“ใช่เสียงเจ้านายคุณหรือเปล่า?” น้ำเสียงเย็นยะเยือกถาม เจ้าของร่างสูงในเชิ้ตหล่อเหลาเข้าใบหน้าคมคาย มานั่งรอเจ้าของบริษัทได้สักพัก
ในท่านั่งสบาย ๆ พาดหน้าขาไขว่ห้างเหยียดกายพิงแผ่นหลังบนโซฟา หยิบนิตยสารบนโต๊ะขึ้นมาพลิกไปมา พนักงานออฟฟิศสาววัยสามสิบปลาย ๆ ที่เพิ่งมานั่งลงตรงข้ามเขากลับมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“เอ่อ... คือ ถ้าคุณเมฆสะดวกวันอื่น ไม่เป็นไรนะคะ”
“ผมว่างแค่วันนี้ ผมจะรอจนกว่าคุณพายเธอจะมา” ชายหนุ่มขัดด้วยท่าทีวางอำนาจ ส่งสายตาดุคมวาววับจนอีกคนนั้นหลุบหนี
“ลูกค้าอย่างผมควรจะมาเมื่อไรก็ได้ ไม่ใช่หรือไง? คิดว่าผมโอนเงินมัดจำสามแสนบาทเข้าบริษัทคุณ ทั้งที่ยังไม่เห็นงาน ผมเดินเข้ามาโดยไม่รู้อะไรเลยสักอย่างหรือ? คุณญาดา”
ถึงจะมาก่อนนัดหมายในอาทิตย์หน้า เมธพนธ์คิดว่ามันเป็นสิทธิ์ของเขาอย่างเต็มที่ ลูกน้องอย่างหล่อนดันไม่พยายามที่จะเข้าใจเอาเสียเลย
“คือ ฉันเกรงว่า...”
“ลูกสาวคุณกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย วันนี้มีเรียนพิเศษแถวสยาม รถมันจะติดนะครับ จะไปก็รีบไปเถอะ อย่ามาเสียเวลากับเรื่องนี้เลย”
ใบหน้าสวยของคนฟังซีดขาวราวกระดาษกับคำขู่ของคนที่เพิ่งพบหน้ากันครั้งแรก! หล่อนละล่ำละลักบอก
“ฉันจะโทรบอกคุณพายให้เดี๋ยวนี้ รอไม่นานนะคะ”
ญาดากดหาปลายสายอย่างรวดเร็ว ด้วยไม่อยากมีปัญหากับลูกค้าที่ดูร้ายกาจชอบกล เป็นโชคดีที่เจ้านายสาวปรากฏตัวในอีกไม่ช้า
สายตาของคนทั้งคู่จับจ้องอยู่กับดวงหน้าหวานที่ยังมีร่องรอยบวมช้ำผ่านการร้องไห้อย่างหนักบริเวณขอบตา ทว่าขณิกาก็ยิ้มในย่างก้าวแรกเข้าบริษัท เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไปนะคะ คุณพาย พี่ขอตัวกลับก่อน” สาววัยสี่สิบห้าปีหยิบกระเป๋าพรวดพราดไป ทั้งที่ไม่เคยกลับบ้านก่อนเจ้านาย สีหน้าเศร้าหมองเมื่อครู่กลายเป็นสงสัยอยู่เต็มที่
“รีบไปไหนน่ะ?” มองตามหลังไปและก็ไม่ได้คำตอบ เธอจึงรีบเข้าไปทักทายลูกค้าคนสำคัญ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท
“ต้องขอโทษที่ให้รอนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมรอคุณพายได้เสมอ” มุมปากหนาหยักยกยิ้ม และได้รับไมตรีตอบกลับมาจากหญิงสาวพยายามยิ้มอย่างเต็มที่ ก่อนที่เธอจะเมินหน้าเขาแล้วหยิบแท็บเล็ตในกระเป๋าออกมา
“คุณ... เอ่อ... จากบริษัทไวน์องุ่นใช่ไหมคะ? คือฉันยังไม่ได้รายละเอียดอะไรเลย คุณญาดาไม่ได้ส่งมาให้”
