“ป่านนี้ท่านปู่เลจูกับพี่ดังชีจะเป็นอย่างไรนะ ไม่มีข้าคอยกวนใจคงอยู่อย่างมีความสุขละซิ” เธอทำน้ำเสียงขึ้นจมูก “แต่ไม่มีข้าอยู่พวกท่านคงเหงาแน่ๆ แหละ เหงามากๆ ด้วย!”
“ทั้งๆ ที่อยู่กับข้าเจ้ายังคิดถึงชายอื่นอีกหรือ”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มดังจากด้านหลัง แต่ยังไม่ทันที่อังค์เนสจะหันหลังไปเอวบางก็ถูกสวมกอดเสียก่อนลมหายใจร้อนๆ ปนกลิ่นเหล้าองุ่นรินรดที่ริมหูจนทำให้ร่างกายที่เยียบเย็นร้อนรุ่มขึ้นมาอีก
“ฝ่าบาท...”
“อะไรกัน” ฟาโรห์เนเฟอร์คาเรทรงสรวลขึ้นเบาๆ “ข้าห่างเจ้าเมื่อเช้าตรู่นี่เองมิใช่หรือ ไยน้ำเสียงเจ้าทำเหมือนห่างเหินกับข้าเหลือเกิน”
อังค์เนสอึกอักทำอะไรไม่ถูก พยายามจะดิ้นรนออกจากท่อนพระพาหาที่รัดรอบเอวอยู่ แต่สิ่งที่เธอทำนั้นทำให้อีกฝ่ายกระชับแน่นขึ้นปลายพระหนุวางบนไหล่กลมกลึงและสูดกลิ่นหอมจากกายสาว
“พระองค์ควรประทับในงานเลี้ยงมิใช่หรือเพคะ”
“คำพูดของเจ้าตีความได้ว่าเจ้ากำลังขับไล่ข้างั้นหรือ”
“มิได้เพคะ” หญิงสาวรู้สึกหายใจติดขัดเพราะลมหายใจร้อนๆ และริมฝีปากที่ไต่ระเรื่อที่ลำคอของเธอ
ฟาโรห์เนเฟอร์คาเรพลิกตัวหญิงสาวให้เผชิญหน้าก่อนจับเอวน้อยๆ นั่นยกขึ้นนั่งที่ราวระเบียง ใบหน้าหวานสวยงดงามใต้แสงจันทร์กระจ่างยิ่งนัก ดวงหน้าที่ตบแต่งอย่างงดงามยิ่งขับให้อังค์เนสดูงามผุดผาดยิ่งขึ้น เพียงครึ่งปีที่ล่วงผ่านเธอทวีความงดงามและเปล่งปลั่งยิ่งขึ้นทรวดทรงองค์เอวของเธอก็แสนจะเย้ายวนตาแตกต่างจากครั้งแรกที่ได้เจอนักทั้งหมดนี้เพราะพระองค์ทำให้เธอกลายเป็นสตรีที่สมบูรณ์แบบ และเธอจะเป็นของพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น
พระองค์เชยคางอังค์เนสขึ้นแล้วโน้มพระพักตร์ลงจุมพิตริมฝากที่เผยอขึ้นหนักหน่วงและเต็มไปด้วยความหิวกระหายจนต้องจับท้ายทอยของเธอไม่ให้ขยับหนีไปไหน เรียวปากของเธอนุ่มละมุนและผ่อนตามด้วยความเต็มใจและเป็นฝ่ายรุกเร้าด้วยปลายลิ้นน้อยๆ ของตนอย่างไม่รู้ตัว
“เจ้านี่...ช่างเรียนรู้ได้เร็วนัก” พระองค์กระซิบที่มุมปากกดปลายนาสิกที่แก้มเนียนของหญิงสาว
“หม่อมฉันมีคุรุที่ดีเพคะ” เธอรู้สึกผ่อนคลายลงความใกล้ชิดกลับคืนเมื่อได้ดูดกลืนลมหายใจร้อนๆ เข้าไว้เต็มปอด
“ข้าจะคิดว่านี่คือคำชมสำหรับข้า” พระองค์จุมพิตเธออีกครั้งราวกับจะเรียกร้องเอารางวัลแต่ครั้งนี้ทวีความร้อนแรงขึ้นจนหญิงสาวรู้สึกถึงดอกไม้ในกายที่ผลิบานเต็มที่จนน้ำหวานแทบเอ่อล้นออกมาเชิญชวนผีเสื้อหนุ่ม
“กลับตำหนักข้า”
รับสั่งเชียบขาดและแสนจะเอาแต่ใจทำให้หญิงสาวสะดุ้ง อังค์เนสหน้าแดงจัดเมื่อสัมผัสได้ว่าดาบประจำประองค์นั้นเปล่งรัศมีเคร่งเครียดยิ่งนัก แต่เพียงแค่อังค์เนสเงยหน้ามองข้ามพระอังสาขององค์ฟาโรห์ดวงตากลมโตก็ต้องเบิกกว้างอย่างตกใจ
“เจ้าหญิงฟิลิเซีย” ฟาโรห์เนเฟอร์คาเรรู้สึกขัดพระทัยอยู่บ้าง หากแต่หญิงงามเจ้าของเรือนร่างเอิ่มอิ่มนั้นมิได้เจ้าหญิงจากลิเบีย พระองค์อาจจะไล่นางไปพร้อมกับโทษโบยสักร้อยที!
