6.1 เหนือกว่า

1859 Words
6 เหนือกว่า ‘เที่ยงนี้กินอะไรดีนะ...ซี่โครงหมูตุ๋นหรือว่ากุ้งเผาดี กินปลามาหลายวันจนหน้าจะกลายเป็นปลาอยู่แล้ว’ นี่คือสิ่งแรกที่หญิงสาวในคราบหนุ่มน้อยคิดหลังจากที่ก้าวเท้าออกมาจากบ้านแม่ค้าขายพัด ชุดแบบพิเศษที่นางจ้างวานให้อีกฝ่ายตัดเย็บคืบหน้าไปพอสมควร คาดว่าคงเสร็จสิ้นภายในสิบวันตามกำหนด เหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งชั่วยามกว่าจะถึงเวลาอาหารเที่ยง แต่คิดเผื่อๆ ไว้ก่อนก็คงไม่เสียหาย... หนิงเทียนคิดพลางคลี่ยิ้ม โบกพัดในมือเล่นอย่างอารมณ์ดี อากาศในช่วงหลังฝนตกนี้นับเป็นความเย็นสบายที่หาได้ยากยิ่งในช่วงฤดูร้อนเช่นนี้ ทีแรกนางคิดจะย้ายออกจากบ้านของอิงซานเพราะมีเงินมากพอจะเช่าโรงเตี๊ยมอยู่ได้แล้ว ส่วนหลี่ชุนที่แผลยังไม่หายดีก็ให้นอนพักอยู่ก่อน พอเขาหายดีและชุดที่นางต้องการตัดเย็บเสร็จสิ้นก็คงแยกย้าย ทางใครทางมัน แต่พ่อค้ากับฮูหยินหรือก็ใจดีเสียเหลือเกิน ดึงดันจะให้นางอยู่ต่อโดยใช้เมนูอาหารแปลกพิสดารมาล่อ และก็นับว่าคนทั้งสองเข้าใจหลอกล่อได้ถูกจุด เพราะมันทำให้นางตัดสินใจไม่ย้ายออกได้ในที่สุด นางก้าวเท้าเดินอย่างเอื่อยเฉื่อย เพียงไม่นานก็กลายเป็นอาหารตาของสตรีทั้งหลายที่มองตามด้วยความเขินอาย แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีใครใจกล้าพอที่จะเข้าไปชวนหนุ่มหน้าหยกที่มาจากต่างถิ่นผู้นี้คุยอยู่ดี... ทว่าฝีเท้าของหนิงเทียนก็หยุดลงเมื่อสัญชาตญาณร้องเตือนถึงความผิดปกติบางอย่าง มือเรียวบางเคลื่อนพัดกระดาษในมือมาปิดใบหน้าซีกล่างไว้อย่างไม่รีบร้อน ท่าทีทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติจนไม่เป็นที่ผิดสังเกต ครั้นดวงตากลมโตมองตรงไปยังสุดปลายถนนไกลออกไป จึงเห็นว่ามีคนกลุ่มใหญ่กำลังเดินมุ่งหน้ามาทางนี้ แม้มองเห็นใบหน้าพวกเขาไม่ถนัด แต่ลางสังหรณ์ที่เปรียบเสมือนสัมผัสที่หกก็ทำให้นางรีบกวาดสายตาสอดส่องไปรอบๆ กาย ครั้นเห็นแผงพ่อค้าขายปลาอายุประมาณสาบสิบต้นๆ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก็สาวเท้าเข้าไปหาทันที “พี่ชาย ท่านรู้จักท่านสามที่บ้านอยู่ตรงสุดถนนด้านโน้นหรือไม่” ถามพลางชี้นิ้วไปยังทิศที่คุ้นเคย “อ๋อ! รู้จักสิ เจ้ามีธุระอะไรกับเจ้าสามหรือ” “ข้ามีข้อความบางอย่างอยากจะฝากท่านไปบอกพวกเขาสักเล็กน้อย” เงินจำนวนหนึ่งถูกยื่นส่งให้ ซึ่งอีกฝ่ายก็รับมันมาอย่างไม่เกี่ยงงอน “ได้สิ ท่านจะฝากข้อความอะไร” ท่าทีของผู้ถามดูกระตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัด คาดเดาจากเวลาแล้ว อิงซานกับหลี่ชุนก็น่าจะกลับมาถึงบ้านพอดี... ร่างบางก้มหน้าลงกระซิบข้อความลงที่ข้างหูคนฟังเพียงไม่กี่คำ สีหน้าลุ้นระทึกของพ่อค้าก็แปรเปลี่ยนเป็นมึนงง กระพริบตาปริบๆ ดูจะไม่เข้าใจอยู่ในที “คือ...” หญิงสาวหาได้สนใจท่าทีอ้ำอึ้งของอีกฝ่ายไม่ “รบกวนท่านด้วย” นางกล่าวย้ำเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะผละจากไปดูพู่กันที่ร้านขายเครื่องเขียน เถ้าแก่วัยกลางคนก็ยิ้มต้อนรับลูกค้าด้วยสีหน้าเป็นมิตร “คุณชายน้อย ไม่ทราบว่าท่านสนใจพู่กันแบบไหนหรือ” ถามพลางพิจารณาอีกฝ่ายอย่างถี่ถ้วน แม้เสื้อผ้าที่หนุ่มน้อยสวมใส่ดูธรรมดาสามัญก็จริงอยู่ หากท่าทีการวางตัวกลับสง่างามหมดจน หน้าตาดั่งหยกดูสะอาดสะอ้าน และพัดที่ถือติดมือก็แสดงให้เห็นถึงการถูกฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี “พู่กันขนกระรอกด้ามนี้ราคาเท่าไรหรือ” “โอ้! คุณชายช่างตาแหลมจริงๆ นี่คือพู่กันขนกระรอกหิมะที่ขนส่งมาไกลจากแคว้นเว่ย ราคาของมัน...” เสียงแหบต่ำหยุดชะงักลงกลางคันเมื่อมีเงาดำทมิฬซ้อนทับคนทั้งสอง กลิ่นอายคุกคามและเสียงหายใจจากคนจำนวนหลายสิบคนดังทำลายความเงียบภายในร้านเล็ก แต่หนิงเทียนกลับขยับตัวเล็กน้อย สีหน้ามิได้แสดงความตกใจจากผู้มาใหม่ที่ยืนอยู่ด้านหลังเป็นพิเศษ ผิดกับชายวัยกลางคนที่ใบหน้าซีดเซียวลงเรื่อยๆ ราวกับพบเห็นภูตผี “ขะ...” ร่างของเถ้าแก่เจ้าของร้านเครื่องเขียนสั่นเทาประหนึ่งจับไข้ “ไป!” เสียงห้าวตวาดดังเต็มไปด้วยความหยาบคายและป่าเถื่อน ส่งผลให้เถ้าแก่วิ่งหนีออกไปทันที โดยไม่คิดจะชายตามอง ‘ลูกค้า’ อย่างนางที่ยังอยู่ในร้านแห่งนี้แม้แต่เสี้ยวความคิด หลังจากเจ้าของร้านได้จากไปแล้ว หนิงเทียนก็เบือนหน้ากลับไปมองข้างหลัง พบว่าผู้มาใหม่มีมากกว่าสิบสองคน พวกเขาเป็นชายฉกรรจ์ที่ส่งกลิ่นเหม็นสาบจนรู้สึกแสบจมูก แต่งกายด้วยผ้าเนื้อหยาบสีเข้ม มีอาวุธแหลมคมสะพายอยู่ที่ข้างเอวและหลัง หญิงสาวเอียงคอเล็กน้อย พวกเขาล้วนแต่เป็นคนแปลกหน้าที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน ชายร่างหนาที่ยืนอยู่ทางด้านหน้าสุดตัวสูงมากเสียจนหนิงเทียนมองเห็นเพียงแผ่นอกของเขาเท่านั้น ดวงตากลมช้อนหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้างงงวย ไร้ซึ่งท่าทีแตกตื่นตกใจ เฉียวกังเห็นดังนั้นก็เกิดประกายประหลาดใจขึ้นในแววตา “เรียกตัวมันมา!” เขาหันไปตะโกนใส่ผู้ที่อยู่ด้านหลัง ขณะที่คนที่เหลือต่างพากันแหวกทางเพื่อเปิดทางให้คนผู้หนึ่งเดินเข้ามา หนิงเทียนพิจารณาผู้มาใหม่ที่เดินก้มหน้าตัวสั่นงกๆ อยู่ครู่หนึ่ง เขาเป็นชายวัยสามสิบต้นๆ ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ของท้องมากเป็นพิเศษที่ให้ความคุ้นเคยกับนางในระดับหนึ่ง พออีกฝ่ายเข้ามาใกล้พอสมควรก็เงยหน้าขึ้นมา นางที่จำใบหน้าอีกฝ่ายได้ร้องทักอย่างเป็นมิตร “สวัสดีพี่ชาย ไม่ได้พบกันเสียนาน เอ๋...เหตุใดดวงตาของท่านถึงได้ช้ำถึงเพียงนี้เล่า” คนผู้นี้คือผู้ที่ทอยลูกเต๋าให้นางที่บ่อนเถื่อนเมื่อหกวันก่อนนั่นเอง! สีหน้าของผู้ที่ถูกทักกลับไม่ยินดีด้วยแม้แต่น้อย เหงื่อไคลของเขาไหลซึมออกมาจนเสื้อผ้าเปียกชุ่ม ก่อนหน้านี้ยังถูกซ้อมอย่างหนักจากอันธพาลต่างถิ่นเหล่านี้ จึงอดไม่ได้ที่จะถลึงตามองนางพลางสบถในใจ ‘เจ้าปัญญาอ่อน! ถึงคราวซวยแล้วยังจะยิ้มออกมาได้!’ “แน่ใจว่าถูกคน? ” เสียงดุดันของเฉียวกง ส่งผลให้ผู้ฟังที่ถูกซ้อมจนบาดเจ็บหนาวสะท้านไปทั้งกาย “ชะ...ใช่แล้วขอรับ เขาเป็นคนที่มีป้ายหยกที่พวกท่านพูดถึง” เสียงของชายวัยสามสิบต้นๆ ทั้งสั่นทั้งเบา “ทีนี้ข้า...ข้าไปได้หรือยังขอรับ!” หากเขาหลุดออกไปจากที่นี่ได้เมื่อไหร่ เขาจะรีบไปแจ้งทางการให้ลากคอคนเหล่านี้ไปรับโทษอย่างสาสม! เฉียวกังยิ้มเหยียดมองอีกฝ่ายอย่างดูแคลน ปรายตามองไปยังลูกน้องแล้วจึงเบือนกลับมามองหญิงสาวในคราบหนุ่มน้อยหน้าหยกอีกครั้ง กร็อบ! ภาพของชายร่างอ้วนที่ถูกหนึ่งในชายฉกรรจ์สาวเท้าเข้าไปใกล้ ใช้มือจับเข้าที่ลำคอหนาแล้วจัดการหักทิ้งด้วยสีหน้าเฉยเมยไร้ความรู้สึก กลับทำให้หนิงเทียนเพียงเล็กคิ้วสูงขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ปฏิกิริยาที่น้อยนิดประหนึ่งคุ้นชินกับเรื่องเช่นนี้เป็นอย่างดีสร้างความประหลาดในใจให้ผู้มองเป็นคราที่สอง เด็กหนุ่มผู้นี้ร่างกายเปราะบางไร้หมัดกล้าม ดูแล้วไม่น่าจะมีวรยุทธ์ ผิวหรือสีขาวสะอาดไร้รอยมลทินราวกับคุณชายที่ไม่เคยทำงานหนักมาก่อน แต่แล้วเหตุใด...