“เรียกผมว่า ‘เมฆ’ ที่ผมไม่ได้ส่งรายละเอียดไป เพราะผมอยากจะให้คุณพายกับมือ ในเรื่องของความไว้ใจว่าผมไม่ใช่มิจฉาชีพ ก็คงจะเป็นเงินที่โอนไป...” เขาให้เหตุผลในสีหน้าเข้มเครียด แววตากรุ่นโทสะทอประกายวาบยามพิจารณาใบหน้างามหมดจด
เดรสสีขาวชีฟองเข้ารูปยาวประเข่าเข้ารูปรับเอวคอดกิ่ว หน้าอกหน้าใจของแม่สาวตัวเล็กดูจะล่อตาอยู่น้อย ๆ แต่มันก็ไม่ได้โป๊อะไร นาฬิกาข้อมือ ต่างหู ทำให้เธอดูแพงแต่หัวจรดเท้า
ขณิกาช่างห่างไกลผู้หญิงในอุดมคติของเขาโดยสิ้นเชิง เสื้อผ้าไม่หวือหวาคำพูดจาธรรมดา ไม่มีท่าทางว่าจะให้ท่าเขาอีกต่างหาก
เธอช่างเหมือนคุณหนูเฉิ่ม ๆ ที่หลุดมาจากนิยายน้ำเน่าสักเรื่อง!
“ค่ะ งั้นเราเข้าเรื่องงานกันเลยดีไหมคะ? คุณเมฆ”
“ครับ... เอาไลน์คุณมา”
“คะ?” คำถามเต็มวงหน้าหวาน เธอได้แต่หวังว่ามันคงไม่ใช่การจีบ! เพราะที่ผ่านมาลูกค้าหนุ่ม ๆ บางคนมักทำอย่างนั้น หากไม่สบเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มประกายราวมีดคมที่คงจะบาดเนื้อของเธอได้จริง ๆ
“ไลน์... คุณคงไม่คิดว่าผมแบกเอกสารกระดาษกองโตมาใช่ไหม?”
“เป็นอีเมลดีไหมคะ? น่าจะส่งพวกไฟล์ใหญ่ ๆ ได้ดีกว่า”
“ผมพูดว่า... ไลน์ หรือโปรแกรมแชทอะไรก็ได้ ผมสะดวกใช้มันในการคุยงาน ถ้าคุณไม่มี โหลดมันมาตอนนี้”
ทุกถ้อยคำในน้ำเสียงเย็นชาและหน้าตานิ่ง ๆ ของชายหนุ่มอาจเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวหรือว่าเธออาจคิดไปเอง พอพิจารณาดูให้ดีสักหน่อย
ตาพร่ามัวของเธอเห็นว่าผู้ชายคนนี้นอกจากหล่อเหลาเอาการยังมีรังสีอำมหิตประหลาดแผ่อยู่รอบกายตลอดเวลา ดูน่าสยองแปลก ๆ
“ค่ะ รอสักครู่นะคะ” ขณิกายอมตอบอย่างว่าง่าย จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากดมือถือ ยกมือขึ้นจับกระบอกตาร้อนผ่าวที่เริ่มจะเกิดอาการปวด โดยไม่รู้ว่าอีกคนลุกจากเก้าอี้โซฟาตอนไหน
“ทำไมทำอะไรนานนักล่ะ... เวลาผมมีค่านะ คุณพาย” เขาเลิกคิ้วขึ้นถาม คนถูกเรียกจึงปรือตาพร่ามัวกะพริบตาถี่ ๆ พอไม่พบใครก็มองขวับตามคนในฝั่งซ้าย
“อุ๊ย...” อุแม่เจ้า! อุทานต่อในใจ หญิงสาวตะลึงงัน เชยหน้ามองชายผู้พกพาความสูงชะลูดจนขายาว ๆ หัวเข่าเกือบชนกับโต๊ะกระจกรับรองแขก
คิ้วเข้มหนาโก่งเข้าหาดวงตาสีน้ำตาลเข้มดูเจ้าเล่ห์ร้ายกาจขมวดมุ่นมองเธอ คล้ายกับว่าเขากำลังโกรธอะไรสักอย่าง หรือว่าเธออาจคิดไปเอง...
