ดวงเนตรที่แสนทรงพลังกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้และโลกของเธอก็มืดดับเมื่อดวงตาของเธอพริ้มหลับลงพร้อมรับสัมผัสที่อบอุ่นที่ริมฝีปาก แผ่นหลังของเธอถูกดันให้แนบชิดพระอุระที่แสนแข็งแกร่งประดุจหินผา แต่กระนั้นเรียวลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดชิมความหวานภายในโพลงปากช่างแสนอ่อนนุ่มและรุ่มร้อนจนเธอต้องยกแขนขึ้นคล้องพระศอไว้เพื่อพยุงมิให้ตัวเองร่วงลงไปอย่างสิ้นเรียวแรงแต่กระนั้นร่างบางก็ถูกผ่อนให้นอนราบบนเตียงกว้างอย่างช้าๆ
“เจ้าโกหกไม่เก่งเลยอังค์เนส” สุรเสียงแหบพร่าทำให้หญิงสาวเบือนหน้าหนี ปลายนิ้วเลื่อนผ่านยอดบัวตูมคู่งามที่สะท้อนขึ้นลงตามแรงหอบหายใจ
“หม่อมฉันมิได้...โกหก…”
“เอาเถิด...ข้าจะทำไม่รู้ไม่เห็นสักครั้ง” พระองค์สรวลขึ้นอีกครั้ง “ข้ามีงานราชการมากจนแทบไม่มีเวลามาหาเจ้าเลย”
“มีใช่อยู่กับนางสนมอื่นหรือเพคะ”
ฟาโรห์เนเฟอร์คาเรทรงสรวลเสียงดังก่อนลุกขึ้นประทับนั่งข้างๆ อังค์เนส “ข้าไม่ยักรู้ว่าเจ้าช่างประชดประชันข้าเช่นนี้”
“ก็...หม่อมฉันเป็นแค่หญิงสาวบ้านรู้สึกเช่นไรก็พูดเช่นนั้น”
“แต่เท่าที่ข้ารู้เจ้าพูดไม่ค่อยตรงกับใจนัก”
“พระองค์” อังค์เนสแทบจะเผลอหวีดร้องไม่พอใจออกมา เธอเองก็ถูกตามใจจนเคยตัวยามใดที่ถูกขัดใจก็อดโต้เถียงไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นมีแต่ฟาโรห์เนเฟอร์คาเรเท่านั้นที่เธอไม่เคยเถียงทันเลยสักครั้ง
“ข้างานที่ต้องขบคิดมากเหลือเกิน เจ้าลองถามคาเรียลหรือโมตูก็ได้” พระองค์ทิ้งพระวรกายลงนอนเคียงข้างหญิงสาว
“พระองค์ไม่ต้องบอกหม่อมฉันก็ได้”
“ก็ข้าอยากให้เจ้ารู้และเจ้าจะได้บอกข้าบ้างว่าเจ้ากำลังจะไปไหน”
“เอ่อ” ช่างเป็นฟาโรห์ที่ปรีชาในการเจรจายิ่งนัก หญิงสาวได้บอกตัวเองในใจ “หม่อมฉันแค่ แค่จะ...จะออกไปหาเพื่อนเพคะ”
“เพื่อน” ทรงตรัสถาม “เจ้ามีเพื่อนอยู่ที่นี่ด้วยหรือ”
“ก็ฮิคกิไงเพคะ”
“ฮิคกิ” องค์ฟาโรห์ทรงพระสรวลขึ้น “เจ้าช่างมีเรื่องให้ข้าแปลกใจเสมอ”
“ฮิคกิเป็นคนดีนะเพคะ” เธออดแง่งอนไม่ได้
“ข้ารู้ว่าฮิคกิเป็นคนดี ถ้าเจ้าชอบเขาข้าจะให้เขาเข้ามารับใช้อยู่ใกล้ๆ เจ้าดีไหม”
ใบหน้าหวานแย้มยิ้มออกมาแต่ก็ส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ “หม่อมฉันคิดว่าฮิคกิมีความสุขดีที่ได้ใช้ชีวิตเช่นนั้นถ้าพระองค์จะเมตตาก็ขอทรงอนุญาตให้หม่อมฉันไปเยี่ยมสหายผู้นี้บ่อยๆ”
“คำพูดของเจ้าให้ตีความหมายได้ว่า อยู่นอกวังดีกว่างั้นหรือ”
“นอกตำหนักมิใช่นอกวังเพคะ และมันอยู่ในสัญญาที่พระองค์ประทานให้หม่อมฉัน” เธอกล่าวแก้แต่ยิ้มน้อยๆ
“เจ้าทำข้าให้ปฏิเสธไม่ได้” พระวรกายใหญ่พลิกขึ้นคร่อมร่างบางอย่างรวดเร็ว “แต่ตอนนี้ข้าขอทวงสิทธิ์ของข้าในตัวเจ้าเสียก่อนเถิด”
“แต่...วันนี้เจ้าหญิงจากลิเบีย”
ยังไม่ทันที่อังค์เนสจะเอ่ยจบประโยคริมฝีปากบางก็ถูกทาบทับลงมาก่อน เธอไม่อาจขัดขืนได้และไม่เคยคิดจะขัดขืนอีก เพราะทั้งร่างกายและหัวใจได้ตกเป็นทาสความรักขององค์ฟาโรห์หนุ่มผู้นี้แล้ว.
................
ชายหนุ่มร่างใหญ่ยักษ์มองถ้วยข้าวของตนเองที่ว่างเปล่าแทบไม่สามารถบอกได้เลยว่าก่อนหน้านี้มันเคยใส่อะไรมาก่อน
ชายหนุ่มใบหน้ารูปเหลี่ยมแต่ดวงตาใสซื่อเหมือนเด็กห้าขวบทำตาละห้อยมองดูขนมปังในมือของทาสคนอื่นๆ เขาพยายามแล้วที่จะกินให้ช้าลงตามที่ใครต่อใครแนะนำแต่เขาก็ไม่สามารถควบคุมความหิวของตนเองได้เลย เพียงไม่กี่อึดใจที่ได้อาหารมาเขาก็เขมือบได้หมดในเวลารวดเร็ว แต่ที่เลวร้ายคือเขาไม่สามารถเติมอาหารได้อีกท้องของเขามันจึงส่งเสียงโครกครากน่ารำคาญ
“ฮิคกิ เจ้าบอกท้องของเจ้าให้มันร้องเบาๆ หน่อยไม่ได้หรือไงนะ” ทาสคนหนึ่งตะคอกขึ้นอย่างหมดความอดทนที่ต้องได้ยินเสียงกระเพาะคนตัวใหญ่ร้องดังเหมือนเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าก็ไม่ปาน
“ขะ...ข้า...ข้า...ข้าก็พยายามบอกมันอยู่...ตะ...ตะ...แต่มันไม่เชื่อฟังข้าเลย” ชายหนุ่มตอบกลับอย่างหวาดกลัว เขาทำไหล่ลู่ดูน่าสงสาร
“งั้นเจ้าก็ไปดื่มน้ำเสียซิ ไปดื่มน้ำที่ลำธารโน่นจะได้ทำท้องของเจ้าไม่ส่งเสียงดังน่ารำคาญเช่นนี้”
“จะ...จะ...จริงเหรองั้น ขะ...ข้าจะไปดื่มน้ำ” ฮิคกิพาร่างใหญ่ยักษ์ของตนวิ่งเหยาะๆ มาที่ลำธารใกล้ๆ เมื่อเขาทรุดตัวลงนั่งแล้วก็วักน้ำดื่มอึกๆ หลายอึกใหญ่ เสียงกระเพาะหยุดทำงานไปชั่วครู่แล้วมันก็ส่งเสียงออกมาอีก มือหนาและหยาบกร้านยกขึ้นลูบท้องเบาๆ เหมือนจะปลอบโยน
“เจ้ากระเพาะเอ่ย เจ้าอย่าทำให้ข้าต้องเดือนร้อนกว่าอีกได้ไหม แม่ทิ้งข้าไปเพราะเจ้ามันร้องเสียงดังอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้”
ฐานะครอบครัวของฮิคกิยากจน มารดาของเขามีบุตรหลายคนและฮิคกิเป็นคนเล็กพี่ชายพี่สาวทุกคนล้วนหน้าตางดงามทำให้ไม่ค่อยมีใครเชื่อว่าฮิคกิคือน้องชาย แต่เพราะความยากจนและร่างกายที่ใหญ่ทำให้ฮิคกิกินไม่ค่อยอิ่ม เขาต้องทำงานหนักเพื่อแลกกับอาหารแต่ราวกับเทพเจ้าลงโทษ ยิ่งเขาทำงานหนักมากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องกินมากขึ้นเท่านั้น ไม่มีญาติพี่น้องคนใดจะดูแลเขาได้อีกในวันหนึ่งที่ความพยายามของแม่หมดลงและหนีหายไปไม่บอกกล่าว เขาจึงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเช่นนี้มานานราวห้าหรือหกปีแล้ว
“เจ้าจะโทษท้องของเจ้าไปไย ในเมื่อท้องเจ้าร้องก็เพราะกินไม่อิ่มต่างหาก”
ฮิคกิเงยหน้าขึ้นแล้วหันหลังกลับไปมอง จมูกใหญ่ของเขาสูดกลิ่นขนมปังที่ยื่นมาตรงหน้าดวงตาใสซื่อมีประกายดีใจ เขายื่นมือออกไปหมายจะคว้าขนมปังหอมกรุ่นแต่ก็ต้องชะงักมืออย่างลังเล
“ก็เอาไปซิ” อังค์เนสหัวเราะเสียงใส “ข้าเอามาให้เจ้านั้นแหละ แถมยังมีของกินอย่างอื่นในตะกร้าอีกนะ”
“จะ...จะ...จริงเหรอ” ชายร่างใหญ่ยักษ์ยิ้มกว้างคว้าขนมปังมากัดกินอย่างไม่เกรงใจ “เจ้าใจดีกับข้าจังเลย มะ...มะ...ไม่มีใครใจดีกับข้าแบบนี้นานแล้วนะ”
“ก็เจ้าเป็นสหายของข้านี่” อังค์เนสหัวเราะร่าก่อนรวบชายกระโปรงนั่งข้างๆ แม้ว่าจะมีเสื้อคลุมสีมอๆ สวมทับอยู่แต่ก็ไม่อาจซ่อนความงามของเธอได้
“ขะ...ขะ..ข้าเป็นสะ...สหาย..เหรอ” ดวงตาซื่อคู่นั้นมีแววฉงนแต่ก็ปนความปลาบปลื้ม
“พระสนมเรียกคนอย่างเจ้าเป็นสหายแล้วก็ช่วยสำนึกถึงความดีงามของนางหน่อยเถอะเจ้ายักษ์ฮิคกิ”
“ไลน์ร่า” อังค์เนสส่งเสียงปรามและส่ายหน้าเบาๆ “ข้าก็คิดว่าเจ้าเป็นเพื่อนข้าเหมือนกันนะ”
“โอ้ว ไลน์ร่ามิบังอาจเพคะ” นางกำนัลสาวส่ายหน้าไปมาแรงๆ “ขอเป็นข้ทาสติดตามเช่นนี้ดีแล้วเพคะ”
“เจ้าพูดเหมือนการเป็นเพื่อนเราเป็นสิ่งน่ารังเกียจ” อังค์เนสทำจมูกย่นแล้วยื่นมือไปรับตะกร้าใส่อาหารจากไลน์ร่าส่งให้ฮิคกิที่ก้มหน้าก้มตากินอย่างมีความสุข
“ท่านก็ช่างคิดไปไกลขนาดนั้น” ไลน์ร่าหัวเราะคิกคัก “หม่อมฉันก็แค่เห็นพระสหายของพระสนมมีแต่...อะไรแปลกๆ”
“ไลน์ร่า!เจ้าว่าข้าทางอ้อมนะเนี่ย” อังค์เนสทำแก้มป่องแต่แล้วก็ไม่รู้จะโต้งเถียงอะไรเพราะมันก็จริงอย่างที่ไลน์ร่าว่านั้นแหละ
“ฮิคกิ เจ้ากินเสร็จแล้วก็อย่าลืมช่วยงานพระสนมล่ะ” ไลน์ร่าเปลี่ยนเรื่อง
“ดะ...ได้...ได้ซิ ข้าจะทำให้เต็มที่เลย” ฮิคกิยิ้มทั้งที่มีอาหารเต็มปาก “แต่พวกท่านจะเอาหญ้าพวกนั้นไปทำอะไรมากมายหรือ”
“หญ้า?” อังค์เนสหัวเราะเสียงดัง “มันไม่ใช่หญ้าแต่เป็นพืชสมุนไพรต่างหาก แต่ช่างเถอะเจ้าหามาให้ข้าเยอะๆ แล้วก็พอแล้ว”
“ได้สิข้าจะไปหาให้นะ”
“ทำไมพระสนมไว้ใจเจ้ายักษ์ที่ดูท่าทางโง่ๆ ซื่อๆ แบบนี้ละเพคะ” ไลน์ร่าถามอย่างแปลกใจ