อังค์เนสถอนหายใจหนักๆ “ฮิคกิอาจจะดูโง่ๆ แต่เขาไม่ได้โง่นะ เขาอาจมีปัญหาด้านการพัฒนาการ แต่เขาเป็นคนที่มีความจำดีมาก แค่ข้าเอาตัวอย่างสมุนไพรให้เขาดู เขาก็จำได้อย่างแม่นยำไม่มีผิด”
“จริงหรือเพคะ”
“มันอาจเป็นพรสวรรค์ที่เทพเจ้าประทานให้มาชดเชยในสิ่งที่เขาขาดไปก็ได้” เสียงที่ดังจากด้านหลังทำให้ทั้งสองสาวหันไปมอง
“ท่านคาเรียล” อังค์เนสยิ้มกว้างแล้วลุกขึ้นยืน “ข้าคิดว่าท่านจะอยู่ต้อนรับเจ้าหญิงฟิลิเซียจากลิเบียเสียอีก”
“กระหม่อมก็คิดว่าพระสนมจะอยู่ต้อนรับเจ้าหญิงฟิลิเซียจากลิเบียเช่นกัน” คาเรียลย้อนคำตอบด้วยคำถามของเธอเอง
“งานนั่นไม่จำเป็นต้องมีข้าก็ได้แต่ถ้าไม่มีท่าน-ที่ปรึกษาประจำพระองค์ องค์ฟาโรห์อาจจะรับมือลำบากหน่อย”
‘หรือรับไว้ทั้งสองมือด้วยความเต็มใจ’
“กระหม่อมชักรู้สึกว่าพระสนมช่างประชดประชันเหมือนองค์ฟาโรห์มิผิดเพี้ยน” คาเรียลหัวเราะขึ้นเบาๆ เขาเป็นชายหนุ่มรูปงามแต่ร่างกายดูอ่อนแอนัก ทว่ามันสมองของเขาช่างปราดเปรื่องเป็นเลิศยิ่ง
“ท่านกำลังกล่าวหาองค์ฟาโรห์อยู่เชียวนะ” อังค์เนสหัวเราะคิกคัก
“ท่านคาเรียลควรจะช่วยกล่อมให้พระสนมของข้ากลับตำหนักเพื่อแต่งอาภรณ์งดงามเข้างานเลี้ยงดีกว่านะเจ้าคะ” ไลน์ร่าทำชักสีหน้าหงุดหงิด
“ข้าอยู่แบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว” อังค์เนสทำจมูกย่น “จัดการเอาพืชสมุนไพรฮิคกิหาให้ไปทำยาดีกว่า”
“ยานั่นป้องกันงูกัดได้จริงหรือเพคะ” ไลน์ร่าเอ่ยถามเบาๆ
“เจ้าอย่าลืมว่าข้าเข้าวังมาเพราะอะไรนะไลน์ร่า” อังค์เนสไม่เก็บอาการไม่พอใจของตนเองรู้สึกว่าถูกดูถูกชอบกล!
“แต่ตอนนี้ท่านเป็นพระสนมแล้วนะเพคะ” ไลน์ร่าพยายามเตือนให้รู้ฐานะของตน
“ไม่ว่าข้าจะเป็นอะไรยังไงข้าก็เป็นข้าอยู่ดี” เธอเบ้ปากนิดๆ
“แต่อย่างที่ไลน์ร่าพูดก็ถูก...ท่านก็ไม่ควรซุกซนจนเกินงามนัก” คาเรียลยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก
“ซุกซน!ท่านกล่าวหาข้าเกินไปหรือไม่” อังค์เนสถลึงตาใส่ แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะออกมา
“หากพระสนมไม่ซุกซนมีหรือจะได้พบฮิคกิที่เป็นเพียงคนเลี้ยงม้าเช่นนี้ได้” คำพูดของคาเรียลทำให้ชายร่างยักษ์ที่ถูกกล่าวถึงเงยหน้าขึ้นจากอาหารที่กำลังกินอยู่
“ชะ...ชะ...ใช่ ข้าเจอท่านหญิงที่คอกม้า...ท่าน...ท่านหญิงจะมาหาม้าหนีออกไปเที่ยว”
“ฮิคกิ! ข้าไม่ได้หนีนะข้าแค่เบื่อๆ คิดถึงบ้านและอีกอย่างข้าก็ขี่ม้าไม่เป็น ข้าให้เจ้าพาข้าไปต่างหากละ” หญิงสาวเผลอคายความลับออกมาแต่มันก็ไม่ใช่ความลับนับตั้งแต่ที่ถูกองค์ฟาโรห์จับได้
“ถ้าฮิคกิมิได้เป็นเช่นที่เห็น องค์ฟาโรห์คงมีรับสั่งให้ประหารชีวิตไปแล้ว” คาเรียล กล่าวเสริมในส่วนที่อังค์เนสไม่อยากพูดถึงนั้น
“ท่านคาเรียล” อังค์เนสเลิกคิ้วอย่างงสงสัย “ท่านกำลังจับผิดข้าเช่นนี้คงมิคิดจะเสนอชื่อข้าเข้าชิงตำแหน่งพระมเหสีหรอกนะ”
“หรือท่านไม่ปรารถนาจะเคียงข้างองค์ฟาโรห์ในฐานะพระมเหสี” คาเรียลหลิวตามอง
“แน่นอนว่าข้าปรารถนาจะอยู่เคียงข้างบุรุษที่ข้ารักตลอดกาลแต่...ข้ารู้ดีว่าข้าควรอยู่ตำแหน่งใดและการไม่คิดอะไรมากจะทำให้ข้าเจ็บปวดน้อยลง” หญิงสาวถอนหายใจแล้วเสมองไปทางอื่น “หากเป็นไปได้ข้าอยากกลับไปเยี่ยมท่านปู่เลจูกับพี่ดังชี”
“ท่านคงต้องขอร้ององค์ฟาโรห์เอง” คาเรียลยิ้มบางๆ
“และข้าควรไปขอพระองค์ในงานเลี้ยงต้อนรับเจ้าหญิงจากลิเบียด้วยใช่ไหม” อังค์เนสดักคออย่างรู้ทัน คาเรียลก้มศีรษะยอมรับในสิ่งที่เธอกล่าวออกมา
“ก็ได้...” เธอปัดหญ้าออกจากกระโปรงยาวกรอมข้อเท้า
“ไม่ว่าข้าจะพยายามหลบเลี่ยงเท่าไหร่ก็ดูไม่เป็นผล สิ่งที่ดีที่สุดคือเผชิญหน้ากับมันต่างหาก.
..................
หญิงสาวแสนงดงามในอาภรณ์ตามแบบหญิงสูงส่งจากลิเบีย เจ้าหญิงฟิลิเซียเพิ่งครบ 18 ชันษาเมื่อสองเดือนที่ผ่านมา ใบหน้างดงามเปล่งปลั่งเข้ากับเรือนผมหยักศกที่ยาวเคลียไหล่กลมกลึงผิวกายเนียนนุ่มด้วยสีน้ำผึ้งชวนหลงใหลยิ่ง ขับให้ส่วนเว้าส่วนโค้งที่เจ้าหญิงฟิลิเซียครอบครองอยู่นั้นน่าสัมผัสยิ่งขึ้น
อังค์เนสได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ ถ้าจะพูดออกไปว่า ‘ไม่ได้ริษยาความงามของเจ้าหญิงฟิลิเซีย’ ก็เกรงว่าจะเป็นการโกหกที่มิได้แนบเนียนเลยสักนิด ยิ่งกว่าความงามที่เจ้าหญิงฟิลิเซียมีคือความงามสง่าประดุจราชินี ซึ่งอังค์เนสยอมรับว่ามันเป็นประกายรัศมีที่เธอไม่อาจเทียบได้เลยสักนิด มันเป็นความจริงที่เธอต้องทำใจยอมรับ องค์ฟาโรห์ต้องมีราชินีเคียงข้างและให้กำเนิดพระโอรสเพื่อสืบทอดดูแลนครอียิปต์สืบต่อไปและเป็นที่รู้จักว่า หญิงสาวที่จะมีสิทธิ์ให้กำเนิดโอรสได้นั้นต้องเป็นมเหสีที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อม มิใช่เพียงความงามหรือสง่าเท่านั้นแต่ยังมีปัจจัยทางการเมืองและความมั่งคงของประเทศอีกด้วย
แล้วอังค์เนสก็ถอนหายใจอีกครั้ง
ถึงแม้จะพยายามหลบเลี่ยงงานเลี้ยงต้อนรับเจ้าหญิงแสนงามผู้นี้ในยามกลางวันแล้ว แต่งานกลางคืนก็หนีไม่พ้นอยู่ดีนั้นเอง องค์ฟาโรห์เนเฟอร์คาเรทรงประทับบนบัลลังก์ทองคำแสนสง่างามยิ่งนัก หากเธอไม่คิดเข้าข้างตนเองจนเกินสายพระเนตรของพระองค์ปรายตามองมาทางเธอเป็นระยะๆ ให้รู้สึกร้อนผ่าวเหมือนจับไข้ และในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกเหมือนถูกสายตาชิงชังจับจ้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อของเจ้าหญิงฟิลิเซีย
“ไลน์ร่า...เรากลับตำหนักกันเถิด” อังค์เนสก้มกระซิบบอกนางกำนัลคนสนิทที่เพลิดเพลินกับการชมนางระบำร่ายรำในทวงทำนองดนตรีที่สนุกสนาน
“จะรีบเสด็จไปไหนละเพคะ งานกำลังสนุกอยู่เลย” ไลน์ร่าตัดพ้ออย่างเสียดาย
“ข้า...ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย” อังค์เนสจำเป็นต้องพูดปด “ข้ารู้สึกปวดหัวนะ...คนเยอะเหลือเกินข้าหายใจไม่สะดวก”
“ถ้าเช่นนั้นเชิญเสด็จไปรับลมที่ระเบียงก่อนไหมเพคะ อาการดีขึ้นแล้วค่อยเข้ามาในงานอีกครั้งก็ได้”
“รู้สึกว่าเจ้าจะมีความสุขที่ได้อยู่ในงานเลี้ยงมากกว่าข้าอีก”
“พระสนมว่าอะไรนะเพคะ” เพราะเสียงดนตรีที่ดังทำให้ไลน์ร่าไม่ได้ยินคำบ่นเมื่อครู่
“ข้าบอกว่าเราไปที่ระเบียงก่อนก็ได้”
อังค์เนสจำไมได้แล้วว่าตั้งแต่เข้ามาในงานเลี้ยงนี้เธอถอนหายใจไปกี่ครั้งแล้ว ไลน์ร่านำเธอเดินมาที่ระเบียงและหามุมสงบหลีกเลี่ยงผู้คนให้ผู้เป็นนายได้นั่งพัก แต่กระนั้นไลน์ล่าก็ชะเง้อคอยาวมองเข้าไปในงานรื่นรมย์
“เจ้าเข้าไปด้านในก็ได้ แล้วเจ้าอยากกลับเมื่อไหร่ก็มารับข้าที่นี่”
“จะดีหรือเพคะ” แม้จะเอ่ยปากถามแต่แววตานั้นดีใจอย่างเหลือล้น
“ไปซิ...โมตูก็อยู่ด้านในไม่ใช่เหรอ”
ไลน์ร่ายิ้มเขินเมื่ออังค์เนสเอ่ยถึงชื่อชายคนรักของเธอ โมตูเป็นองครักษ์เคียงข้างองค์ฟาโรห์ตั้งแต่เมื่อครั้งที่องค์เนเฟอร์คาเรยังทรงพระเยาว์และเป็นเพียงองค์รัชทายาทเท่านั้น ดวงตากลมโตย้ายมามองพระจันทร์ที่ทอแสงนวลกระจ่างฟ้า หญิงสาวเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวก้าวเท้าช้าๆ มายืนที่ริมระเบียง ใบหน้างามแหงนรับแสงจันทร์กระจ่างเธออดคิดถึงหมู่บ้านเล็กในชนบทไม่ได้ ก่อนหน้าที่เธอจะเข้าวังเพื่อรับตำแหน่งพระสนมนั้น เธอเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านที่พอจะมีความรู้ด้านการรักษาผู้คน ใน แต่ละวันจึงหมดไปกับการหาสมุนไพรรักษาโรค โดยเฉพาการสรรหายาแก้พิษงูนั้นเป็นเรื่องที่เธอโปรดปรานที่สุด การยื้อชีวิตคนตายไม่ใช่การท้าทายเทพเจ้าอย่างที่ใครต่อใครกล่าวว่าร้ายเธอ แต่เธอเชื่อว่าหากเทพเจ้าประทานความตายให้ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น เธอเพียงแต่วิงวอนเทพเจ้าเท่านั้น