ทีแรกเธอเผลอคิดอยู่ว่าผู้ชายทำฟาร์มน่าจะคมเข้มดำปรื๋อสิวเต็มหน้า แต่ดูพ่อคุณนี่สิ!
หลังฝ่ามือที่โผล่พ้นจากเสื้อเชิ้ตสีดำกางเกงสแล็คธรรมดา ๆ บอกว่าผิวของเขาขาวอมน้ำผึ้ง แค่ลุคผมสุดเซอร์จับด้วยเจลไว้อย่างไม่ได้ตั้งใจ จมูกเป็นสันคมรับเรียวปากบางกระจับอมแดงชมพู ทั่วทุกอณูใบหน้าคมคายไม่ต่างจากพระเจ้าปั้นแต่งมาอย่างพอดี ผู้ชายคนนี้ไม่ต่างจากดาราฮ่องกงมาติดต่อกองถ่ายละคร!
นี่สินะ.. ที่เขาว่ากันว่าความรักทำให้คนตาบอด สายตาแหลมคมของขณิกามองไม่เห็นผู้น่ากัดเท่านี้ได้ยังไง!
“ทำไมครับ? มีอะไรหรือเปล่า?”
“เอ่อ... ไม่มีอะไร... ค่ะ ขอโทษทีค่ะ” พูดพลันยิ้มเจื่อน หลังจากที่เธอเพิ่งดึงสัมปชัญญะกลับมาได้ ขณะที่ชายหนุ่มมากประสบการณ์ผ่านมือสาวมาโชกโชน ไม่มีทางที่จะไม่เห็นสายตาเมื่อสักครู่
“ผมจะพาคุณไปร้านอาหารอร่อย ๆ คุณทานข้าวให้อิ่ม ตั้งสติดี ๆ แล้วเราค่อยคุยกันดีกว่านะ”
หญิงสาวกลอกตาไปมาด้วยรู้สึกเกรงใจ เตรียมปฏิเสธ “คือฉันว่า...”
“จะไปคุยข้างนอกหรือจะอยู่กับผมสองคนที่นี่? ลูกน้องคุณกลับไปหมดแล้ว”
ได้ยินเท่านั้น เจ้าของบริษัทคนสวยเปลี่ยนใจกะทันหัน “ไปข้างนอกก็ได้ค่ะ...”
ชายหนุ่มไหวไหล่ ถือวิสาสะคว้าโทรศัพท์ในมือของเธอไปกดมันสองสามครั้งก่อนส่งคืนให้
“ไปครับ รถผมจอดอยู่ข้างหน้า”
รถสปอร์ตหรูสัญชาติอิตาลีสีเงาดำแล่นไปบนถนนทางยาวในเมืองกรุงยามค่ำคืน ช้ากว่าทุกวันที่เขาเคยเป็นคนขับรถเร็วจนลูกน้องคนสนิทต้องทำหน้าที่สารถีแทน ดวงตาคู่คมเข้มไม่วายว่างเว้นจากการจับจ้องใบหน้านวลผ่อง สลับมองทางถนนข้างหน้า
หากเปรียบเทียบเธอกับสิ่งรอบกาย ขณิกาคงเป็นเหมือนพระอาทิตย์ ที่ทำหน้าที่ของตัวมันเองคือหมุนไปตามวงโคจรของระบบสุริยะและโลก แม้เจอสุริยุปราคาบ้างในบางคราว มันจะยังคงส่องสว่างอยู่เสมอ
ระยะทางจากออฟฟิศทาวน์โฮมไปร้านอาหารไม่ไกลใช้เวลาแค่สิบนาที เขาชักชวนเธอสนทนาทั้งในเรื่องงาน มุกตลกขบขัน
ตั้งแต่ผันตัวมาเป็นนักธุรกิจ เมธพนธ์ไม่ใช่คนตลก กลับมีคนบอกว่าเขาเป็นคนตลกร้าย ยิ่งกับเธอที่หัวเราะง่าย
ด้วยความที่เธอเป็นคนอัธยาศัยดี พอมีเรื่องงานเข้ามาเกี่ยวข้อง สีหน้าของเธอผ่อนคลายลงจากความเครียด พูดคุยกับเขาอย่างตรงไปตรงมา แต่ยังคงความสุภาพนอบน้อมไว้ด้วยอายุที่อ่อนกว่า
นั่นทำให้เขาเข้าหาเธอได้ง่ายขึ้นด้วยจุดประสงค์บางอย่างซึ่งไม่มีใครรู้นอกจากตัวของเขาเอง
กระทั่งมาถึงลานจอดรถยนต์ที่มีแสงมืดสลัว รถยนต์จอดลงอย่างเงียบเชียบด้านหน้าร้านอาหารเปิดโล่ง แทบไม่รู้สึกถึงการแตะเบรกอย่างนิ่มนวล ยิ้มร้ายปรากฏบนวงหน้าหล่อเหลา
“เป็นเรื่องดีที่คุณไม่กลัวผมไปเสียก่อนจะได้คุยงานกันจริงจัง แต่วันหลัง... ต่อให้เป็นแลมโบกินี่ อย่ากระโดดขึ้นรถผู้ชายคนไหน มันอันตรายนะ คุณพาย” น้ำเสียงเข้มขรึมเตือนด้วยความหวังดี
รถยนต์ราคาเหยียดยี่สิบห้าล้านไม่ได้การันตีอะไร เธอแค่เป็นคนที่ชอบทำตามความรู้สึก จึงหันไปบอก
“ฉันไม่รู้สึกว่าคุณเมฆอันตราย แล้วก็... สาว ๆ สวย ๆ ถึงพริกถึงขิง ไม่จืดชืดอย่างฉันคงไม่ต้องใช้เงินถึงสามแสนมั้งคะ”
ชายหนุ่มหักมุมปากลงอย่างไม่เห็นด้วยนักในข้อแรก “ถ้าไม่รู้สึกเลยว่าผมอันตราย... บางทีคุณอาจไม่มีต่อมความรับรู้...”
“บางทีฉันอาจเป็นพวกตายด้าน” เธอย้อนตอบ ก่อนมองซ้ายขวาว่าเป็นที่ไหน ด้วยความมืดของร้านที่มีเปิดเพียงไฟสลัว ๆ แต่กลับเห็นผู้คนมากมายจำภายนอกร้าน
ดวงตาคู่สวยวูบไหวสั่นมองกระจกใสโดยรอบ ข้างในมีมินิบาร์ ขณิกามารับประทานอาหารร้านนี้กับเพื่อนฝูงและลูกน้องอยู่เป็นประจำ รวมถึงหนุ่มคนหนึ่งที่เหยียบย่ำความรักของเธอเสียไม่มีชิ้นดี
“ว่าแต่... เราจะคุยกัน.. ร้านนี้เหรอคะ?”
“ร้านนี้มันมีอะไรครับ? หรือว่าลูกสาวท่านรองฯ ไม่ชอบ เพราะร้านมันไม่หรูพอ”
ร้านอาหารนี้ห่างไกลคำว่าหรูมาก ด้วยลักษณะการตกแต่งอย่างทันสมัย กว้างขวางโอ่อ่าและยังอยู่ใจกลางเมือง เธอแค่ไม่อยากนึกถึงพิภพอีก ทว่าพอหันไปสบแววตาคู่คมเปล่งประกาย
“หรือว่า... เคยมากับใครล่ะ?” ท่าทางประชดประชันครั้งที่สอง ใบหน้าเศร้าหมองเปลี่ยนไปเป็นระเรื่อยิ้มอย่างฝืนใจ
“ไม่มีอะไรค่ะ...”
“ดีแล้วที่ไม่มี เพราะถ้ามี ผมจะทำให้มันไม่มี... เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย”
คำพูดนั้นทำให้งุนงงอยู่น้อย ๆ เมื่อสุภาพบุรุษเป็นฝ่ายเปิดประตูเชื้อเชิญ ให้รวบรวมความกล้าเผชิญหน้ากับบรรยากาศเดิม ๆ
เรียกว่าเป็นการบังคับคงดีเสียกว่า เพราะถ้าหากว่าเลือกร้านอาหารได้เธอจะไม่มาเหยียบร้านนี้ ในสภาพหัวใจบอบช้ำกลัดหนองแน่นอน!