ยามที่ได้เห็นคนถูกฆ่าต่อหน้าแล้วยังนิ่งเฉยอยู่เช่นนี้ได้! แม้จะสงสัย ทว่าคำสั่งที่ได้รับมาก็ทำให้เขาสลัดความคิดเหล่านั้นออกไปอย่างรวดเร็ว เขาแผ่กลิ่นอายคุกคาม แววตาโหดเหี้ยมดุดันจ้องตรงไปยังผู้ที่ใบหน้าปราศจากรอยยิ้มเหมือนดั่งเคย เวลานี้นางกำลังโกรธ แต่ไม่มีใครในที่นี้ที่ดูออก... ศพของผู้ที่หนิงเทียนไม่รู้ทราบแม้แต่ชื่อถูกลากออกไปจากร้าน ขณะที่ร่างหนากระชากเสียงถาม “หลี่ชุนอยู่ที่ใด! ” ผู้ฟังไม่ตอบโดยทันทีแต่กลับขมวดคิ้ว สองยกมือขึ้นมากอดอก สูดหายใจเข้าลึก “ข้าถามว่า...! ” อีกฝ่ายเค้นเสียงถามอีกระลอก แต่ยังมิทันพูดจบก็ถูกคนเงียบเอ่ยขัด “พวกเจ้าจะโง่ไปถึงไหนกัน! ดีแค่ไหนแล้วที่ข้าได้รับคำสั่งมาคอยจับตาดูการทำงานของพวกเจ้า!” เสียงดัดห้าวเต็มไปด้วยความตำหนิและผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง ครานี้คนทั้งหลายถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก โดยเฉพาะชายร่างหนาที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดที่รังสีอำมหิตเจือจางลงจนแทบไม่มีเหลือ “ข้าอุตส่าห์ใจเย็นรอชมผลงานของพวกเจ้าถึงหกวัน! แต่จนป่านนี้พวกเจ้าก็ยังจัดการสังหารหลี่ชุนไม่ได้! หึ! มิน่าเล่านายท่านจึงได้ส่งข้าให้มาจัดการแทน หลี่ชุนโง่เขลาหลอกง่ายถึงเพียงนั้น...ข้ารึก็อยากจะปล่อยโอกาสให้พวกเจ้าสร้างผลงาน!” หนิงเทียนเว้นจังหวะเพื่อพักหายใจ ก่อนจะกล่าวต่ออย่างไม่ขาดช่วง “ข้าถึงขนาดหลอกเอาป้ายหยกประจำตระกูลมาที่บ่อนเพื่อส่งข่าวให้พวกเจ้ารู้! แต่สุดท้ายแทนที่พวกเจ้าจะไปค้นหาทายาทตระกูลหลี่ พวกเจ้าก็ดันมาจับตัวข้าแทน! ทั้งยังลงมือเอิกเกริกเช่นนี้อีก ป่านนี้หลี่ชุนคงรู้ตัวจนหนีไปแล้ว!” แววตาของหญิงสาวเชือดเฉือนประหนึ่งใบมีดอาบเปลวเพลิง น้ำเสียงเกรี้ยวกราดอย่างผู้ที่อยู่เหนือกว่าส่งผลให้ชายฉกรรจ์หลายคนหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก พวกเขาไม่เห็นจะรู้เรื่องว่าจะมีคนถูกส่งมาจับตาดูการทำงานในครั้งนี้! ลูกน้องหลายสิบชีวิตคิดพลางพุ่งสายตาไปยังหัวหน้าของพวกเขาเป็นตาเดียว ซึ่งมันก็ทำให้เจ้าของใบหน้าที่เต็มไปด้วยหมวดเคราหรี่ตาลง แววตาเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย “เจ้ากำลังบอกว่าเจ้าเป็นคนที่เบื้องบนส่งมาเช่นนั้นหรือ? ” หนิงเทียนพ่นลมหายใจออกมา สีหน้ายังคงไม่คลายความโกรธเกรี้ยว “หึ! หรือพวกเจ้าคิดว่าเป็นอย่างอื่น” “อย่าคิดมาหลอกข้าเสียให้ยาก! ” เสียงตวาดกร้าวกลับทำให้ใบหน้าที่มีเค้าความหวานเรียบตึงมากยิ่งขึ้น “เจ้าน่าจะมีปัญญามากพอที่จะแยกแยะได้ว่าสิ่งใดเป็นเรื่องจริง สิ่งใดเป็นเรื่องลวง”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD