บทที่ 2 ตอนที่ 2

1244 Words
“ปีหน้าก็จบแล้วใช่ไหมวาว...” “...” หญิงสาวชะงักเท้าขณะเดินผ่านห้องรับแขกกลางตัวบ้าน เพื่อจะเดินไปยังห้องของตัวเองที่อยู่ด้านหลังสุด เธอหันไปตามเสียงก็เห็นรพีนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ และกำลังพับเก็บวางบนโต๊ะเพื่อจะคุยด้วย ร่างเล็กจึงเดินเข้าไปหาแล้วยกมือไหว้ “ค่ะคุณลุง วาวคิดว่าคุณลุงหลับไปแล้วเสียอีก” เพราะเธอทำงานพาร์ตไทม์เป็นบาริสตาในร้านกาแฟใกล้ๆ กับมหาลัยในช่วงที่ไม่มีคาบเรียน ทำให้บางวันกลับถึงบ้านมืดค่ำ “ปีหน้าก็จะบรรลุนิติภาวะแล้ว วาววางแผนไว้หรือยังว่าจะทำอะไรต่อ” “วาว... เอ่อ ตอนนี้ก็เริ่มมองๆ หาห้องพักใกล้ๆ มหาวิทยาลัยแล้วค่ะ ช่วงปีสุดท้ายคงเรียนหนักหน่อย วาวเลยคิดว่า... จะไปอยู่ข้างนอก” เธอกลืนความขมขื่นใจลงในอก ความหมายของคำถามทำไมเธอจะไม่รู้ และได้พยายามหาทางออกมาตลอดอยู่แล้ว เพราะเจียมตัวอยู่เสมอว่าสักวันคงต้องเป็นแบบนี้ “ลุงหมายถึงหนูจะเรียนต่อโทหรือจะหางานทำต่างหาก” “ทำงานค่ะ จบปริญญาตรี วาวก็ถือว่าเรียนเยอะพอแล้ว น่าจะพอหางานทำได้ คุณลุงกับคุณป้าจะได้ไม่ต้องส่งเสียให้เป็นภาระอีก ที่ผ่านมาวาวก็เป็นหนี้บุญคุณจนไม่รู้จะตอบแทนยังไงแล้วล่ะค่ะ” เธอบอก และทุกอย่างก็เป็นจริงตามนั้น ด้วยไม่อยากเป็นภาระของใครอีกต่อไป เพียงเท่านี้ก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก กระอักกระอ่วนเหลือเกินแล้ว “ทำไมพูดอย่างนั้น... วาวก็เหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่ง ตอนนี้ลุงกับป้าก็ไม่มีใครแล้ว เราก็อยากให้วาวอยู่กับเรา ไม่อยากให้ระหกระเหินไปอยู่ข้างนอกหรอกนะ” “วาวปรึกษาคุณอาสิงหาแล้วค่ะ... คุณแม่ยังมีที่ดินที่สุราษฎร์ฯ เหลือไว้ให้ ถ้าทำงานและเก็บเงินได้สักก้อน วาวอาจไปทำกิจการเล็กๆ อยู่ที่นั่น” เพราะทนายสิงหาซึ่งเป็นทนายของรพีในปัจจุบัน ก็เคยทำงานกับครอบครัวของเธอมาก่อน ดังนั้นเมื่อมีเรื่องสำคัญๆ เธอมักขอคำปรึกษากับเขาเสมอ และหากบรรลุนิติภาวะแล้ว เธอก็จะสามารถทำอะไรได้อย่างอิสระมากขึ้นตามข้อตกลงการอุปการะเลี้ยงดู “ถ้าหนูคิดดีแล้ว ลุงก็คงห้ามไม่ได้หรอก แต่วาวยังต้องไปให้ปากคำกับตำรวจนะช่วงนี้ เพราะคดียังไม่คลี่คลาย ถ้าวาวรู้เห็นอะไรผิดปกติก็ให้การไปตามจริง สรวงเป็นลูกสาวคนเดียวของลุงกับป้า เราอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถือว่าช่วยคนแก่ให้หมดห่วงก่อนตายเถอะนะวาว” น้ำเสียงนั้นเศร้าและสั่นเครือ รพีลอบถอนหายใจ สีหน้าหม่นหมอง ร่างกายทรุดโทรมไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด “วาวขอโทษนะคะคุณลุง... ที่ช่วยอะไรคุณลุงคุณป้าไม่ได้เลย” เธอตอบอ้อมแอ้ม ลอบกลืนความรู้สึกผิดจนในอกอัดแน่นไปหมด หากเรื่องนี้เธอสามารถเป็นคนรับผิดแทนได้ เธอก็อยากจะชดใช้ให้ทุกคนอย่างไม่รีรอเลยสักนิด แต่กลัวว่าหากสารภาพออกไปว่าเธอเป็นคนทำ หลักฐาน และพยานที่มีอยู่ จะส่อพิรุธ และสร้างข้อสงสัยโยงใยไปถึงพี่ชายของเธอได้ “ไปอาบน้ำนอนเสียเถอะ นี่ก็ดึกแล้ว... ลุงจะไปดูป้าสักหน่อย เขายังทำใจไม่ได้ ต้องดูแลกันอย่างใกล้ชิด...” รพีบอกพลางถอนหายใจเครียด แล้วลุกเดินขึ้นไปชั้นบน “ถ้าติดต่อพี่โพธิ์ได้... วาวก็อยากให้เขากลับมารับโทษตามกฎหมาย แต่ตอนนี้วาวไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทำยังไง” เธอพึมพำกับตัวเอง