ความเปียกชื้นยังคงอยู่ที่หางตา หากอีกฝ่ายเห็นเข้าเขาคงรู้สึกอับอายขายขี้หน้าเป็นแน่
บาดแผลที่นิ้วมือได้รับอนุญาตจากท่านหมอให้นำผ้าพันแผลออกแล้ว แต่ต้องระมักระวังเรื่องความสะอาด
เสียงของสายฝนดั่งแผ่วลงจนแทบมิได้ยิน ไม่นานนักเสียงทุ้มห้าวของผู้ป่วยก็ดังทำลายความเงียบขึ้นมา
“เจ้ารู้จักคำว่ามารยาทบ้างหรือไม่ อย่างน้อยก็ควรจะรู้จักเคาะประตูเสียบ้าง และข้าก็มิใช่ตะพาบน้ำด้วย!” กล่าวจบก็ละมือออกจากใบหน้าแล้วจ้องมองนางด้วยแววตาตำหนิ
ทว่าผู้ฟังกลับสาวเท้าเข้าไปใกล้โดยไม่หยี่ระต่อคำต่อว่า ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วยพลางยื่นถ้วยยาส่งให้
“ดื่มเสีย”
คำพูดของชายหนุ่มวัยยี่สิบปีกลับถูกเมินเฉย...
แต่เขาควรจะช่างมันไปเสีย ในเมื่อเขาจะไม่มัวแต่นอนซมอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว
หลี่ชุนตัดสินใจว่าจะไปแก้แค้นพวกคนชั่วเหล่านั้นให้รู้แล้วรู้รอด!
หนิงเทียนสังเกตได้ทันทีว่าวันนี้ชายหนุ่มดูนิ่งกว่าปกติ ทว่าใบหน้าที่สวมทับด้วยหน้ากากหนังมนุษย์กลับยังคงมีรอยยิ้มราวกับมิรับรู้ถึงความผิดปกติใดๆ
ชายหนุ่มกลั้นใจดื่มยาในถ้วยในขณะที่พิจารณาใบหน้าของอีกฝ่ายไปด้วย
แม้จะรู้ว่าไม่สมควร แต่เขาก็รู้สึกหมั่นไส้คนผู้นี้ขึ้นมาเสียเฉยๆ รอยยิ้มของผู้ที่อ้างว่าชื่อเหอปี้เวิ่นให้อารมณ์เหมือนคนที่มองโลกในแง่ดีตลอดเวลาจนเขาไม่สบอารมณ์
ในทีแรกที่ได้ยินชื่อจากปากของอีกฝ่าย หลี่ชุนถึงกับอุทานลั่นเพราะไม่อยากเชื่อว่ามันเป็น
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา ต้องขอโทษด้วยที่ข้ามิอาจอยู่ทนแทนบุญคุณให้เจ้าและท่านสามได้ ข้าต้องไปแล้ว” เขากล่าวจบก็ยื่นถ้วยคืนให้ น้ำเสียงที่กล่าวเต็มไปด้วยความจริงใจทว่าก็ต้องนิ่งค้างเมื่อพบว่าดวงตากลมโตของอีกฝ่ายกลับกำลังพิจารณาพัดกระดาษในมืออยู่อย่างสนอกสนใจ
พูดง่ายๆ ก็คือเขาถูกนางเมินโดยสิ้นเชิง!
“หืม” หนิงเทียนเหมือนจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าถูกจ้องมองอยู่ จึงละสายตาขึ้นมามองผู้ที่มีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจแล้วเอียงคอถามอย่างใสซื่อ “เจ้าตะพาบน้ำ เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ”
‘เจ้าหมอนี่!’ เวลานี้หญิงสาวในคราบหนุ่มน้อยอยู่ทั้งในสถานะผู้มีพระคุณ แต่กลับเป็นผู้มีพระคุณที่กวนประสาทยิ่งจนชายหนุ่มแทบจะรักษาท่าทีสุภาพเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว!
หนิงเทียนจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาพลางลอบยิ้มในใจ เจ้าตะพาบน้ำตัวนี้ช่างยั่วโมโหง่ายเสียเหลือเกิน แกล้งเล่นแบบนี้ทำให้นางรู้สึกสนุก หลายวันมานี้จึงมักจะแกล้งอีกฝ่ายโดยที่เขาไม่รู้ตัวอยู่เสมอ
“ข้าต้องไปแล้ว” เขาเสียเวลารักษาตัวมาหกวันแล้ว เวลานี้บาดแผลปิดสนิทแต่ก็ไม่อาจออกกำลังกายหนักได้เพราะอาจทำให้แผลฉีกขาด เดิมทีเขาคิดจะจากไปตั้งแต่เมื่อวานทว่าเพราะอิงซานบอกให้เขารักษาตัวต่ออีกหน่อย ทายาทของตระกูลพ่อค้าใหญ่จึงได้ยอมตามใจเจ้าของบ้านเพื่อให้ผู้ที่อายุมากกว่าสบายใจ
“เจ้าจะไปแก้แค้นน่ะหรือ”
“ใช่!”
“เจ้ารู้หรือว่ากลุ่มโจรที่ดักทำร้ายครอบครัวของเจ้าเป็นใคร”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ถึงไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขายังไม่รู้
แต่หลี่ชุนเชื่อว่าเขาสามารถตามสืบได้ไม่ยาก ในเมื่อเรื่องของตระกูลหลี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่จะต้องสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งวงการค้าขายแห่งแคว้นหยางอย่างแน่นอน
อีกอย่าง...หากเขาจับตัวคนเหล่านั้นได้ก็คงจะทำให้เขามั่นใจอะไรมากยิ่งขึ้น เป็นไปได้ว่าเหตุผลที่ครอบครัวของเขาถูกดักปล้นสังหารอาจจะมีเงื่อนงำ ด้วยเหตุนี้จึงต้องจับคนชั่วเหล่านั้นมาสืบหาต้นตอให้จงได้!
ใบหน้าเปื้อนยิ้มหยุดมองเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อย มือเรียวบางยกพัดด้ามไม้ไผ่ขึ้นมาโบกพัดให้กับตนเองอย่างเอื่อยเฉื่อย “ไม่สำเร็จหรอก”
“เจ้า...เจ้าคิดว่าข้าไม่มีปัญญาเช่นนั้นหรือ!” ถึงเขาจะเป็นทายาทตระกูลพ่อค้า ทว่าตั้งแต่เด็กคนโตเขาก็ถูกฝึกสอนและเรียนรู้วรยุทธ์มาในระดับหนึ่ง หากเขาลงมือและออกแรงเพียงครั้งเดียวก็คงสามารถหักข้อมือเล็กของร่างบางได้อย่างง่ายดายยิ่งกว่าหักไม้จิ้มฟันเสียอีก!
อีกฝ่ายไม่รู้จักเขาดีด้วยซ้ำ แล้วมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินว่าเขาจะทำไม่สำเร็จ!
“ก็...” หนิงเทียนอ้าปากพูดได้เพียงคำเดียว ท่าทีเฉื่อยชาของนางสร้างความไม่พอใจให้หลี่ชุนมากยิ่งขึ้น โทสะประหนึ่งเปลวเพลิงโหมกระพือจึงเอ่ยสวนขึ้นมาอย่างไม่สนใจมารยาท
“คนที่วันๆ เอาแต่ยิ้ม เที่ยวเล่นและรักสนุกไปวันๆ อย่างเจ้าจะไปเข้าใจอะไร!” เสียงของหลี่ชุนทั้งห้วนและดังไปตามความโกรธเคืองที่พุ่งทะยานสูงขึ้น
รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ถูกต้องที่พาลใส่ผู้อื่น แต่ด้วยความที่เขาเพิ่งเสียครอบครัวทั้งหมดไป ความสามารถในการควบคุมสติอารมณ์จึงหดน้อยลงจนแทบไม่มีเหลือ
ภาพของขบวนรถพ่อค้าที่ถูกเผาทำลายจนกลายเป็นเถ้าถ่าน พร้อมกับซากศพของครอบครัวและผู้ติดตามทั้งหลายในสภาพที่เลือดอาบท่วมจนกลายเป็นแอ่งน้ำยังคงเป็นฝันร้ายที่หลอกหลอนเขาทุกค่ำคืน
“เจ้าคิดว่าตนเองพร้อมแล้วหรือ...” น้ำเสียงของผู้ที่มีรอยยิ้มอยู่เป็นนิตย์แปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงราวกับเป็นคนละคน “การบุกรังโจร เจ้ามีตัวเพียงคนเดียวคิดว่าจะทำสำเร็จหรือ อีกอย่าง ต่อให้เจ้ามีกำลังคนที่รอคอยอยู่ที่บ้านแล้วอย่างไร หากคิดจะทำการใหญ่ เจ้าจะต้องเสียสละและสูญเสียสิ่งต่างๆ มากมาย หรือเจ้าว่าไม่จริง”
แววตาจริงจังของผู้พูดจ้องตรงมาที่เขา แววตาของนางนิ่งเรียบไร้รอยกระเพื่อมไหวจนผู้มองลอบกลืนน้ำลาย
“ข้าไม่ได้ห้ามมิให้เจ้าแก้แค้น แต่ดูสภาพของเจ้าตอนนี้ หากไปบุกรังโจรก็คงไม่พ้นการเอาชีวิตไปทิ้ง แล้วถึงเจ้าจะยืนกรานว่าตนเองมีจิตใจที่กล้าหาญบ้าบิ่น ยอมสู้จนตัวตายแล้วล่ะก็ คงเป็นข้าเองที่โง่ ยอมเสียทั้งเงินและเวลาเพื่อช่วยชีวิตเจ้ากลับมา”
คำพูดและสายตาของหนิงเทียนในคราบหนุ่มน้อยที่จ้องตรงมาราวกับสามารถมองลึกเข้าไปสู่ก้นบึ้งของจิตใจทำให้หลี่ชุนรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรจุกอยู่ที่คอ ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะให้คำตอบก็เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจอีกหนเมื่อสีหน้าจริงจังของหนุ่มหน้าหวานกลับมีรอยยิ้มบางๆ ฉาบทับขึ้นมาอีกคราในขณะที่เจ้าตัวลูบมือลงบนท้องที่แบนราบของตนเอง
“หิว...” พอเข้าสู่ช่วงที่ท้องร้องเพราะพลังงานน้อยทีไร ร่างบางก็จะลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมดสิ้น แม้กระทั่งบทสนทนาของตนกำลังดำเนินอยู่ก็ตามที
นางจึงหมุนกายเดินกลับออกไปจากห้องหน้าตาเฉย ทิ้งให้คนเจ็บที่นั่งอยู่บนเตียงมองตามด้วยดวงตาสีชาที่เบิกกว้างจนแทบจะถลนออกมาจากเบ้า
หิวแล้วก็เดินออกไปเลยเนี่ยนะ!
ความโกรธเคืองและประหลาดใจในทีแรกเปลี่ยนเป็นความหงุดหงิดใจอันไม่สามารถหาที่ระบายออกไปได้
หลี่ชุนจมอยู่ในความคิดของตนเองอยู่สักพักใหญ่ ครั้นหลับตาลงเพื่อสูดหายใจเข้าลึกก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของบุพการีทั้งสองดังก้องอยู่ในหัวจนเขาต้องลืมตาตื่นขึ้นมา
ถึงแม่ว่าผู้ที่เพิ่งออกจากห้องจะไม่อนุญาตให้เขาไปแก้แค้นในเวลานี้ แต่เรื่องอะไรที่เขาจะต้องฟังคนที่เพิ่งพบหน้ากันเพียงไม่กี่วันล่ะจริงไหม!