“ขออภัยหม่อมฉันไม่คิดจะมาขัดจังหวะขณะพระสำราญ” เจ้าหญิงฟิลิเซียก้มพระเศียรเล็กน้อยเป็นเชิงขออภัย “หม่อมฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายจึงเดินออกมารับลมเท่านั้นเพคะ”
“ฟิลิเซียไม่สบายรึ” พระองค์เลิกคิ้วอย่างฉงน เพราะก่อนหน้านี้เห็นเจ้าหญิงร่าเริงยิ่งนัก
“เพราะเจ้าหญิงเหนื่อยล้าจากการเดินทางเพคะ” ดาเน่นางกำลังคนสนิทของเจ้าหญิงฟิลิเซียรีบกราบทูลขึ้นราวกับจะแก้ต่างให้นายของตน
“ถ้าเช่นนั้นคงเป็นความผิดของข้าที่รบเร้าจะให้มีงานต้อนรับเจ้าหญิงทั้งที่เพิ่งเสด็จเดินทางมาถึง” พระองค์แย้มโอษฐ์ “อย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลยเพคะ” ฟิลิเซียไม่หลบสายพะเนตรที่แสนร้อนแรงขององค์ฟาโรห์แต่กลับกล้าเผชิญและท้าทายด้วยความมั่นใจในเสน่ห์ของตนเอง “หากพระองค์จะเมตตาหม่อมฉันก็ขอความกรุณาเสด็จส่งหม่อมฉันที่ห้องบรรทมทีเถิด เวลาที่อยู่ต่างถิ่นไกลบ้านเช่นนี้หม่อมฉันมักนอนไม่หลับ แต่หากมีพระองค์อยู่เคียงข้างหม่อมฉันคงอุ่นใจเป็นอย่างยิ่งเพคะ”
อังค์เนสอ้าปากค้างไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคเมื่อครู่ องค์ฟาโรห์ที่ทรงสง่างามเป็นที่ต้องตาต้องใจหญิงสาวไม่ว่าจะชนชั้นใด แต่เธอไม่คิดว่าเจ้าหญิงฟิลิเซียจะกล้าเปิดเผยความปรารถนาของตนได้แจ่มชัดเช่นนี้
“ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าจะไปส่งเจ้าหญิงเอง”
“เรียกฟิลิเซียเถิดเพคะ” เธอคล้องแขนของตนกับองค์ฟาโรห์ราวกับจะประกาศความเหนือกว่า “อย่าทรงเอ่ยอะไรที่ห่างเหินเช่นนั้น หม่อมฉันมาที่นี่เพื่อเจริญความสัมพันธไมตรีของสองประเทศนะเพคะ” ฟาโรห์เนเฟอร์คาเรพยักพระพักตร์รับแล้วหันมามองอังค์เนสที่ยืนงุนงงราวกับมีท่อนไม้มาฟาดลงที่ท้ายทอยของเธออย่างแรง
“เจ้าดูแลตัวเองได้นะ”
“หม่อมฉันมิได้เจ็บป่วยอะไรนี่เพคะ” เธอทำน้ำเสียงขึ้นจมูก “ขอเชิญปฏิบัติภารกิจของพระองค์เถิดเพคะ”
น้ำเสียงประชดประชันของอังค์เนสทำให้องค์ฟาโรห์ทรงสรวลขึ้นเบาๆ “อ้อ! ฟิลิเซียนี่อังค์เนส-สนมของข้า”
“ยินดีที่ได้รู้จักจ๊ะ” เจ้าหญิงฟิลิเซียโปรยยิ้มหวานแต่ไร้ความจริงใจในแววตา
“เช่นกันเพคะ” ด้วยฐานะที่ต่ำกว่าทำให้อังค์เนสต้องย่อตัวถวายความเคารพอีกฝ่ายและทำให้เจ้าหญิงฟิลิเซียพึ่งพอใจอย่างมาก
“เอาละ...พวกเจ้าทั้งสองยังมีเวลาที่จะได้รู้จักกันอีกมากแต่วันนี้ให้ฟิลิเซียพักผ่อนก่อนเถิด”
องค์ฟาโรห์สรวลขึ้นเบาๆ เมื่อเห็นท่าทางแอบน้อยใจของอังค์เนส พระองค์หันหลังเดินจากไปพร้อมเจ้าหญิงฟิลิเซียและหากอังค์เนสตาไม่ฝาด เธอรู้สึกได้ถึงดวงตาที่มุ่งร้ายและคาดแค้นเธอ หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจหนักๆ จนองค์ฟาโรห์ดำเนินไปจนลับตาแล้วไลน์ร่าวิ่งกลับเข้ามาอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้นเพคะพระสนม”
“ไม่มีอะไรนี่” อังค์เนสยักไหล่ “เจ้าชื่นชมงานเลี้ยงนี่พอหรือยังข้าอยากกลับตำหนักจะแย่แล้ว”
“เอ่อ...กลับก็กลับเพคะ”
ไลน์ร่ารู้สึกเหมือนตนเองคงพลาดอะไรที่สำคัญมากๆ ไปแน่ๆ ก็เธอเห็นองค์ฟาโรห์เสด็จมาทางนี่จึงไม่คิดจะมาตามพระสนม ทว่าเผลอฟังโมตูพูดคำหวานหน่อยเดียว องค์ฟาโรห์เสด็จกลับพร้อมเจ้าหญิงฟิลิเซียไปเสียได้ เธอโคลงศีรษะอย่างงุนงงแต่ก็ก้าวตามหลังพระสนม
แต่จู่ๆ หญิงสาวก็ชะงักเท้าและหมุนตัวกลับเดินเร็วๆ มาที่ระเบียงอีกครั้ง อังค์เนส กวาดสายตาไปทั่วบริเวณด้านล่างเป็นอุทยาน แม้จะเห็นทหารยามยืนประจำตำแหน่งเป็นจุดๆ แต่สิ่งที่เธอ ‘รู้สึก’ กลับมองไม่เห็น
“มีสิ่งใดหรือเพคะ” ไลน์ร่าถามพลางมองตามสายตาของอังค์เนส
“ไม่มีอะไรหรอก” อังค์เนสส่ายหน้าไปมาแล้วหมุนตัวกลับ “ข้าคงคิดอะไรไปเอง”
หญิงสาวยังเก็บความงุนงงไว้เต็มเปี่ยมแต่ก็ก้าวเท้าไปตามทางเดินเพื่อกลับตำหนัก โดยไม่อาจข่มใจให้สงบได้เพราะเธอเพิ่งนึกได้ว่า ‘ฝันร้ายเมื่อใกล้รุ่ง’ ทำให้ปั่นป่วนจิตใจยิ่งนัก
เงาทมึนเคลื่อนกายออกมาจากใต้เงาไม้ใหญ่ ใบหน้าคมเข้มเผยรอยยิ้มที่มุมปากในคืนที่จันทร์กระจ่างเช่นนั้น กลับทำให้เห็นใบหน้าที่ปรารถนาชัดเจน
“อีกไม่นานหรอก ข้าจักต้องครอบครองเจ้าให้ได้ อังค์เนส”.
......
อังค์เนสก้มๆ เงยๆ ขณะที่มือก็ยุ่งกับการใส่ส่วนผสมเพื่อบดสมุนไพรเข้าเป็นเนื้อเดียวกันใบหน้าหวานมีผ้าผืนบางปิดครึ่งหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองเผลอสูดเอากลิ่นยาเข้าไปและไม่ให้เชื้อโรคจากตนเข้าสู่ผงยา ฮิคกิสะพายตะกร้าไม้ไผ่ที่สานหนาแน่นเข้ามาในห้องทำงานเล็กๆ ของหญิงสาว เพราะร่างกายที่ใหญ่โตทำให้เขาต้องก้มศีรษะและค้อมหลังเพื่อจะมุดเข้ามาได้
“อะ...อะ..อังค์เนส...ขะ...ข้าได้งูเห่าทะเลทรายมาฝากเจ้า”
“จริงรึ” อังค์เนสเงยหน้าขึ้นแม้จะมีผ้าปิดครึ่งหน้าช่วงล่างแต่ดวงตากลมโตมีประกายยินดี “เจ้าช่างมีเรื่องน่ายินดีให้ข้าเสมอนะฮิคกิ”
“จะ...จะ...จริงเหรอ” ฮิคกิใช้นิ้วถูกจมูกของตนแก้เขิน “จะ...จะ...เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไรกับเจ้างูนี่”
“ขอเวลาข้าจัดการกับยาชุดนี้ก่อนนะที่เหลือข้าจะจัดการเอง” อังค์เนสพยักหน้ารับ “มีเค้กน้ำผึ้งอยู่บนโต๊ะเจ้าเอาไปกินก่อนซิ”
“ขะ...ขะ...ข้ากินได้เหรอ” น้ำเสียงของเขาตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ
“ก็ข้าเพิ่งพูดว่า ให้- เจ้า-เอา-ไป- กิน นี่”