พลางยกมือปาดน้ำตา ตั้งแต่คืนนั้นจนถึงวันนี้ ผ่านไปเกือบเดือนแล้ว เธอยังไม่สามารถติดต่อผู้เป็นพี่ชายได้อีกเลย ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขากลับแคนาดาไปหรือยัง ร่างเล็กมองร่างของผู้อุปการะที่เดินขึ้นบันไดจนคล้อยหลัง แล้วจึงออกจากห้องโถง ตรงไปยังห้องพักของตัวเอง จากนี้ไปไม่รู้ว่าต้องรับมือกับทุกปัญหาอย่างไรดี เธอก็เป็นเพียงเด็กกำพร้าตัวเปล่าเล่าเปลือยเท่านั้น ทางออกของเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ มันเกินกำลังที่เธอจะรับมือได้จริงๆ วาปีพยายามใช้ชีวิตให้เป็นปกติมากที่สุด แม้ความเสียใจเรื่องการเสียชีวิตของรัมภาดาจะยังคอยหลอกหลอนไม่สร่าง เธอก็ไม่สามารถติดต่อโพธิ์ทองได้อีกนับจากวันนั้น ความกระวนกระวายกัดเซาะสำนึกอยู่ทุกขณะจิต ด้วยอยากให้พี่ชายมอบตัว อยากให้เขารับผิดชอบในสิ่งที่ได้กระทำลงไป และหากตำรวจสืบสวนได้ความจริงว่าเขาไม่ได้ทำร้ายหญิงสาว เพียงแค่หลอกไปพบเพื่อพูดคุยเรื่องบางอย่าง แต่กลับเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันขึ้นโดยไม่ตั้งใจ เขาอาจไม่ต้องรับโทษสาหัสเท่ากับการถูกตามจับตัวในภายหลัง ส่วนเรื่องสายสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขา หากมันจะต้องเปิดเผย ก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นไป... รถญี่ปุ่นกลางเก่ากลางใหม่ที่รพียกให้ใช้ ช่วยอำนวยความสะดวกให้หญิงสาวได้ไม่น้อย แม้จะต้องซ่อมแซมไปเยอะ เพราะเป็นรถที่พวกเขาจอดทิ้งไว้เฉยๆ นานแล้ว หลังจากได้ใบขับขี่ตอนอายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์ เธอก็จัดการปรับปรุงจนสามารถใช้งานได้เกือบปกติ อย่างน้อยๆ ก็หลบแดดหลบฝนได้ ดีกว่าต้องรอขึ้นรถประจำทางหลายๆ ต่อเวลาไปไหนมาไหน ร่างเล็กกระวนกระวายเล็กน้อย เมื่อนาฬิกาบอกเวลาเกือบห้าโมงเย็นในอีกไม่กี่นาที เพราะเป็นที่รู้กันว่าการจราจรในเมืองหลวงของไทยนั้น หนาแน่นติดอันดับหนึ่งในสิบของโลก ยิ่งเป็นช่วงเวลาเร่งด่วนอย่างนี้ด้วย แค่ขยับล้อได้ก็ถือว่ายากเย็นแสนเข็ญแล้ว ร้านกาแฟที่เธอทำงานอยู่ ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจ แม้จะอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยเพียงไม่กี่กิโลเมตร แต่กว่าจะเดินทางถึงก็อ่อนใจแล้วอ่อนใจอีก ซึ่งในที่สุดเธอก็อดทนฝ่าฟันสภาพรถติด เลี้ยวเข้ามาในซอยที่ตั้งร้านจนได้เหมือนกับทุกๆ วัน เธอรีบจอดรถ สำรวจกระเป๋าของใช้ส่วนตัว แล้วปลดล็อกเพื่อจะเปิดประตูก้าวออกไป แต่แล้ว... ร่างใหญ่ในชุดสูทสีดำสนิทก็มายืนขวางเอาไว้ เธอจึงรีบดึงประตูกลับโดยอัตโนมัติ พลางหันไปยังทางออกอีกทางตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด “สวัสดี...” “คุณ!” หญิงสาวตกตะลึง เมื่อพบว่าเบาะด้านหลังถูกจับจองโดยผู้ไม่ได้รับเชิญเสียแล้ว ใจของเธอเต้นระทึกจนผิดจังหวะ เมื่อรู้ตัวว่ากำลังถูกคุกคามจากผู้ที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเธอตลอดมา “เรามีเรื่องต้องคุยกัน... ถ้าฉลาดก็หุบปากแล้วทำตามที่ฉันบอก เพราะไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆ จนกว่าจะได้รู้ความจริง” “พูดอะไรของคุณ... ถ้าเรื่องพี่สรวง อะไรที่ฉันรู้ ฉันก็ให้การกับตำรวจไปหมดแล้ว...” “ก็พูดเรื่อง... พี่ชายของเธอไงล่ะ!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD