขาตระหนักเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว เป็นเพราะก่อนหน้านี้ในใจเขามีแต่ความแค้นและทิฐิมาบังตา เขาจึงปล่อยให้อารมณ์ควบคุมจิตใจ
ชายหนุ่มคิดพลางมือเข้าหากันแน่น แรงบีบนี้เขาใช้กำลังทั้งหมดที่เขามีจนฝ่ามือรู้สึกปวดร้าวและสั่นระริก
ท่านพ่อ ท่านแม่...ขออภัยที่ลูกอกตัญญู เวลานี้ลูกไม่มีปัญญาพอที่จะไปล้างแค้นให้กับพวกท่านได้
เจ้าของนัยน์ตาสีชาคิดพลางถอนหายใจหนักแล้วคลายมือออกอย่างเชื่องช้า “ขอบคุณท่านสาม” น้ำเสียงแสดงออกราวกับกำลังเหนื่อยล้ากับทุกสิ่งอย่าง หากก็ยังคงเจือด้วยความจริงใจอยู่ในที
เดิมทีอิงซานคิดที่จะหันหลังกลับมา ทว่าแรงดึงของคันเบ็ดทำให้เขามิอาจทำได้ดั่งใจนึก “หากอยากจะขอบคุณก็ไปบอกกับเจ้าเวิ่นเถิด เขาเป็นคนบอกให้ข้าพาเจ้ามาที่นี่”
กล่าวจบก็ออกแรงดึงคันเบ็ดขึ้นมาอย่างแรง เสียงของผิวน้ำที่แตกกระเซ็นมาพร้อมกับเกล็ดปลาสีเหลือบที่สะท้อนวาววับเข้ากับแสงอาทิตย์ สีหน้าดีใจของพ่อค้าขายปลาผิดกับคิ้วเรียวบนใบหน้าของชายหนุ่มอายุยี่สิบที่เลิกสูงขึ้น
ทายาทตระกูลพ่อค้าแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน ก่อนที่ความรู้สึกผิดจะถาโถมขึ้นมา
เขาต่อว่าเหอปี้เวิ่นไปเสียขนาดนั้น ทั้งยังว่าร้ายลับหลังไปมากมาย แต่เจ้าคนผู้นั้นกลับไม่เคยแสดงท่าทีโกรธเคืองหรือหงุดหงิดใจเลยไม่แต่น้อย
มิหนำซ้ำยังให้อิงซานมาเตือนสติเขาอีก หลี่ชุนในเวลานี้จึงทั้งรู้สึกซาบซึ้งและหงุดหงิดไปในเวลาเดียวกัน